The Sixth Sense เปลวไฟในสายลม

The Sixth Sense เปลวไฟในสายลม

2 รีวิว  2 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165000529
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 260.00 บาท 65.00 บาท
ประหยัด: 195.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

‘โอ...คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย...ลูกเห็นมันอีกแล้ว!’

เนตรสิตางศุ์เบิ่งตากว้างมองภาพตรงหน้าด้วยความพรั่นพรึงดังเช่น ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์นี้ โชคดีที่ร่างเล็กบางราวกับตุ๊กตากระเบื้องยังนั่งอยู่ ริมหน้าต่างรถทัวร์ซึ่งมีป้ายชื่อคณะจิตรกรรมฯ ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังติดอยู่ หญิงสาวจึงไม่ล้มพังพาบลงไปกับพื้นให้อับอาย

หญิงสาวคิดถึงบิดาและพี่ชายที่เป็นตำรวจจับใจ หากเชื่อคำเตือนของทั้งสองไม่ให้มาร่วมกิจกรรมรับน้องซึ่งจัดขึ้นที่หาดทุ่งวัวแล่น ชายทะเลในจังหวัดชุมพร เธอคงไม่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่อยากเห็น ความที่เป็นน้องเล็ก ของบ้านซึ่งมีแต่คนคอยปกป้อง เนตรสิตางศุ์จึงยืนกรานที่จะมางานรับน้องให้ได้ เพี่อพิสูจน์ให้พ่อและพี่ชายเห็นว่านักศึกษาปีหนึ่งอย่างเธอโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ เธอคิดผิด...พี่ณัฐเตือนแล้วว่าวันพระจันทร์เต็มดวงแบบนี้อันตราย สำหรับสายตาของเธอ

ภาพของผู้ชายร่างสูงใหญ่นุ่งผ้าโจงสีแดง ยืนปักหลักอยู่ตรงศาลเพียงตา ที่ทำด้วยไม้เก่าๆ หน้าต้นไทรนั่นไงล่ะ เป็นข้อพิสูจน์ ใช่แล้ว...เนตรสิตางศุ์มองเห็นผี!

มันเริ่มตั้งแต่เธอเพิ่งเกิดเสียด้วยซ้ำ พ่อกับแม่เล่าว่าเธอร้องไห้ทุกคืน พวกท่านจึงคิดว่าลูกน้อยมีอาการ ‘โคลิก’ แม้เด็กหญิงเติบโตจนรู้ความ อาการ นั้นก็ยังไม่หาย บางครั้งหนูน้อยก็ร้องไห้โยเยอย่างหวาดกลัวทั้งที่ไม่มีอะไร และบางทีก็คุยเจื้อยแจ้วเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ลำพัง ซ้ำยังเล่าเรื่องแปลกประหลาด เกี่ยวกับคนซึ่งไม่ควรอยู่ ณ ที่นั้น ทั้งสองจึงได้รู้ต่อมาว่าบุตรสาวมองเห็นวิญญาณ โดยเฉพาะช่วงพระจันทร์เต็มดวงหรือวันพระจะเห็นชัดเจนเป็นพิเศษ ชนิดที่ ภูตผีในหนังสยองขวัญทุกเรื่องในโลกรวมกันยังชิดช้าย

...เช่นเดียวกับวิญญาณหน้าตาเกรี้ยวกราดที่เธอเห็นในขณะนี้ เนตรสิตางศุ์หลับตาปี๋ ดวงหน้าน่าเอ็นดูเหยเกอย่างหวาดกลัว เธอยกมือสั่นเทาปิดตาไว้อีกชั้น ขมุบขมีบปากสวดมนต์แบบที่เคยทำ ความพรั่นใจทำให้ หญิงสาวสับสนไปเสียหมด

ท่ามกลางความสะเทือนขวัญมือเย็นเฉียบของใครคนหนึ่งจับข้อมือบางไว้ “ว๊าย! กลัวแล้ว กลัวแล้วจ้า” เธอหวีดร้องด้วยความตกใจ “ลงจากรถกันเถอะ”

คนผู้นั้นเอ่ยแผ่วเบา หญิงสาวลอบมองผ่านช่องนิ้วอย่างกลัวๆ กล้าๆ จึงเห็นว่าเป็นกรรณา เพี่อนสาวที่นั่งด้านข้าง นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าเรียนใน คณะก็ว่าได้ที่ได้ยินเสียงเจ้าหล่อนพูดมากกว่าหนึ่งคำ

“เธอเองเหรอ” เจ้าของร่างน้อยถามตะกุกตะกักและเสยผมม้าอย่างเก้อเขิน โชคดีที่ทุกคนลงจากรถไปแล้ว ไม่เช่นนั้นหญิงสาวคงเป็นตัวตลกให้ใครต่อใคร หัวเราะเยาะความเฉิ่มเบ๊อะตามเคย

