เรือนมายา (อรุโณชา)

เรือนมายา (อรุโณชา)

1 รีวิว  1 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160004546
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 230.00 บาท 57.50 บาท
ประหยัด: 172.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

แสงแดดยิ่งจัดจ้า เพราะท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก พ้นกอไผ่

หัวถนนนั้นขึ้นไปก็จะเป็นเขตกงสุลชาวยุโรป สองคนจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ด้วยว่าเดินทางข้ามฟากมาจากแถวตลาดพลูร่วมครึ่งวัน ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

สองคนที่เดินทางร่วมกันนี้เป็นศิษย์ของสำนักมิชชันนารีมีชื่อ

ที่เข้ามาตั้งหลักปักฐานในสยาม เพื่อเผยแพร่วิทยาการไปพร้อมๆ กับการเผยแผ่ลัทธิศาสนา

ชายคนหนึ่งโครงหน้าคมสัน คิ้วได้รูปสวย ขนตาดกดำเป็นแพ

รับกันดีกับหน่วยตาหวานฉ่ำ ยามสบสายตากับผู้สาวนางใด สตรีเหล่านั้น

จะต้องเผลอคิดว่าเขากำลังหว่านเสน่ห์ จมูกที่โด่งเป็นสัน กับรูปปาก

อิ่มเต็ม ดูเข้ากันหมดกับทั้งหน้า ไรหนวดเคราเกลี้ยงเกลาด้วยได้รับการ

ดูแลจากเจ้าตัวเป็นอย่างดี ขณะที่รูปร่างสูงโปร่งแต่ว่าอุดมด้วยมัดกล้าม

ก็ทำให้การสวมชุดสากลแบบลำลองดูเหมาะเจาะมากกว่าชาวสยามอื่นๆ

อีกหลายคน โดยเฉพาะกับคนที่เดินมาด้วย ที่แม้จะสูงเพียงแค่ไหล่ของ

คนแรก แต่ก็สวมชุดแบบเดียวกัน ทำให้แลดูหลวมโพรกเหมือนยืม

เสื้อผ้าพี่ชายมาใช้ ผมยาวที่รวบเป็นหางม้าตรงท้ายทอยทำให้ดูยิ่งตัวเตี้ยลงไปอีก

คนตัวเล็กนี้ผิวพรรณผ่องใสกว่าคนแรก ดวงหน้าก็หวานละมุน

หากไม่ดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัว ใครไม่เคยได้พูดจาปราศรัยก็คงคิดว่า

เป็นพ่อหนุ่มน้อยหน้าละอ่อน

พอพ้นโค้งกอไผ่ เจ้าคนตัวเล็กกว่าก็เร่งฝีเท้า พอเจ้าคนตัวใหญ่

เริ่มกวด ก็เริ่มวิ่ง ในที่สุดจึงกลายเป็นวิ่งแข่งกันมายังร้านกาแฟริมทาง

ซึ่งเป็นร้านแบบทางยุโรปที่ยินดีต้อนรับคนทุกเชื้อชาติ ไม่เหมือนร้านอื่นๆ

ในย่านนี้ โดยเฉพาะพวกเจ๊กจีนที่ยอมตัวให้อยู่ในปกครองของชาติ

ตะวันตก ซึ่งบางทีก็ออกปากไล่คนหัวดำเอาง่ายๆ ขณะที่เรียก “เชิญขะ

เชิญขะ เจ้านาย” กับฝรั่งตาน้ำข้าวทุกคน

เพราะฉะนั้นเมื่อสองคนที่แต่งตัวโก้เก๋ดูเหมือนผู้มีอันจะกินแวะ

เข้ามา เจ้าของร้านจึงกุลีกุจอออกมาต้อนรับ

“สวัสดีครับคุณผู้ชายทั้งสอง รับอะไรดีครับ” เจ้าของร้านแทบจะ

จูงให้ทั้งคู่เข้ามานั่งในโต๊ะตัวที่ว่าง

“ข้าวผัดสองจาน แต่เอาคอฟฟีมาก่อนสองแก้ว”

คนตัวสูงกว่าสั่งอย่างขอไปที ทำให้เจ้าตัวเล็กรีบแย้ง

“คอฟฟีแก้วเดียว อีกแก้วขอโกโก้...”

