ซึงกล่อมจันทร์ (หัสวีร์)
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 210.00 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 4 รายการราคา 95.00 บาท - 160.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
สองนครา
เจ้าหล้าฟ้าคำปักธูปลงในกระถางดินด้านหน้าปราสาทหลังกูบ ซึ่่งเป็นปราสาทที่มียอดขนาดใหญ่นั้นตั้งอยู่บนหลังนกหัสดีลิงค์ เป็นการตั้งศพบำเพ็ญกุศลตามประเพณีของเมืองเปียงฟ้า
เจ้าหลวงคนใหม่มองโกศทองที่บรรจุศพพี่ชายด้วยท่าทีเข้มแข็ง และพยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้ใครเห็นความเสียใจ ก่อนจะยกมือไหว้อีกครั้ง
กูบ หมายถึง ปราสาทชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นเรือนยอด ใช้บรรจุศพสำหรับกษัตริย์และพระสงฆ์ชั้นสูง
นกหัสดีลิงค์ หมายถึง สัตว์ในป่าหิมพานต์ ตัวเป็นนก แต่มีหัวเป็นช้าง ในล้านนา เรียกเพียงสั้นๆ ว่า “นกหัส” ส่วนชื่ออื่นที่ปรากฏเป็นภาษาบาลีว่า “หตถิลิงคศกุโณ”
หมายความว่า นกที่มีเพศเหมือนช้าง ตามความเชื่อ นกหัสดีลิงค์เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ มีกำลังมหาศาล การเผาศพของผู้ที่มีบารมีมากอย่างกษัตริย์หรือพระชั้นผู้ใหญ่
จึงจำลองปราสาทไว้บนหลังนกหัสดีลิงค์ แสดงถึงผู้ตายนั้นบารมีมาก ถึงอยู่บนหลังนกชนิดนี้ แล้วเดินมานั่งที่บัลลังก์ด้านข้าง
“ตอนนี้ข่าวสารเสียชีวิตของเจ้าหลวงฮู้ไปถึงเมืองน่านและล้านนาแล้วเจ้า” อินถารายงานให้เจ้าหล้าฟ้าคำรับรู้ เขาพยักหน้าก่อนจะถามต่อ
“แล้วเปิ้นฮู้ก่อ ว่าข้าเป็นเจ้าหลวงคนใหม่ของนครเปียกฟ้าแล้ว”
“น่าจะฮู้กั๋นหมดแล้ว มีจดหมายแสดงความเสียใจ๋มาจากหลายเมือง รวมถึงเมืองเวียงหมอก เจ้าหลวงเชียงมั่นและเจ้าเชียงทองเจ้าราชบุตร ฮับปากว่าจะเดินตางมาฮ่วมพิธีในวันส่งสการตวย”
เจ้าหล้าฟ้าคำเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยินดี ไม่ว่าเมืองเปียงฟ้าจะเป็นเช่นไร นครเวียงหมอกซึ่งถือว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้องก็ไม่เคยทอดทิ้งพวกเขา
“ข้ายินดีหลาย ตี้เจ้าเชียงมั่นยังฮักและเป๋นห่วงชาวเมืองเปียงฟ้าอยู่เสมอ”
เมืองเปียงฟ้าและเมืองเวียงหมอก แม้อยู่ไกลกัน แต่ด้วยสัมพันธภาพที่มีมาช้านาน ทำให้ทั้งสองเมืองผูกพันกันเหมือนญาติสนิท