กรรณาเพียงแต่พยักหน้า หุบปากสนิทเหมือนปกติ ใบหน้าเคร่งขรึมอยู่ เป็นนิตย์ของเพี่อนร่วมคณะในยามนี้กลับแฝงความกังวลใจไว้ไม่ต่างกัน

เนตรสิตางศุ์รวบรวมความกล้า ฉวยสัมภาระทั้งหมดโดยไม่หันออกไป นอกหน้าต่างรถทัวร์อีกแล้วลุกตาม ความตื่นเต้นกับการรับน้องจางหายไป

นับตั้งแต่เห็นภาพชายนุ่งโจงกระเบนซึ่งเธอคาดว่าคงเป็นเจ้าที่

ตรงข้างรถ เธอเห็นเพี่อนสาวอีกสามยืนอยู่ ทั้งที่นักศึกษาส่วนใหญ่ ล่วงหน้าไปยังลานกว้างซึ่งจะใช้ทำกิจกรรม ไม่ไกลจากที่ว่างเป็นบ้านพักหลังใหญ่ ริมทะเลซึ่งมีอยู่สองหลัง ถัดไปอีกด้านคือป่าสนรกครึ้มเพิ่มความรู้สึกวังเวงทั้งที่ เป็นเวลาใกล้เที่ยง ยิ่งเสริมด้วยภาพของชายร่างใหญ่นุ่งโจงกระเบนแดงที่หญิงสาว มั่นใจว่ายังตระหง่านอยู่หน้าต้นไทรด้วยแล้ว เนตรสิตางศุ์ยิ่งขนลุกซู่

หญิงสาวบังคับตนเองให้ตรึงสายตาไว้ที่พื้น กระพุ่มมือไหว้ศาลเจ้าที่ด้วย ความตั้งใจ เพี่อขออนุญาตพักอาศัยและขอขมาลาโทษ เธอเพิ่งเห็นว่ากรรณา รวมทั้งเพี่อนทั้งสามซึ่งยืนอยู่ก่อนต่างยกมือไหว้แทบพร้อมเพรียงกันอย่างไม่น่าเชื่อ

สิ่งต่างๆ น่าจะดีขึ้น ทว่าหลังเก็บสัมภาระและนั่งพักผ่อนในบ้านพัก รอการรับนัองซึ่งจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ภาพของเจ้าที่ยังรบกวนจิตใจของหญิงสาว อยู่นั่นเอง

ร่างเล็กบางนั่งพับเพียบครุ่นคิดอยู่บนเบาะ ซึ่งปูเรียงไว้นับสิบ พลางลูบ หน้าแข้งที่เป็นรอยช้ำมาหมาดๆ หลังจากมัวแต่หลับหูหลับตาเดินจนสะดุดขึ้น บันได เพราะไม่อยากเห็นภาพอะไรในบ้านวังเวงที่เธอต้องนอนค้างให้เสียขวัญ ไปมากกว่านี้

เนตรสิตางศุ์รู้ดีว่าทุกแห่งหนมีสิ่งคักดิ์สิทธิและวิญญาณ เธอจึงอดสงสัย ไม่ได้ว่ารุ่นพี่ซึ่งเป็นโต้โผจัดงานรับน้องจะเชื่อเหมือนเธอหรือไม่ พวกเขาจะ เตรียมดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางเพี่อขออนุญาตท่านให้การรับน้อง ในวันนี้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นหรือเปล่า เพราะสีหน้าท่าทางของท่านเจ้าที่ที่เธอ เห็นติดจะเข้มงวดมากทีเดียว

ความคิดของหญิงสาวสะดุดลง เมื่อได้ยินแว่วๆ ว่าเพี่อนร่วมรุ่นสองคน ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง พูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเจ้าที่ เธอจึงตั้งใจฟัง

“ไปบอกเจ้าที่ก่อน เอาข้าวกล่องของฉันไปไหว้เอง” สาวโย่งสุดห้าวที่ชื่อ สุคนธรสบอกหลังตบย่ามของตัวเองดังปุๆ

“ไปสิ” ญาณินสาวโบฮีเมียนตอบรับ

ตอนนั้นเองที่กรรัมภา หรือแก้ม คุณหนูโฮโซผู้มากับเสื้อผ้าแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจดเท้า หันมาทางเธอ

“เราไปไหว้เจ้าที่กับพวกเขาดีไหม”

“ดีเหมือนกัน ไปสิ” ตุ๊กตากระเบื้องน้อยพยักหน้าทันที โดยไม่ลืมชวน กรรณาชึ่งเดินตามมาอย่างเงียบเชียบ

ครั้นสุคนธรสและญาณินนั่งลงหน้าศาลเพียงตาใกล้ต้นไทรใหญ่ซึ่งมี ผ้าแพรเจ็ดสีผูกไว้โดยรอบ ทั้งสามจึงคุกเข่าตาม