“อะไร ไอ้อุ่น กินเป็นเด็กไปได้”

“พี่ธรรม์กินไปคนเดียวเถอะ คอฟฟีน่ะมันบีบขมองรู้ไหมล่ะ”

“ใครเขาสั่งสอนเอ็งว่ากินคอฟฟีแล้วบีบสมอง”

“ตอนเรียนก็แอบหลับไงล่ะ ถึงไม่รู้ว่าคอฟฟีมีกาเฟอีน แล้วยังงี้

ที่หลวงพ่อปล่อยให้กลับมาท่องตำราเตรียมสอบ จะไปได้สักกี่น้ำ” ไอ้อุ่น

ลอยหน้าพูด เพราะตัวเล็กกว่า ทำให้สองคนเหมือนคู่พี่ชายน้องชายที่

ดูผิดฝาผิดตัวกันพิกล

“ตกลงว่าคุณท่านนี้รับข้าวแฝ่ อีกท่านรับโกโก้ แล้วก็ข้าวผัดอีกสองจาน”

“ไม่ๆ เอาข้าวผัดมาจานเดียว ถ้าพี่ธรรม์อยากจะกินก็กินไป

กระผมขอแฮม ไข่ดาว แล้วก็ขนมปังปิ้งกรอบๆ สักแผ่น”

“อะไรอีกเล่า ตะวันจวนจะตรงหัวอยู่แล้วยังจะสั่งเบร๊กฟรัส”

“กระผมไม่ได้สั่งเบร๊กฟรัส กระผมสั่งแฮม ไข่ดาวกะขนมปัง”

“เออ! นั่นแหละ”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่!”

“เออ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่”

ที่สองคนสนิทสนมกันมาก นอกจากเรื่องอื่นแล้วก็เพราะเป็น

เช่นนี้ คือเมื่อไอ้อุ่นจะพูดจาเลอะเทอะอย่างไร พี่ธรรม์ของมันก็ยอมเห็นดี

เห็นงามไปด้วยทุกเรื่อง

สองคนเงียบไปอีกครู่ ก่อนที่คนตัวใหญ่กว่าจะถามขึ้นว่า

“ทำไมถึงชอบเอาชนะนักล่ะอุ่น”

“กระผมก็เป็นอย่างนี้ รู้จักกันมาตั้งนาน พี่ธรรม์ไม่น่าจะถาม”

“งั้นก็ช่างเถอะ แต่รับรองว่าสอบคราวนี้เอ็งไม่ชนะข้าแน่ๆ ถึงจะ

ชวนให้ข้าไปค้างที่บ้าน แต่อย่าคิดว่าจะอ่อนข้อให้นา”

“แค่พี่ธรรม์มาเป็นเพื่อนก็ดีแล้ว กระผมจะรับรองให้อย่างดีเลยเทียว”

ดวงหน้าละมุนของ ‘ไอ้อุ่น’ นั้นราวกับเด็กหนุ่มยามตกอยู่ในห้วง

ของความรัก ขณะที่สายตาของ ‘พี่ธรรม์’ ก็แพรวพราวอยู่ตลอดเวลาที่

ส่งสายตาให้กัน แล้วต่างคนก็ต่างเขินอายไปเอง จนคนตัวใหญ่กว่าต้องขัดขึ้น

“ขอตัวสักประเดี๋ยว ขอไปปล่อยเบาก่อนนะ” เขายิ้มให้แก่คนตรงหน้า

ที่ตอนนี้อยู่ๆ ก็หน้าแดงขึ้นมาเฉยๆ

“จะไปก็ไป ทำไมต้องมารายงาน”

หลังจากที่ทรงธรรมลุกจากไปแล้ว ไอ้อุ่นจึงได้แต่บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว

ในร้าน นอกจากสองคนนี้แล้ว ยังมีอีกสองสามโต๊ะที่นั่งละเลียด

บรรยากาศแบบชาวยุโรป กลุ่มหนึ่งมากันห้าคน แต่สุมรุมอยู่ที่โต๊ะเดียว

โดยลากเก้าอี้มาเพิ่ม ไอ้อุ่นชำเลืองมองแวบเดียวแล้วก็ไม่สนใจอะไรอีก

แต่คนพวกนั้นเฝ้ามองสองหนุ่มอยู่ตั้งแต่แรก พอทรงธรรมลุกไป ชาย

คนหนึ่งในกลุ่มซึ่งหน้าตาสะอาดสะอ้านที่สุดก็ลุกมาสะกิดไหล่ไอ้อุ่นเบาๆ

“น้องชายๆ ช่วยอะไรหน่อยสิ”

ไอ้อุ่นหันไปตามเสียง เห็นสีหน้าท่าทางเศร้าๆ ของคนสะกิดทักก็แปลกใจ

“มีอะไรรึ”

ชายคนนั้นเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นว่าไม่มีใครมอง ก็ค่อยยก

ห่อผ้าที่ถือติดมือมา คลี่วางลงบนโต๊ะ ไอ้อุ่นถึงกับตาค้าง เพราะในห่อผ้า

เก่าๆ มีทองคำเล็กๆ อยู่หลายแท่ง

“คืออย่างนี้นะ...ข้าจะต้องรีบขึ้นไปเชียงใหม่ ทั้งลูกทั้งเมียพากัน

จับไข้หนัก แต่ว่าพกของแบบนี้ไปด้วย กลัวจะเจอพวกโจรเข้าน่ะ”

“ใช่สิ เชียงใหม่ตั้งไกล ไม่รู้กี่วันกว่าจะถึง ทำไมไม่ไปที่กงสุล

อังกฤษ แลกเป็นตั๋วเงินแล้วไปถอนที่เชียงใหม่ ทั้งปลอดภัยทั้งพกพา

สะดวก” ไอ้อุ่นให้ความเห็น พร้อมทั้งเห็นอกเห็นใจชายแปลกหน้าผู้นี้ไม่ใช่น้อย

“นั่นน่ะซี ข้ารีบมา นี่ก็ข้ามมาจากฝั่งธนบุรี มาถึงนี่แล้วก็ไม่อยากย้อนกลับลงไป”

“แล้วจะให้ช่วยอะไรล่ะ”

คราวนี้ที่ถามเพราะยังเดาไม่ออกว่าเขาจะให้ช่วยอย่างไรจริงๆ

“ก็ดูจากการแต่งตัวของน้องชาย คงพอจะมีเงินติดตัวอยู่บ้าง

ถ้าเป็นตั๋วแลกเงินก็ยิ่งดี ขอแลกกับข้าหน่อยได้หรือเปล่าล่ะ มูลค่าไม่ถึง

ก็ไม่เป็นไร ส่วนที่เกินข้าฝากเจ้าไว้ก่อนก็ได้”

“กระผมมีไม่เยอะนักหรอก เดิมทีเจ้าคุณพ่อจะให้เอาไปกำนัล

หลวงพ่อ แต่หลวงพ่อท่านไม่รับ ก็เลยจะเอากลับมาคืน”

พูดพลางไอ้อุ่นก็ล้วงธนบัตรออกมาปึกหนึ่ง ดูคร่าวๆ ค่าของมัน

ก็ไม่เท่าครึ่งหนึ่งของทองแท่งที่แผ่อยู่ตรงหน้า แต่ชายแปลกหน้ากลับ

ตาวาว ทำท่าจะตะครุบมันไว้ทันที ทว่ามีอีกมือฉวยเอาไปเสียก่อน

ทรงธรรมนั่นเองที่แย่งไปจากมือ พร้อมกับชี้หน้าชายแปลกหน้า

อย่างคนที่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน

“คิดว่าจะใช้วิธีนี้มาหลอกคนอย่างพวกข้าได้อย่างนั้นรึ” พูดจบก็คว้า

ทองมาแท่งหนึ่ง จัดวางให้เหมาะเหม็งแล้วเอาป้านน้ำชาทุบโครมลงไป

บดๆ บี้ๆ ให้แน่ใจ ก่อนจะยกขึ้นดูผลที่เกิดขึ้น

ชายแปลกหน้าหน้าเสีย เพราะทองแท่งนั้นแทบจะป่นเป็นผง...

