เพียงเธอ (ชญาน์พิมพ์)
ประหยัด: 285.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
La seule femme qui compte.
หญิงเดียวที่มีความหมาย
ร่างสูงสง่าในชุดเสื้อสูทสีเทาเข้มสไตล์อิตาลีดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะ
จดปลายเท้าสาวเท้าไปตามทางเดินของโรงเรียนสตรีชื่อดังของปารีส
ท่ามกลางสายตาและเสียงซุบซิบของเหล่านักเรียนสาววัยรุ่นที่ยืนแอบมอง
เขาด้วยสายตาชื่นชมทุกครั้งที่เห็นเขา ใบหน้าเล็กเรียวและขาวจัดแบบ
คนเอเชียที่เติบโตในเมืองหนาวนั้นถูกปิดบังเอาไว้กว่าครึ่งด้วยแว่นตาสีชา
อันเขื่องเช่นทุกครั้ง แต่ยังพอมองเห็นนัยน์ตายาวเรียวชั้นเดียวที่เป็นเสน่ห์
ของใบหน้าได้ชัดเจน จมูกโด่งคมและริมฝีปากแดงจัดได้รูปที่หยักโค้งขึ้น
ราวคันศรนั้นชวนลิ้มลองเสียจนเด็กสาวฝรั่งจอมซ่าบางคนถึงกับส่งเสียงแซว
เป็นเพลงอย่างไม่เกรงกลัวคุณครูจอมเฮี้ยบประจำโรงเรียนจะลงโทษสักนิด
“Monsieur, voulez-vous coucher avec moi ce soir?”
(คืนนี้อยากจะนอนกับหนูไหมคะคุณพี่)
ชายหนุ่มปรายหางตามองคนพูดนิดหนึ่งอย่างระอาใจ ก่อนจะทำเป็น
ไม่ได้ยินแล้วเดินต่อไปอย่างเร่งรีบ ใครบอกกันเล่าว่าเด็กนักเรียนสาวๆ
โรงเรียนสตรีชั้นสูงเรียบร้อยและมีมารยาทสมเป็นกุลสตรี เขาคนหนึ่งละที่
เถียงสุดใจขาดดิ้น ยายเด็กพวกนี้นี่ละแสบที่สุด โดยเฉพาะยายตัวยุ่งของเขา
รายนั้นแสบไปถึงกึ๋นเชียว สร้างเรื่องปวดหัวให้ต้องคอยตามล้างตามเช็ด
ไม่เว้นแต่ละวัน...คราวนี้ก็เช่นกัน
ไอ้แสบเอ๊ย วันนี้ไม่แคล้วได้ฟังเทศนายาวแน่ๆ!
ก๊อกๆ
มือเรียวยาวราวลำเทียนเคาะประตูไม้โอ๊กสีเข้มเคลือบเงาที่ด้านหน้า
ติดป้ายว่าห้องของผู้อำนวยการ ห้องซึ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้เขาเดินเข้า
เดินออกมาไม่ต่ำกว่าสามสิบครั้งแล้ว และแต่ละครั้งไม่เคยเป็นเรื่องดี
เสียด้วย ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตอนที่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของโรงเรียนปรากฏอยู่บน
หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนเส้นเลือดในสมองจะแตกตาย
เสียเดี๋ยวนั้น แม้จะพยายามคิดว่าตนกำลังเห็นภาพหลอนและกะพริบตาถี่ๆ
หลายครั้งเพื่อให้มันหายไป แต่เจ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เครื่องจิ๋วราคาแพง
ระยับก็ยังเต้นเร่าฟ้องถึงเหตุด่วนชวนปวดหัวที่เกิดขึ้นอยู่นั่นเอง เขาถึงต้อง
รีบบึ่งมาที่นี่ทั้งๆ ที่มีเอกสารของบริษัทรอให้สะสางกองโต
หน็อย...มันน่าจับแม่จอมยุ่งมาตีก้นนัก!