เนตรสิตางศุ์กวาดตามองไปรอบๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่เห็น ชายผู้นั้นยืนอยู่ดังที่หวั่นเกรง เธอจ้องเพี่อนสาวร่างโย่งซึ่งวางข้าวกล่องตรงศาล ไม้เก่าผุ ก่อนจุดธูปพร้อมยกมืออธิษฐานทำปากขมุบขมิบ ทุกคนในที่นั้นจึงรีบ ทำตามอย่างไม่รอช้า

ดวงหน้าเรียวเงยขึ้นจังหวะเดียวกับที่สุคนธรสผุดลุกจากพื้นด้วยท่าทาง คล่องแคล่ว

“อ้าว พวกเธอ...”

“ฉันอยากมาไหว้ด้วยน่ะ” หญิงสาวยิ้มหวานอย่างประจบเมื่อถูกจับได้ว่า แอบตามมา

“ฉันก็เหมือนกัน” กรรัมภากล่าวเสริม กรรณาเองก็พยักหน้าน้อยๆ ตาม เคย

สังหรณ์บางอย่างบอกว่าเพื่อนทั้งสี่แตกต่างจากคนอื่นซึ่งหญิงสาวเคยเจอ อย่างน้อยพวกเธอทั้งหมดก็มีความเชื่อเรื่องเจ้าที่เจ้าทางเหมือนกัน ซึ่งหาได้ ยากยิ่งสำหรับเด็กรุ่นใหม่ เธอยิ้มจนตาหยี พลางยื่นกล่องข้าวให้สุคนธรส

“ฉันจะแบ่งข้าวให้เธอนะ”

“โอ๊ย ไม่ต้องหรอก แค่นี้จิ๊บจ๊อย” สาวห้าวโบกมือปฏิเสธ แต่เพี่อนทุกคน ต่างกุลีกุจอแบ่งส่วนของตนเองใส่ฝากล่องเปล่าจนพูนเป็นภูเขากองย่อม

ข้าวผัดร่วมสาบานในยามนั้นอร่อยยิ่งกว่าอาหารมื้อใดที่สาวตัวเล็กเคย รับประทานร่วมกับเพี่อนในคณะคนอื่นเสียอีก เรื่องของศาลเพียงตาถูกลืมเลือน ไปในที่สุด มีเพียงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหญิงสาวห้าคนกับมิตรภาพซึ่งเริ่ม ผลิบาน

รอยยิ้มของเนตรสิตางศุ์เลือนหายไปในยามค่ำ

คนตัวเล็กนั่งอยู่บนผ้าทอมือผืนใหญ่ของคุณหนูแบรนด์เนม ผู้มีน้ำใจ แบ่งปันให้เพื่อนใหม่ทั้งสี่ได้นั่งทำกิจกรรมอย่างสบาย นักศึกษาคนอื่นจับจอง พื้นที่ล้อมรอบกองไฟจนเต็มหาดและสนุกสนานกับการร้องเพลงคลอเสียงกีตาร์ กับกลอง

เธอหาได้ดื่มด่ำในเสียงเพลงอันเร้าใจไม่ ทั้งไม่มีแก่ใจจะเล่นเกมหรือชม การแสดงที่รุ่นพี่เตรียมมาด้วยซ้ำ ยิ่งค่อนดึก ความเครียดของหญิงสาวเพิ่มขึ้น เท่าทวี ตรงข้ามกับบรรยากาศสนุกสนานเพราะความสนิทสนมระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ที่พอกพูน ผสมกับฤทธิ์เครื่องดื่มน้ำเมาร้อนแรงซึ่งห้าสาวพร้อมใจปฏิเสธโดย ไม่ลังเล

ดวงตากลมโตเหลือบมองรุ่นพี่และเพื่อนผู้ชายที่แหกปากร้องเพลงด้วย เสียงอ้อแอ้ ก่อนตุ๊กตาสาวจะก้มหน้างุด ใช้นิ้วพันปลายผมยาวสลวยซึ่งรวบเป็น หางม้าด้วยความกระวนกระวาย

เธอเห็นอีกแล้ว..ผู้ชายนุ่งโจงกระเบนคนนั้น เขายืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ ที่ศาลเพียงตาราวกับโกรธใครมาน้บร้อยปี

อึ๋ย! นั่นไงล่ะ เขากระทืบเท้าด้วย

เนตรสิตางศุหลับตาปี ก่นด่าตนเองที่เผลอเงยหน้าดูจนเห็นภาพเขย่าขวัญ อีกจนได้ เธอก้มหน้า ใช้มีอปิดตา สวดมนต์ถึงพ่อแก้วแม่แก้ว รู้สึกโดยไม่ต้อง ลืมตาว่าเพื่อนซึ่งนั่งเบียดชิดก็มีอาการกระสับกระส่ายไม่แพ้กัน ร่างบอบบางสะดุ้งโหยงเมื่อสาวห้าวที่สุดในกลุ่มโพล่งขึ้น “พวกเธอเป็นอะไรกัน นั่งเหลียวหน้าเหลียวหลังมานานแล้วนะ”