ที่แท้คือปูนปั้นชุบทองบางๆ

“เอาอีกแล้วนะไอ้ธรรม์ ทำลายแผนการพวกข้าอยู่เรื่อย” ชาย

แปลกหน้าชี้หน้าโวยวาย ขณะเพื่อนที่นั่งคุมเชิงอยู่ไม่ห่างฮือกันเข้ามา

“มาซีวะ มาเลย แน่จริงเข้ามาเลย” ปากก็ร้องท้าไปอย่างนั้นเอง

เพราะพอทรงธรรมเหวี่ยงเก้าอี้เข้าใส่พวกนั้นไปสามสี่ตัว ก็ฉุดข้อมือให้

ไอ้อุ่นรีบวิ่งหนีออกมาด้วยกัน

เขาชำนาญเส้นทางตรอกซอยถิ่นแถบนี้เป็นอย่างดี เลี้ยวซ้ายเลี้ยว

ขวาอีกสองสามครั้ง ก็พากันทะลุมาถึงทางฝั่งสวนลุมพินี ปล่อยให้

จอมลวงโลกแก๊งตกทองทั้งสี่ห้าคนนั้น ได้แต่ยืนประกาศความแค้นอาฆาต

หมายมั่นจะจองล้างจองผลาญกันอยู่อย่างนั้น

 

ทั้งคู่พากันเดินเลาะมาทางซอยหลังสวนซึ่งวันนี้มีตลาดนัดเศรษฐี

มีของใช้จากยุโรปที่เจ้าของอยากเปลี่ยนแปรเป็นอย่างอื่นวางเร่ให้เลือกชม

อยู่มากมาย พอกันกับของกินที่ผู้ขายตั้งใจจะนำออกมาวางแผงโชว์ฝีมือ

มากกว่าจะหวังกำรี้กำไร

“หิวนัก ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กิน ยังต้องมาวิ่งหนีไอ้พวกเวรห้าร้อยนั่นอีก”

“แล้วพี่ธรรม์ไม่สู้มันล่ะ เห็นออกปากท้าอยู่เหยงๆ” ไอ้อุ่นอดขัดคอ

ไม่ได้ ก่อนที่มันจะพูดต่อไปว่า “เข้าร้านกันเถอะ แถวนี้ไอถนนมันร้อน

เหลือรับประทาน”

“แล้วแต่เอ็งสิ ใครชวนใครก็จ่ายแล้วกัน”

ที่จริงแล้วทรงธรรมก็มีแต่รูปร่างหน้าตากับความรู้ความคิดเท่านั้น

หรอกที่พอจะเชิดหน้าชูตากับใครๆ ได้ แต่ถ้าจะพูดกันเรื่องของฐานะ

เขาก็จนแสนจน อาศัยว่าได้คบหากับมิตรสหายที่มั่งมี จึงได้เป็นลูกขุน

พลอยพยักไปกับเขาด้วย ส่วนไอ้อุ่นเป็นถึงลูกพระน้ำพระยา วงศ์ตระกูล

ใหญ่โต มีเกียรติยศชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยต้นกรุง เมื่อมียศก็ย่อมมีลาภ

ตามมา ทำให้ไอ้อุ่นนั้นจัดอยู่ในพวกลูกผู้ดีมีอันจะกินขนานแท้และดั้งเดิม

ไอ้อุ่นพาทรงธรรมเข้ามาในร้านหนึ่งที่หรูหราโอ่โถง ที่ทำให้ยิ่งน่า

นั่งขึ้นไปอีกก็คือ ทั้งร้านมีแต่พวกหัวดำที่พากันแต่งตัวด้วยชุดสากล

สะอาดสะอ้านอย่างผู้มีฐานะกันทุกคน

“จะรับอะไรดีครับเจ้านาย” บริกรเข้ามาต้อนรับอย่างนอบน้อม

ทรงธรรมหันไปพยักพเยิดกับไอ้อุ่นอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาก ซ้ำยัง