เปียงฟ้าเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใต้ยอดเขาสูงชันอันเป็นป่าต้นน้ำ การเดินทางต้องขึ้นเขาสูงเหมือนปีนขึ้นไปบนฟ้าดั่งชื่อเมือง ส่วนเมืองเวียงหมอกนั้นอยู่ไกลไปอีกหลายโยชน์ เดินทางแรมเดือนกว่าจะถึง และได้ชื่อว่า
เวียงหมอกเพราะซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยหมอกหนา ข้าศึกจึงมิอาจบุกเข้าหาได้โดยง่าย
ตั้งแต่รุ่นปู่ของทั้งสองนคราไปร่ำเรียนกับครูบาเจ้าวัดเดียวกันที่เมืองมะละแหม่ง ทำให้สองเมืองเป็นดั่งพี่น้องไม่เคยทอดทิ้งกันสักครั้งและช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด
ปัจจุบันเมืองเวียงหมอกภายใต้การปกครองของเจ้าเชียงมั่น มีความแข็งแกร่งและกว้างใหญ่กว่าเมืองเปียงฟ้า แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ได้ลดตามขนาดเมือง
ข่าวการเสียชีวิตของเจ้าหลวงเมืองเปียงฟ้าสร้างความเสียใจให้แก่เจ้าเชียงมั่นยิ่งนัก ประจวบกับเดินทางมาแถวนี้พอดี เขาจึงตั้งใจมาร่วมงานส่งสการครั้งนี้ แถมยังพาเจ้าเซียงทองมาด้วย
“เจ้าเซียงมั่นพึ่งปิ๊กจากนมัสการพระธาตุเขี้ยวแก้ว ห่างจากเมืองเปียงฟ้าของเฮาไปบ่ไกลนัก คงแหมบ่เมินจะเดินตางมาไหว้ศพของเจ้าหลวงทัน”
เจ้าหล้าฟ้าคำถอนหายใจขณะมองปราสาทหลังกูบ เจ้าอ้ายเมืองเดินทางสู่เมืองบนแล้ว ตัดขาดเรื่องราวร้อนใจทุกอย่าง ผิดกับคนที่ยังอยู่ที่นี่ยังต้องคิดหนักกับอีกหลายปัญหาที่จะตามมา
ตะวันเปล่งกล้าเหนือยอดเขา เจ้าหญิงคนงามเดินเก็บดอกไม้อยู่กับบ่าวคนสนิท งานศพของลุงผู้เป็นที่รัก เจ้าแก้วจันตาอุทิศตนช่วยงานอย่างเต็มที่โดยไม่อิดออด เธออยากทำเพื่อลุงเป็นครั้งสุดท้าย
แม้จะไม่ได้เป็นบุตรสาวโดยตรง แต่ที่ผ่านมา เจ้าอ้ายเมืองก็รักและเอ็นดูเธอไม่น้อย
แค่คิดน้ำตาก็พานจะไหล...ลุงของเธอไม่น่าด่วนจากไปเลย ขาดเจ้าอ้ายเมืองเปียงฟ้าก็เหมือนขาดเสาหลักที่แข็งแกร่ง ขาดคนนำทัพสู้ศึกที่อาจเข้ามารอบทิศ
“เจ้าแก้ว ข้าเจ้าว่าปอแล้วดีก่อ” บัวผัดถาม หลังจากเห็นดอกไม้ที่ต้องการเต็มขันเงินในมือแล้ว
เจ้าหญิงคนงามมองก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงตอบรับ แล้วเอาสไบที่ยาวรุ่มร่ามมาพันแขนเพื่อความสะดวกในการเดินกลับคุ้ม
หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงโดนพ่อและแม่ตำหนิที่แอบขึ้นมาเก็บดอกไม้บนเนินสูงเช่นนี้ เพราะเป็นถึงหลานสาวของเจ้าหลวง และตอนนี้คงโดนตำหนิมากกว่าเดิมด้วยเป็นถึงธิดาของเจ้าหลวงคนปัจจุบัน