“ฉันบอกไม่ถูก” เนตรสิตางศุ์ตอบเสียงอ่อย เขยิบไปนั่งข้างหลังญาณิน โดยอัตโนมัติ ไม่ลืมปิดหน้าปิดตาไร้เช่นเดิม ไม่กล้าบอกความจริงเพราะบิดา มารดาสั่งนักหนาไม่ให้เล่าเรื่องสัมผัสพีเศษนี้กับใคร ครั้งสุดท้ายที่เธอไม่เชื่อและ พูดเรื่องนิ้กับเพื่อนตอนเรียนประถมสี่ เจ้าหล่อนก็ถูกทุกคนมองว่าเป็นตัวประหลาด ทันที

“หรือเธอกลัวผี” สุคนธรสคาดคั้น “ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันมียันต์

"เอ้านี่” สาวผมซอยล้วงเข้าไปในย่ามใบเก่ง หยิบกระดาษสีเหลืองพิมพ์ลายเพาเวอร์พัฟเกิร์ลออกมาสามสี่แผ่น ก่อนจะทำปากขมุบขมิบ แล้วเป่าเพี้ยงราวกับ แม่หมอจอมขมังเวท

“อะไรเนี่ย” กรรณาซึ่งเงียบขรึมมาตลอดถามอย่างทึ่งจัด “ยันต์เพาเวอร์พัฟ

หรือไง”

“เออ ศักดิ์สิทธ์นะโว้ย ของแบบนี้อยู่ที่เวทมนตร์และคาถาที่ใช้ พระอาจารย์ปู่ของฉันสอนมากับมือ รับรองผลร้อยเปอร์เซ็นต์ และมันไม่เกี่ยวกับกระดาษ ฉันชอบเพาเวอร์พัฟ บลอสซัม แล้วจะทำไม ยันต์ฉันเขียนด้วยหมึกล่องหน มัน ซุกอยู่ข้างในนั่นแหละ แต่ไม่อยากเขียนลบลายสวยๆ ของกระดาษ” สุคนธรส คุยโว ไม่ลืมกำชับ “พับใส่ไว้ในกระเป๋าซะ รับรองคืนนี้ไม่มีใครกล้ามายุ่งแน่”

“โอ้” คุณหนูแบรนด์เนมอุทานตาโต แล้วยื่นมือไปรับมาพับติดไว้ในกิ๊บ ติดผมยี่ห้อกุชชี “ไว้ตรงนี้แหละดี มันจะได้ไม่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน”

เนตรสิตางศุ์และเพี่อนคนอื่นต่างเก็บยันต์แม่หมอลงในกระเป๋าเสื้อ ก่อน หญิงสาวจะนั่งเงียบกริบ ซ่อนหน้าเหมือนเช่นเดิม

ทันใดนั้น กรรณาที่นั่งติดกันก็สะดุ้งสุดตัว เธอยกมือขึ้นปิดหูด้วยสีหน้า เจ็บปวด สาวตาทิพย์จึงเงยหน้าโดยไม่ทันคิด ก่อนจะอ้าปากกว้างกับภาพซึ่งทำให้ ปอดกระเส่าจนเครื่องในแทบออกมาดิ้นกระแด่วพร้อมกัน

ร่างของผู้ชายนุ่งโจงกระเบนแดงคนนั้นขยายใหญ่จนเกือบเท่าต้นตาล เขายืนคร่อมร่างของรุ่นพี่พงษ์ศักดิ์ที่กำลังร้องเพลงเสียงอ้อแอ้ หารู้ไม่ว่าใบหน้าดุด้นของอมนุษย์ซึ่งยืนอยู่เหนือร่างตนเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด

เท่านี้ก็พอแล้ว เนตรสิตางศุ์รีบหลับตาปี๋ ใช้มือปิดหน้า ก้มศีรษะฟุบลง ไปกับเข่าทันที เธอได้ยินเสียงของญาณินถามขึ้นอย่างร้อนรน

“เกิดอะไรขึ้น เธอเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า จะกลับไปนอนพักไหม” หญิงสาวไม่ตอบ แต่เมื่อกรรัมภาแตะมือที่หลังของตน ทำให้เนตรสิตางศุ์ เผลอลืมตามองภาพนั้นอีกครั้ง

ร่างใหญ่ยักษ์หันขวับมาทางพวกตนอย่างโกรธเกรี้ยว ยกนิ้วชี้หน้า และ อ้าปากตวาดด้วยถ้อยคำซึ่งหญิงสาวดีใจที่ไม่ได้ยิน เพราะแค่นี้ก็ขวัญกระเจิง ไปหมดแล้ว