หันไปพูดจาเล่นหัวกับบริกรหนุ่มน้อยได้อย่างเบิกบาน

“เอาอะไรก็ได้ที่กินแล้วไม่ตายน่ะน้องชาย”

“ไม่ได้นะพี่ธรรม์ เมื่อกี้กระผมก็บอกแล้วว่าจะดูแลพี่อย่างดี

เอาอย่างนี้ดีกว่า เอาของที่ดีที่สุดในร้าน เป็ดร่อน หมูหันหนังกรอบ

ปีกไก่น้ำแดง อะไรที่แพงที่อร่อยจัดออกมา”

“ไอ้อุ่น สั่งเยอะแยะขนาดนี้จะกินเข้าไปยังไงหมด”

“กินไม่หมดหรอกน่า แต่อยากชิมทุกอย่างเลยน่ะซี เถอะน่ะ

พี่ธรรม์ก็ช่วยกระผมชิมหน่อยก็แล้วกัน ของโปรดทั้งนั้น อยู่แต่ที่โรงเรียน

ของกินถูกปากมีที่ไหน”

“แล้วที่ว่ามานี่มันต่างกับของกินที่บ้านเอ็งยังไงล่ะ” เพราะทรงธรรม

รู้ฐานะของไอ้อุ่นเป็นอย่างดีจึงถามออกมาเช่นนั้น

“ก็ต้องต่างกันสิ เพราะที่บ้านกระผมน่ะต้องอร่อยกว่าร้านนี้

แน่นอน ไม่เชื่อพี่ธรรม์ก็ต้องชิมทุกอย่าง แล้วเอาไปเปรียบเทียบกัน”

ทรงธรรมไม่ได้ต้องการให้ไอ้อุ่นเลี้ยงดูปูเสื่อไปเสียทุกมื้อทุกคราว

อยากจะช่วยหารค่าอาหารได้บ้าง แต่ก็จนใจ เพราะในกระเป๋ามีอยู่ไม่กี่อัฐ

พอเขาแอบคลำหาดู ไอ้อุ่นก็จับสังเกตได้

“มีอะไรหรือพี่ธรรม์”

เขาเลยเสหันไปมองทางโต๊ะหนึ่งที่กำลังซุบซิบกันอยู่เกี่ยวกับเรื่อง

ผีสางที่อาละวาด

“หลวงเซ่งลูกชายของเจ้าคุณคหบดีไงล่ะ เขาว่าผีจับหักคอยัดลงบ่อ

นี่เพิ่งจะเอาศพออกมาจากคฤหาสน์บ้านเจ้าคุณอเนก...”

ไอ้อุ่นเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เพราะชื่อที่เอ่ยถึงเป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งคือ

บิดาของตนเอง

“น่ากลัวจังเลย แล้วผีหลวงเซ่งจะเฮี้ยนขนาดไหนกันล่ะทีนี้”

“นั่นน่ะสิ ตึกใหญ่หลังนั้นใครๆ ก็รู้ว่าผีดุแค่ไหน”

“ก็ต้องดุซี ตายโหงอย่างนั้น”

กำลังตั้งใจฟังอยู่ดีๆ ก็มีชายหนุ่มอีกคนเข้ามาสมทบ ท่าทางเขา

เหมือนคนสติเฟื่อง แต่งขาวทั้งชุด คล้องประคำเส้นยาวไว้สายหนึ่งกับ

มีเส้นเล็กอยู่ในมือ ท่าทางเขาทะนงองอาจ ท่าเดินผ่าเผยมั่นใจอย่างยิ่ง

กลุ่มที่พูดถึงคดีการตายของหลวงเซ่งรีบลุกขึ้นต้อนรับเป็นการใหญ่

“หมอเกตุอาคม เชิญๆ เชิญนั่งก่อน คงได้ทางในมาละซี ว่าวันนี้มีผีตายโหง”