แต่เมื่อทุกคนมัวแต่ยุ่งกับการเตรียมงานส่งสการเจ้าอ้ายเมือง แก้วจันตากับบัวผัดจึงแอบมาทำอะไรตามใจ ซึ่งอีกไม่นานอิสระที่มีอยู่คงหายไป พลันสายตามองเธอก็สะดุดกับหนึ่งชีวิตที่หลบอยู่ในพุ่มไม้อย่างสั่นเทา
แก้วจันตาเพ่งมองลอดกิ่งไม้ก็พบว่ามันกำลังหวาดกลัวและพยายามจะวิ่งหนี แต่ขาที่บาดเจ็บทำให้ไม่สามารถทำได้ดั่งใจคิด
“ปี้บัวผัด มาดูกระต่ายน้อยตัวนี้ มันบาดเจ็บเป็นดีเอ็นดูนัก” แม้จะดูเป็นคนเข้มแข็ง แต่จิตใจของเธออ่อนโยนเหมือนผู้หญิงทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อพบเจอสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บ
บัวผัดเดินตามเสียงเรียก ก่อนจะยื่นมือไปจับสัตว์สี่ขาที่หมดทางหนีขึ้นมาอุ้ม
“สงสัยมันจะถูกธนูของพรานป่า” นางต้นห้องสันนิษฐาน ก่อนจะพยายามลูบที่หัวเพื่อให้มันหายตกใจ แก้วจันตาเห็นก็โมโหแทน
“กระต่ายตัวน้อยเดียว บ่ปอเอามากินมาเลี้ยงคนได้ ไผหนอยังมาใจ๋ฮ้ายยิงมันไดอยู่” เธอบ่นเพราะคิดว่าการล่าสัตว์ของคนที่นี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ดูจากสภาพของกระต่ายที่บ่าวคนสนิทถืออยู่ไม่ได้โตพอที่จะนำมาทำอาหารสักนิด
“หรือจะเป๋นพรานจากเมืองอื่น” บัวผัดสงสัย
ก่อนจะคิดไปกันใหญ่ เสียงทุ้มซึ่งดังจากด้านหลังทำให้สองสาวต้องหันไปมอง
“ข้ามาขอกระต่ายของข้าคืน” ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม แต่แววตาแสนเจ้าชู้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของสัตว์บาดเจ็บตัวนั้น หลังจากทดลองยิงธนูกับกลุ่มเพื่อนแล้วพบว่ามันหนีมาทางด้านนี้ ไม่นึกว่าจะมีสตรีบังเอิญจับมันได้
“สูเป๋นไผ กล้าดีจะใดมายิงนกตกปลาในเมืองเปียงฟ้า” บัวผัดไม่พอใจผู้มาใหม่
ชายหนุ่มยิ้มให้ ก่อนจะเดินเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัวจนนางต้นห้องเป็นฝ่ายหลบสายตาคมกร้าวที่มองมา
“ข้าคือแขกของเมืองเปียกฟ้า ข้าบ่ได้จะมาหาเรื่องพวกเจ้า ข้าแค่อยากจะขอกระต่ายคืน”
“ข้าบ่ได้ว่า หากท่านจะเอามันไปแกงกินเป๋นกับข้าว แต่กระต่ายตัวนี้มันน้อยอยู่บ่ปอตี้จะเป๋นอาหาร ยะหยังท่านบ่เลือกตัวตี้มันใหญ่กว่านี้”
เจ้านางที่เงียบอยู่นานถามขึ้นบ้าง เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันมามองหน้าเธอ
เมื่อสายตาดุดันสบกับดวงตาหวาน ความแข็งกร้าวก็แทบจะมลายลงทันที
“คือข้า..” การพูดจาฉะฉานเมื่อครู่หายไป กลายเป็นคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร
“ถ้าท่านบ่มีคำตอบหื้อข้า ข้าจะขอยึกกระต่ายน้อยนี้ไว้เหีย” แก้วจันตาเอ่ย พร้อมกับหันหลังกลับ