“ว้าย!” เสียงอุทานของตุ๊กตากระเบื้องน้อยกับเพี่อนอีกสองคนดังขึ้น

หญิงสาวรีบหลับตาแน่นจนหน้าเกร็งไปหมด เธอหลบวูบหลังญาณิน และเริ่ม ร้องไห้กระซิกด้วยความหวาดกลัว เช่นเดียวกับกรรณาที่ยกมือขึ้นปิดหูแน่น

“ฉันไม่รู้ว่าพวกเธอเห็นอะไร แต่เขาบอกฉันว่าพวกเราไปลบหลู่เขา” ญาณิน กระซิบบอก

“ลบหลู่ยังไงล่ะ” เนตรสิตางศุ์กลืนน้ำลายเอื้อก ถามทั้งที่ยังหลับตา “ไม่รู้สิ เขายืนคํ้าหัวรุ่นพี่ที่กำลังเต้นอยู่กลางวงน่ะ” ญาณินเอ่ยแผ่วเบาให้ ได้ยินกันเพียงห้าคน

คำพูดของเพี่อนใหม่ทำให้สาวขี้กลัวลืมตามอง เธอรวบรวมความกล้าบอก ในสิ่งซึ่งไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนด้วยเสียงตะกุกตะกักแทบไม่เป็นประโยค “ฉะ...ฉะ...ฉัน...กะ...ก็...เห็น”

“ฉันก็เห็นเหมือนกัน เขาสูงเท่าตึกสิ่ชั้นแน่ะ แล้วชี้มาที่พวกเราด้วย” กรรัมภาเสริมอีกคน เช่นเดียวกับกรรณาซึ่งเอ่ยประโยคยาวที่สุดหลังเอามือปิดหู อยู่นาน

“ฉันได้ยินเขาคำรามเสียงดังและกำลังโกรธมาก”

“อีตานั่นไปทำอะไรไว้ล่ะเนี่ย เขาถึงได้โกรธขนาดนั้น” สุคนธรสทำจมูก ฟุดฟิด ก่อนถอนหายใจอย่างระอา

“ไม่รู้สิ เขาเมามากด้วย” ญาณินกระซิบตอบ แล้วหยุดชะงัก ทำให้เนตรสตางศุ์หันไปดูจึงเห็นว่าเพี่อนหลายคนในคณะที่นั่งอยู่ใกล้เคียงต่างมองห้าสาว ด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งหมดจึงฝืนยิ้มตอบไป พวกเขาไม่เห็นวิญญาณเจ้าที่ทำหน้าถมึงทึงยืนคํ้าอยู่กลางวงอย่างที่เธอเห็นนี่นา

“เอาไงดี ไปบอกเขาไหม” กรรัมภากระซิบกระชาบด้วยความระมัดระวัง มากขึ้น “เขาทำอะไรไว้ก็ให้ไปขอขมา”

“เขาไม่เชื่อหรอก” สุคนธรสยักไหล่ ก่อนผินหน้าไปทางรุ่นพี่พงษ์ศักดิ์ อย่างเบื่อหน่าย “ของแบบนั้นไม่เจอกับตัวไม่มีวันรู้สึก”

“ถ้างั้นจะทำยังไงดีล่ะ เขาโกรธมากนะ” วงหน้าอ่อนเยาว์เงยขึ้นเพียง เล็กน้อยเพี่อแอบมองผ่านรอยแยกของนิ้ว และก้มหน้าลงทันทีที่เอ่ยจบ

“เธอเห็น...” ญาณินกระซิบ

ตุ๊กตาสาวพยักหน้า มองลอดช่องให้เห็นแค่เพี่อนใหม่ที่ต่างก็ผงกศีรษะ.โปรดติดตามต่อในเล่ม......

 

 

 

รายละเอียด

เนตรสิตางศุ์ ผู้สามารถมองเห็นวิญญาณ

รีวิวจากบรรณาธิการ batorastore.com

The Sixth Sense เปลวไฟในสายลม

ผู้เขียน – แพรณัฐ

The Sixth Sense เปลวไฟในสายลม เรื่องราวของ เนตรสิตางศุ์ สาวสวยผู้บอบบาง ขี้อาย ผู้สามารถมองเห็นวิญญาณ ต้องรับหน้าที่ดูแลเคส ใบหม่อน นักแสดงสาวที่ถูกฆาตกรรม ที่น่าหนักใจยิ่งกว่าคือ ข้อเรียกร้องขอของวิญญาณที่ต้องการหาตัวฆาตกรมาลงโทษ ยายน้องหนูผู้นุ่มนิ่มที่สุดในกลุ่มจึงต้องข้องเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แถมยังไม่ทราบว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่บังเอิญมีคุณหมอวรวรรธ คุณหมอนิติเวชหัวใจร็อกผู้มีวิญญาณตามเป็นพรวนมาคอยป้วนเปี้ยนให้หัวใจกระตุก สงสัยเคสนี้จะบานปลายเสียแล้ว เพราะจำนวนผู้เข้าข่ายต้องสงสัยเพิ่มขึ้นทุกที่