“Entrez (เข้ามาได้)”
น้ำเสียงราบเรียบที่ค่อนข้างแข็งกระด้างบอกชัดว่าคนที่อยู่ด้านในคง
อารมณ์ไม่โสภาเท่าใดนัก ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่แล้วพยายามปั้นหน้า
เคร่งขรึมให้ดูน่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่จะทำได้ คนอย่างนายเหอจวิ้นเจี๋ยอะไรๆ
ก็ดีหมด เว้นแต่หน้าอ่อนเหลือเชื่อ เหมือนหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ทั้งที่อายุปา
เข้าไปเกือบสามสิบหกปีแล้ว นี่ละที่ทำให้เขาต้องประสบปัญหาในการทำตัว
ให้น่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในการทำให้สุภาพสตรีสูงอายุที่อยู่
ด้านในเชื่อถือเขาในฐานะ ‘ผู้ปกครอง’ ของ ‘ไอ้แสบ’ ของเขา
“สวัสดีครับมาดามแบร์ทรองด์ ไม่พบกันนานคุณยังดูสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ”
ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในห้อง พร้อมโปรยยิ้มเยือกเย็นอันเป็น
เครื่องหมายการค้าไปให้สตรีสูงวัยในชุดสูทสีดำที่ดูอย่างไรก็เหมือนคุณครู
เจ้าระเบียบที่ทำหน้าเหมือนอยากจะฟาดไม้เรียวเข้าที่ก้นเขาสักเผียะ นัยน์ตา
สีฟ้าหม่นมองลอดแว่นกรอบทองทรงกลมมายังเจ้าของร่างสูงด้วยสายตาเย็นชา
“ไม่นานเท่าไหร่กระมังคุณเหอ เมื่อเดือนที่แล้วเราก็เพิ่งพบกันไม่ใช่เหรอคะ”
จวิ้นเจี๋ยยังคงสวมหน้ากากรอยยิ้มขณะยื่นมือไปทักทายตามมารยาท
ใช่...เมื่อเดือนที่แล้วเขาเพิ่งถูกเรียกมาพบเรื่องความประพฤติของยายตัวยุ่ง
นี่ละ ยังไม่ทันไรก็ต้องมาอีกแล้ว นัยน์ตายาวเรียวตวัดมองตัวต้นเหตุที่
นั่งไขว่ห้างแถมเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างคาดโทษ
ดวงหน้าใสกระจ่างที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมดำขลับยาวสยายระบ่านั้น
งดงามราวนางฟ้าตัวน้อยๆ ทั้งดวงตาคมซึ้งล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนหนา
รับกับแนวคิ้วโก่งได้รูปและจมูกเล็กโด่งราวเทพปั้นแต่ง ทั้งเรียวปากอิ่มเต็ม
ที่แดงปลั่งดุจกุหลาบแรกแย้มเช่นเดียวกับสีของพวงแก้มนุ่มละมุน แถมยัง
มีเรือนกายเปล่งปลั่งเป็นสาวเกินตัว ใครเห็นเป็นต้องมองเหลียวหลังทุกราย
โดยไม่รู้เลยว่าแม่สาววัยสิบแปดปีคนนี้คือนางมารร้ายตัวจริง!
จวิ้นเจี๋ยรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของเจ้าหล่อนไปถึงทรวงเชียวละ ก็...