“เดี๋ยว” ในที่สุดเขาก็ตั้งสติแล้วตะโกนเรียกเธอ “แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะหยังมายึดกระต่ายของข้า”
แก้วจันตาชะงัก และปรายตามองคนถาม
“สิทธิ์ของเจ้าญิงแห่งเมืองเปียงฟ้า หวังว่าท่านคงเข้าใจ๋” บัวผัดตอบแทนและรีบพาเจ้านายเดินจากไป ทิ้งให้พรานหนุ่มมองตามอย่างเสน่หา
ใครจะนึกว่าบุตรสาวของเจ้าผู้ครองนครใหม่จะงดงามเพียงนี้
เจ้าแก้วจันตานั่งพนมมืออยู่ข้างๆ เจ้าทิพย์ดารา บุตรสาวของเจ้าอ้ายเมืองที่ยังสะอื้นเป็นบางครั้ง วันนี้เป็นวันส่งสการ จึงมีแขกเหรื่อมากมายมาร่วมส่งเจ้าหลวงคนก่อนสู่สรวงสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย
ญาติผู้ใหญ่นั่งอีกฝั่งใกล้กับที่นั่งของพระสงฆ์ ส่วนเจ้าหล้าฟ้าคำนั่งเคียงข้างเจ้าเชียงมั่น เจ้าผู้ครองนครเวียงหมอก ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีขาว
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีสงฆ์เสียงดนตรีปี่แนก็ดังก้อบง พร้อมกับการฟ้อนรำอันอ่อนช้อยของนางรำที่หน้าปราสาท
ประเพณีของเมืองเปียกฟ้าจัดงานเพื่อให้เห็นความไม่เที่ยงของสังขารเป็นการจากไปสู่ภพภูมิที่ดีของผู้ตาย มากกว่าจะเน้นให้เศร้าโศกเสียใจ
งานศพของอดีตเจ้าหลวงครั้งนี้ก็เช่นกัน ปราสาทที่บรรจุศพแสดงถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที่เขาจะไปอยู่ การแสดงฟ้อนรำที่เห็นคือการจำลองความรื่นเริงของ
เหล่าเทพบุตรและเทพธิดาบนสวรรค์ ซึ่งต่างยินดีไม่น้อยที่ได้ต้อนรับดวงวิญญาณของเจ้าผู้ครองนคร
“เจ้าแก้วเจ้า” บัวผัดกระซิบจากด้านหลัง ทำให้เจ้าหญิงคนงามค่อยๆหันไปมอง
“มีอะหยังปี้บัวผัด” เธอถาม เวลานี้บ่าวคนสนิทไม่น่าจะชวนคุยเรื่องอื่น
“เจ้าแก้วจำป้อจายคนนั้นได้ก่อเจ้า”
“คนไหน” เธอสงสัย ก่อนจะมองตามสายตาของบัวผัดไปยังฝั่งตรงกันข้าม แล้วสะดุดตาใครบางคนที่มองมายังเธอเช่นกัน ชายคนนั้นนั่งอยู่ด่านหลังเจ้าเชียงมั่น
“นั่นมัน...นายพรานตี้ป๊ะบนดอยแม่นก่อ” เธอจำได้ อาจเพราะหน้าตาที่หล่อเหลากว่าปุถุชนธรรมดา ทำให้เจ้าหญิงจำเขาได้ทันที
“แม่นแล้วเจ้า ข้าเจ้าลองถามคนตี้มาในงานแล้ว ป้อจายคนนั้นบ่ได่เป๋นนายพรานอย่างตี้เฮากื๊ด แต่คือเจ้าเชียงทอง เจ้าราชบุตรของเมืองเวียงหมอกเจ้า” คำรายงานของคนสนิททำให้แก้วจันตาตกใจ
“มิน่า ถึงบ่เกรงกลัวอะหยังเลย มาบ้านเมืองคนอื่นยังไล่ยิงนกตกปลาได้อย่างบ่เกรงใจ๋” ดูเหมือนการเจอกันครั้งแรกเมื่อยามเช้า ไม่ได้สร้างความประทับใจให้เจ้าคนงามนัก