จำได้ว่าตอนดูเป็นละคร แอดมินสุดแสนจะรำคาญ เนตรสิตางศุ์ เป็นที่สุด เธอมีความสามารถพิเศษในการมองเห็นวิญญาณ แต่เธอกลับกลัวผีขึ้นสมอง เจอทีก็ร้องไห้โวยวาย จนต้องใส่แว่นตาดำลงอาคมของสุคนธรสเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมองเห็นวิญญาณ แต่ถึงจะขี้กลัว แต่เธอก็มีความพยายามเรื่องการทำอาหารอยู่นะคะ คือเธอชอบคิดสูตรแปลกๆใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ออกมาแล้วส่วนใหญ่ก็กินได้นะ อร่อยด้วย แต่อย่าให้เธออารมณ์เสียนะ อาหารที่ทำมาจะกลายเป็น...กินไม่ได้ทันทีค่ะ...คือรสชาติเลวร้ายมาก แต่ในละครกลับเปลี่ยนให้เธอเป็นคนทำอาหารไม่เก่ง แต่ก็ยังขยันทำมาให้ทุกคนกิน แอดมินว่ามันเป็นความคิดของคนเขียนบทที่อยากให้คนดูเห็นและนับถือเรื่องความอุตสาหะตรงนี้ของเธอนะ แต่ในละคร เพื่อนๆและพี่ชายชิมอาหารของเธอมักจะฝืนพูดออกมาว่า “อร่อย” และลับหลังก็ใส่ตู้เย็นดองไว้ ไม่ก็เททิ้ง แอดมินการที่เพื่อนไม่ออกความเห็นเรื่องรสชาติอาหาร ปล่อยให้นางเอกเข้าใจผิดว่าอาหารที่เธอทำออกมาดี แล้วก็แอบเอาไปเททิ้งบ้างอะไรบ้าง แอดมินรู้สึกว่ามันแย่กว่าการวิจารณ์ตรงๆเสียอีก เพราะนั่นไม่ช่วยทำให้สกิลทำอาหารของเธอดีขึ้น…เอาล่ะ...มาว่าเรื่องเนื้อเรื่องกันต่อ อินไปหน่อยค่ะ...เล่มนี้ นางเอกต้องไปช่วยสืบคดีการตายอย่างมีเงื่อนงำของ ใบหม่อน นักแสดงละครเวทีแสนสวยที่เป็นดั่งแม่เหล็กของโรงละครแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องร่วมมือกับคุณหมอวรวรรธ หมอหนุ่มที่มีเรื่องผิดใจกับพี่ชายของเธอเรื่องแย่งผู้หญิงคนเดียวกันสมัยเรียนมหาลัย ดังนั้น ในเรื่องเราจะได้เห็นฉากจิกกัดด้วยวาจาของพี่ชายนางเอกจนหมอแทบจะเนื้อแหว่งเป็นริ้วๆ จากนั้นเนื้อเรื่องก็จะตัดไปทางการสืบสวนคดี โดยมีกรรณามาช่วย (เพราะนางเอกมองเห็นวิญญาณได้ แต่ไม่ได้ยินเสียง และดูท่านางจะไม่ใช่พวกที่มีวิชาอ่านริมฝีปากได้ ก็เลยต้องให้กรรณาที่ได้ยินเสียงผีมาช่วยฟังว่าพูดอะไรบ้าง) แน่นอนว่าการที่เธอเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรม มันทำให้เธอต้องได้รับอันตราย แต่ได้คุณหมอตาหนูมาช่วยไว้ตลอด เรื่องนี้พระเอกในนิยายน่ารักและขี้โวยวายน้อยกว่าในละคร แต่เขินตรงที่บอกว่า ได้กลิ่นวานิลลาออกจากตัวนางเอกเวลาอยู่ด้วยกัน เห็นแบบนี้ก็คารมคมคายไม่เบาเหมือนกัน พอหลังจากคลี่คลายคดีได้ก็ต้องมาหนักใจกับพี่ชายจอมหวงน้องสาว แถมแฟนเก่าพระเอกก็กลับมาขอคืนดีอีก เรื่องนี้จะจบยังไงขอให้ติดตามต่อในเล่มนะคะ


รีวิว (2)