แทบจะเรียกได้ว่าเลี้ยงมาเองกับมือเลยนี่
“ผมต้องขอประทานโทษจริงๆ ครับที่พุดพิชญาก่อเรื่องไม่หยุด
ไม่หย่อนแบบนี้” ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวตึงเครียดพอๆ กับ
มวยผมที่รวบตึงเปรี๊ยะของหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้โอ๊กตัวเขื่อง
เขาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่ง พลางเหลือบมองไปยังมุมห้องที่มีเด็กสาววัยรุ่น
ชาวฝรั่งเศสสองคนซึ่งมีสภาพสะบักสะบอม ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีรอยฟกช้ำ
ดำเขียวไปทั้งตัว ดูปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าคงเป็นคู่กรณีของยายตัวแสบของเขาแน่
“คราวนี้ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรอีกเหรอครับ”
“คุณก็เห็นแล้วนี่ว่ามาดมัวแซลพุดพิชญา เฉิน ก่อเรื่องอะไรไว้”
มาดามชองตาล แบร์ทรองด์ ปรายตามองสองสาวที่นั่งร้องไห้กระซิกๆ ด้วย
สายตาดุดันเสียจนทั้งคู่ต้องหยุดทำท่าสะอื้นเกินเหตุ ผู้อำนวยการที่
คร่ำหวอดกับการกำราบเด็กแสบมานานพอจะรู้ว่าทั้งพุดพิชญาและคู่กรณี
นั้นร้ายไม่ต่างกันนักหรอก เพียงแต่อีกฝ่ายดูจะเจ็บตัวได้เลือด ในขณะที่
แม่สาวสวยประจำโรงเรียนกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำ “ฉันแจ้งไป
แล้วนี่ว่าขอพบเมอสิเออร์เฉิน คุณพ่อของมาดมัวแซลพุดพิชญา เฉิน ไม่ใช่คุณ”
“เกรงว่าจะยากครับ” จวิ้นเจี๋ยตีหน้านิ่ง “นายกำลังยุ่งกับการจัด
นิทรรศการภาพวาดอยู่ คงไม่มีเวลา นายก็เลยมอบหมายให้ผมเป็นคนดูแล
เรื่องของพุดพิชญาทุกเรื่อง”
เขาอยากจะบอกอยู่เหมือนกันละว่าขืนให้เมอสิเออร์เฉินของผู้อำนวย-
การ หรือเฉินหมิงเจ้านายของเขามาเอง เรื่องมันคงจะยิ่งยุ่งวุ่นวายมากกว่า
นี้ รายนั้น...แสบยิ่งกว่าลูกสาวเสียอีก แถมยังคอยให้ท้ายลูกจนจะเสียเด็ก
อยู่แล้ว นี่ถ้าเขาไม่คอยปรามเอาไว้บ้าง มีหวังพุดพิชญาคงถูกไล่ออกจาก
โรงเรียนไปนานแล้ว
“เห็นได้ชัดว่าคุณดูแลเธอไม่ดีพอ” มาดามแบร์ทรองด์พูดเสียงเข้ม
เธอเห็นข่าวในโทรทัศน์เรื่องที่ศิลปินระดับโลกอย่าง ไมค์ เฉิน จะจัดงาน
นิทรรศการภาพวาดของตนเองอยู่เหมือนกัน ท่าทางจะเป็นงานใหญ่เอาการ
เพราะนอกจากเขาจะเป็นจิตรกรชื่อดังแล้ว ยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลในแวดวง
ธุรกิจเครื่องประดับและแฟชั่นอีกด้วย คงต้องทำอะไรให้สมกับหน้าตาหน่อย
กระมัง แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะปล่อยลูกสาวเอาไว้ให้มือขวาดูแลแทนจนก่อ
เรื่องสร้างความเดือดร้อนไปทั่วแบบนี้ “ที่ผ่านมา มาดมัวแซลเฉินอาจจะมี
ความประพฤติที่ไม่เข้ารูปเข้ารอยไปบ้าง แต่มีผลการเรียนดีเยี่ยม เราจึงยัง
พออะลุ่มอล่วยได้บ้าง แต่ครั้งนี้...มันเกินไปจริงๆ”
“เพราะตึกเรียนที่ป๊ะป๋าสร้างให้ต่างหาก”
พุดพิชญาแบะปากแล้วพึมพำเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ที่ยายมาดามหน้า
เลือดทนให้เธอเรียนอยู่ที่นี่ได้ เพราะบิดาของเธอบริจาคเงินให้สร้างอาคาร