แก้วจันตาปรายตามองหนุ่มรูปงามอีกครั้ง เขาส่งยิ้มมาให้แต่เธอกลับทำหน้าบึ้งและเสมองทางอื่นเสีย คนอย่างเธอไม่ใคร่จะรับไมตรีจากผู้ชายคนไหนง่ายๆ นอกจากแม่ทัพหนุ่มคนนั้นเท่านั้น
เจ้าหลวงคนใหม่เป็นคนจุดไฟจากสายชนวนซึ่งพุ่งตรงสู่ปราสาทลูกไฟแล่นเป็นทางยาว ก่อนจะระเบิดเป็นเปลวเพลิงลุกลามไปทั่วตัวเรือน ดอกไม้ไฟที่ตั้งอยู่รายรอบระเบิดตาม บอกไฟล้อหมุนกวัดแกว่ง
พร้อมกับเสียงก้องกัมปนาทของบอกไฟช้างร้อง พระเพลิงลุกท่วมตัวปราสาทอย่างรวดเร็วก่อนที่จะควันหนาจะปกคลุมราวกับม่านปิดฉากชีวิตเจ้าอ้ายเมืองดวงเดือนแจ่มจ้าบนนภา
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เจ้าหล้าฟ้าคำก็เดินมาที่ห้องโถง ที่นั่นเจ้าเชียงมั่นกำลังนั่งเอกเขนกจิบขารถดีอย่างสบายอารมณ์
“ขอสูมาตี้หื้อเจ้าปี้ต้องรอเมิน” เขากล่าวขออภัยที่ปล่อยให้แขกนั่งรอที่ห้องโถงเสียนาน หลังจากทำพิธีส่งสการเจ้าอ้ายเมืองเสร็จ เจ้าเชียงมั่นก็เอ่ยว่าก่อนนอนคืนนี้มีเรื่องจะปรึกษากับเขาเป็นการส่วนตัว
“ข้าฮู้ว่าท่านยุ่งอยู่ ไหนจะเรื่องงานศพ ไหนจะเรื่องบ้านเมือง” คนแก่กว่าเอ่ยอย่างเห็นใจ
“เจ้าปี้กับเจ้าหน่อเนื้อมาครั้งนี้ ข้าบ่ได้ต้อนฮับดีเลย” เขาออกตัวที่ไม่สามารถต้อนรัยเจ้าเมืองเวียงหมอกและลูกชายที่ดีเท่าไร
“อย่ากื๊ดนักเจ้าหลวง ข้ามาอาลัยศพ บ่ได้มาเยี่ยมอย่างเป๋นตางการ” เจ้าเชียงมั่นบอกให้เขาสบายใจ
“แล้วเจ้าปี้มมีเรื่องอันใดก๋า หรือจะเป๋นเรื่องของเมืองเปียงฟ้า” คำสันนิษฐานของเจ้าหล้าฟ้าคำทำให้คู่สนทนาพยักหน้าทันที
“แม่นแล้วเจ้าหลวง ณ เวลานี้ ท่านจะเยียะจะใดกับเมืองเปียงฟ้า” คำถามของเจ้าเชียงมั่นทำให้คนฟังครุ่นคิดอย่างหนัก
“ข้าเองก่อยังบ่แน่ใจ๋ว่าจะเยียะจะใด การจากไปของเจ้าปี้ ข้าเองก่อบ่ทันตั้งตัว”
“ข้าเข้าใจ๋” เจ้าเชียงมั่นเอ่ยพร้อมกับยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ “แต่เฮาจะลังเลบ่ได้แล้วเน้อเจ้า ตอนนี้ข่าวว่าเมืองม่านนำทัพโดยโป่สมิงกำลังนำทัพเกือบหมื่นมาไล่ล่าเมืองน้อยใหญ่แถวนี้”
เจ้าหล้าฟ้าคำตกใจคำพูดของเจ้าต่างแดนไม่น้อย
“หรือว่าท่านจะนำเมืองเปียงฟ้าเข้าสวามิภักดิ์กับล้านนา”
“ข้าบ่ได้ต้องการจะอั้น เวลานี้ล้านนาก่อไปขึ้นกับสยามเหียแล้ว หากไปอยู่ฮ่วมกับเจ้าเชียงใหม่ก่อคงช่วยเหลืออะหยังเมืองเปียงฟ้าบ่ได้”
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)