เขียนรีวิว

Boa Hancock | 2 รีวิว
16/07/2014

เปลวไฟในสายลม เป็นเล่มจบ 1 ใน 5 ซีรีส์นิยายชุด “The Sixth Sense” เล่มนี้จะเกี่ยวกับ เนตรสิตางศุ์ ผู้ที่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ เนตรสิตางศุ์เปรียบเสมือนน้องน้อยของในกลุ่มห้าสาว เพราะเธอเป็นลูกสาวคนสุดท้องของครอบครัว และมีพี่ชายที่ห่วงและหวงมาก เนตรสิตางศุ์เป็นผู้ที่มีสัมผัสพิเศษที่ดูน่าจะเป็นประโยชน์มากที่สุดในกลุ่ม แต่เธอก็กลัวผีเป็นอย่างมากจึงต้องใส่แว่นตาลงอาคมอยู่เกือบตลอดเวลา เนื่องจากเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบริษัทซิกเซนส์จึงทำให้เธอต้องรับเคสที่เกี่ยวกับวิญญาณของใบหม่อนนางโชว์สาวประเภทสองที่ถูกฆาตกรรมโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ใบหม่อนสามารถติดต่อด้วยได้ โดยใบหม่อนได้ขอร้องให้เธอช่วยหาตัวฆาตกรมาลงโทษให้ได้ เลยเป็นเหตุให้เนตรสิตางศุ์ได้พบกับ คุณหมอวรวรรธ หมอนิติเวชหัวใจร็อก เนื่องจากที่เขาเป็นหมอนิติเวช เมื่ออยู่ด้วยกันเนตรสิตางศุ์ก็จะต้องเห็นวิญญาณตามมาเป็นพรวนด้วยทุกครั้ง เมื่อสืบคดีนี้ไปเรื่อยๆก็มีผู้ต้องสงสัยเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นศัลยแพทย์รุทร์ที่เป็นคนทำศัลยกรรมต่างๆให้กับใบหม่อนและเขายังมีความสนใจในตัวของใบหม่อนอีกด้วย นายลาภผู้ช่วยคนสนิทของรุทร์ หรือจะเป็นหัวหน้าฝ่ายคอสตูมที่ทำงานอยู่ในโรงละครแห่งนี้ และยังมีน้องออนซ์ที่เข้ามาแทนที่ใบหม่อนทั้งในเรื่องงานและเรื่องความรัก นอกจากนี้ยังไม่พอความรักของทั้งสองยังต้องพบกับอุปสรรคอีกอย่างนั่นคือ พีช ซึ่งเป็นแฟนเก่าของคุณหมอที่เข้ามาคอยรบกวนเนตรสิตางศุ์ โดยส่วนตัวรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้น่าอ่านตั้งแต่ได้เริ่มอ่านตัวอย่างหลังปกเลยค่ะ ด้วยนางเอกที่กลัวผีมากๆแต่กลับพิเศษกว่าคนอื่นที่ตัวเองสามารถมองเห็นวิญญาณได้ และนางเอกจะออกแนวคุณหนูผู้น่าทะนุถนอมแต่พระเอกจะออกแนวเป็นหนุ่มชาวร็อกออกเท่ๆห้าวๆ แต่ก็แอบมีมุมอ่อนโยนนะคะ ชอบพระเอกแนวนี้มากๆ แต่กลับมาหลงรักสาวน้อยคนนี้จึงอยากจะเปลี่ยนให้เนตรสิตางศุ์โตเป็นผู้ใหญ่สามารถดูแลตัวเองได้ เมื่อพระเอกนางเอกอยู่ด้วยกันก็น่ารักดีค่ะ เหมือนคุณพ่อกับลูกเลย เรื่องนี้เดาตัวคนร้ายได้ยากหน่อยค่ะ เพราะเป็นคนที่เราอ่านแล้วคาดไม่ถึงจริงๆว่าจะเป็นฆาตกรได้ สรุปแล้วสนุกมากค่ะเนื้อหาชวนติดตามมีการเพิ่มตัวละครเข้ามาเรื่อยๆ ได้เห็นถึงความรักความผูกพันของทั้งห้าสาวมากค่ะเล่มนี้เพราะเนตรสิตางศุ์เปรียบเหมือนน้องสาวคนเล็กในกลุ่มเลย อยากให้ติดตามอ่านกันนะคะ เป็นซีรีส์ที่สนุกอีกเรื่องหนึ่งเลยค่ะ สำหรับผู้ที่ชอบอ่านแนวลึกลับเหนือธรรมชาติแล้วก็ยังมีความน่ารักของเหล่าพระนางแต่ละคู่ที่ไม่ซ้ำกันเลยด้วยค่ะ
สกาวรัตน์ | 2 รีวิว
10/10/2013