พอขยับเก้าอี้ให้ที่นั่ง รินน้ำชาให้ดื่มเรียบร้อยแล้ว คนหนึ่งในกลุ่มนั้น

                        (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เขา...มีชีวิต มีหัวใจ หล่อน...มีหัวใจ แต่ไร้ชีวิต รักของเขากับหล่อนจะลงเอยได้อย่างไร? ด้วยความทะเยอทะยาน อยากหาความสุขสบายให้แก่ชีวิต ทรงธรรมจึงเกาะติดอุ่นเรือน บุตรสาวสุดรักของเจ้าคุณอเนกคุณากรอย่างแน่นหนา ว่าซ้ายเป็นซ้าย บอกขวาเป็นขวา ไม่ขัดแย้งให้ขุ่นขึ้ง เจ้าคุณจึงแสนเดียดฉันท์ คอยกีดกันมิให้อยู่ร่วมเรือน ให้ไปพำนักยังตึกฝรั่งของตระกูล ซึ่งเป็นที่ซ่อนความลับดำมืดของบรรพบุรุษเอาไว้ ทรงธรรมไปอยู่ที่นั่น ได้พบกับแสงเพ็ง หญิงสาวผู้ชะล้างความทะยานอยากจนหมดไปจากใจของเขา หล่อนงดงามเพียบพร้อม ทว่าด้อยไร้เพียงสิ่งเดียว...เป็นสิ่งเดียวที่มิมีวันทัดเทียม นั่นคือ หล่อนมิใช่มนุษย์!


รีวิว (1)

เขียนรีวิว

สายลม | 1 รีวิว
19/06/2014

เรือนมายา  โดย อรุณโณชา เรื่องนี้ถ้าคนอ่านมองเผินๆ  หรือแค่เพียงเห็นชื่อเรื่องอาจจะคิดว่าเป็นนิยายแนวโรแมนติกหรือดราม่าเป็นแน่  แต่ผิดเลยค่ะ ไม่ใช่เลยกลับมีความเป็นนิยายแนวแฟนตาซีมากกว่า  เรื่องนี้เนื้อหาและบรรยากาศในเรื่องเป็นนิยายย้อนยุคไปในช่วงสมัยโบราญ  ประมาณช่างต้นๆ รัตนโกสินทร์นางเอกเป็นลูกพระยา  พระเอกเป็นชนชั้นล่างที่ไม่ค่อยจะสมน้ำสมเนื้อกับนางเอกเท่าใดนัก เรื่องราวยุ่งวุ่นวายของเรื่องจึงเกิดขึ้น เอ่อเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรที่เหนือธรรมชาติด้วยนะคะ  นั่นคือเรื่องผีนั่นเองแต่เป็นผีแบบไม่น่ากลัว  เหมือนผีตลก ขำๆคอยช่วยเหลือพระเอกของเราอยู่ตลอด  ถึงเรื่องนี้เนื้อเรื่องจะเล่าด้วยความโบราณแต่ก็ให้ความรู้สึกว่าอยู่ในช่วงเวลานั้นจริงๆ  เหมือนว่าเรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงนั้น  แล้วเรารู้สึกอินกับเหตุการณ์นั้นๆไปด้วย  ต้องชมคนเขียนนะคะว่าเขียนได้ค่อนข้างดีทีเดียวมันทำให้คนอ่านไม่รู้สึกขัดหรือสะดุดในการอ่าน  แต่ทว่าใครที่ชอบนิยายหวานอาจจะหาความหวานจากเรื่องนี้ได้ค่อนข้างน้อยนะคะเพราะว่าเรื่องนี้พระเอกมีนิสัยที่ไม่ค่อยจะเข้าท่าสักเท่าไหร่ อธิบายไม่ถูกลองหามาอ่านกันดูแล้วจะเข้าใจ  แต่บอกก่อนเลยนะคะ อ่านแล้วรวดเดียวจบค่ะสนุกนะแบบวางไม่ลง  

สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024