หนังสือนิยายเรื่อง เปลวไฟในสายลม เป็นหนึ่งในซีรี่ส์เรื่องเยี่ยม The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ จากการประพันธ์ของ คุณแพรณัฐ ซึ่ง ได้รับการตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ พิมพ์คำ หนังสือนิยายเรื่อง เปลวไฟในสายลมเล่มนี้ เป็นนิยายเล่มหนึ่งในจำนวนหนังสือชุดเดียวกันที่มี 5 เล่ม 5 ตอนด้วยกัน ซึ่ง 5 เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของหญิงสาวแต่ละคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนและมีความสามารถพิเศษในเรื่องสัมผัสที่6 ที่แตกต่างกันออกไป และทุกคนได้รวมตัวกันเพื่อตั้งบริษัทปราบผีชื่อว่าซิกซ์เซนส์ นั่นก็คือ ญาณิน(ญาณสื่อรัก) กรรณา(กับดักรักลวง) สุคนธรส(เล่ห์บ่วงมนตรา) กรรัมภา(มายาร้อยใจ) เนตรสิตางศุ์(เปลวไฟในสายลม) โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายในหนังสือนิยายเรื่องเยี่ยมชุดนี้ค่ะ เปลวไฟในสายลม เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อว่า เนตรสิตางศุ์ เป็นสมาชิกสาวคนหนึ่งในบริษัท ซิกซ์เซนส์ จำกัด หรืออีกนัยน์หนึ่งก็คือบริษัทกำจัดผี ที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยส่งวิญญาณทั้งหลายให้ไปสู่สุขคติภพ และเพื่อความเป็นปกติสุขของผู้คน สำหรับคนสุดท้องของเล่มนี้ มีความสามารถในเรื่องของการมองเห็น เธอสามารถใช้ตาคู่นี้ของตนมองเห็นวิญญาณต่างๆ ได้แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็กลัวมันแทบขาดใจเหมือนกัน หน้าปกของเรื่องจึงจัดให้เป็นแว่นตาดำขึ้นหราเสมือนเป็นตัวแทนของนางเอกเรื่องนี้ก็ว่าได้ เนตรสิตางศุ์ เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวและยังเป็นสาวที่มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มปราบผีอีกด้วย และที่น่าสงสารก็คือ เธอกลัวผีที่สุดเช่นกัน เป็นสาวสวยที่ใครต่อใครทะนุถนอมดูแลแต่ด้วยความสามารถที่มีคือการมองเห็นวิญญาณได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์นี้เอง ทำให้เนตรสิตางศุ์ต้องเข้าไปพัวพันกับวิญญาณนักแสดงละครเวทีตนหนึ่งที่มีชื่อว่าใบหม่อนซึ่งเป็นสาวประเภทสอง โดยเสียชีวิตเพราะถูกฆาตรกรรม และวิญญาณของใบหม่อนก็ขอร้องให้เนตรสิตางศุ์ช่วยค้นหาคนร้ายที่คร่าชีวิตของตนไปซึ่งดูเหมือนจะหนักหนาสำหรับสาวน้อยแสนนุ่มนิ่มที่เป็นแม่ศรีเรือนมากอย่างเนตรสิตางศุ์เหลือเกิน ความบังเอิญที่น่าหนักใจอีกอย่างนั่นก็คือ การที่เนตรสิตางศุ์ได้ไปรู้จักกับคุณหมอวรวรรธ ชายหนุ่มที่เป็นคุณหมอนิติเวชเข้ามาพัวพันหัวใจให้วุ่นวายว้าวุ่น แถมเขาเองก็มีวิญญาณอยู่รอบตัวมากมายแต่ก็เป็นเสมือนผู้ช่วยที่ดีมากคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องคดีหรือเรื่องหัวใจก็ตาม ในเรื่องนี้ทำให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความน่ารักของเนตรสิตางศุ์ และความผูกพันฉันท์เพื่อนของกลุ่มสาวสวยนักปราบวิญญาณซึ่งสาวคนเล็กคนนี้ก็เป็นที่รักของทุกคน แต่ที่ชอบมากคือชอบพระเอกค่ะ โดยส่วนตัวแล้วผู้อ่านชอบคุณหมออยู่แล้ว ยิ่งเจอพระเอกหนุ่มแสนน่ารักหัวใจร็อคแต่กลับอ่อนโยนได้อย่างคุณหมอวรวรรธที่ช่างอบอุ่นอ่อนโยนน่ารักได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งทำให้ประทับใจกับนิยายเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลยค่ะ (บางคนอาจจะไม่ชอบก็ได้นะคะ อิอิ) หลงเสน่ห์หมอนิติเวชหนุ่มคนนี้เข้าให้เต็มหัวใจโดยเฉพาะตอนที่ปลอบใจนางเอกของเราในเรื่องที่กลัวผีกลัวการมองเห็นอะไรประมาณนี้ ใครที่ชอบผู้ชายอบอุ่นๆ ก็ไม่อยากให้พลาดเรื่องนี้นะคะ เป็นเล่มสุดท้ายของนิยายชุด The Sixth Sense ที่เหมือนเก็บภาพรวมของเรื่องได้อย่างน่ารักทีเดียวค่ะ

สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024