เรียนที่มีอุปกรณ์การศึกษาครบครันถึงสามหลังทุกครั้งที่เธอก่อเรื่องใหญ่ต่างหากเล่า
“เพ่ยเพ่ย” จวิ้นเจี๋ยขึงตาดุแม่สาวน้อยจอมพยศ แล้วชี้นิ้วเป็นเชิงสั่ง
ให้เธอเปลี่ยนท่านั่งให้เรียบร้อย พุดพิชญาเม้มริมฝีปากนิดหนึ่งด้วยท่าทาง
เหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่ายเสียจนมาดามแบร์ทรองด์
นึกว่าตนเองเห็นภาพหลอนกลางวันแสกๆ เสียอีก ขนาดเธอทั้งดุทั้งทำโทษ
สารพัดสารพัน แม่สาวแสบก็ไม่เคยจะยอมลดความเฮี้ยวลงสักนิด แต่กับ
ผู้ชายคนนี้...แค่ชี้นิ้วสั่งโดยไม่ต้องพูดสักคำก็ยอมเชื่อฟังประหนึ่งสุนัขที่กลัว
ครูฝึกจนหงอ “ครั้งนี้มันเกินไปยังไงเหรอครับ เท่าที่ผมเห็นก็ดูเหมือนจะ
เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทกันธรรมดา”
“ก็...อย่างที่เห็นว่าตรงนี้มีคู่กรณีที่บาดเจ็บสองคน อีกคนแขนเดาะ
นอนอยู่ที่ห้องพยาบาล” มาดามแบร์ทรองด์ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย เธอ
หยิบแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ขึ้นอ่านด้วยน้ำเสียงเข้มจนเรียกได้ว่ากระด้าง
“เปียโนในห้องดนตรีพังไปสองหลัง เชลโลสี่ตัว กระจกหน้าต่างแตกหกบาน
เพราะมาดมัวแซลเฉินโยนเก้าอี้และข้าวของออกไปด้านนอก อ้อ...และ
แน่นอนว่าทางด้านหลังของห้องดนตรีเป็นลานจอดรถอาจารย์ ก็เลยมีรถ
ได้รับความเสียหายเกือบสิบคัน แบบนี้...ยังไม่เรียกว่าเกินไปอีกเหรอคะคุณเหอ”
จวิ้นเจี๋ยนั่งอึ้งไปเกือบสิบวินาที พอจะจินตนาการช่วงเวลาที่แม่ตัว
แสบอาละวาดออกราวกับตาเห็น แม่คุณคงบู๊เต็มอัตราศึกเชียวละ คิดแล้ว
รู้สึกเหมือนเส้นเลือดในสมองจะแตกตายให้ลงไปชักดิ้นชักงอมันเสีย
เดี๋ยวนั้นจริงๆ พับผ่า!
“ผมต้องขอโทษแทนพุดพิชญาด้วยที่ก่อเรื่องขนาดนี้ ทางเราขอ
ยอมรับผิดและจะชดใช้ค่าเสียหายรวมไปถึงค่ารักษาพยาบาลให้ทุกอย่างครับ”
ชายหนุ่มพยายามตีหน้าขรึมและข่มอารมณ์ไม่ให้ลุกขึ้นไปจับแม่ตัว
ยุ่งมาพาดตักแล้วฟาดก้นสักร้อยทีอย่างเต็มที่ ยายเด็กบ้าเอ๊ย! เกิดมาหน้าตา
เหมือนแม่อย่างกับแกะ นึกว่าจะได้นิสัยเรียบร้อยอ่อนหวานมาบ้าง ที่ไหน
ได้...รับเอานิสัยเสียๆ ของพ่อมาหมดแทบทุกอย่าง ทั้งใจร้อน อารมณ์ร้าย
ปากหาเรื่อง ที่สำคัญ...ชอบคิดว่าตนเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแบบเดียว
กับผู้ชายเจ้าของฉายา ‘แมวดำ’ คนนั้นเปี๊ยบ
“นั่นเป็นสิ่งที่ทางคุณต้องจัดการอยู่แล้วค่ะคุณเหอ แต่ครั้งนี้ทาง
โรงเรียนคงละเว้นโทษให้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้วนะคะ” มาดาม
มาดเฮี้ยบเขม้นมองหนุ่มหน้านิ่งที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
เช่นที่เคยทำทุกครั้งที่เขามาปรากฏตัวในห้องนี้ เรือนผมดำขลับยาวระต้นคอ
นั้นใส่น้ำมันและหวีจนเรียบ ดูเคร่งขรึมสมกับที่เจ้าตัวอยากให้เป็น แต่ด้วย
ใบหน้าอ่อนเยาว์ตามแบบฉบับชาวเอเชียทำให้เขาดูไม่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร
ผู้อำนวยการเคยถึงกับขอเสียมารยาทดูบัตรประจำตัวของเหอจวิ้นเจี๋ย
เพราะไม่แน่ใจว่าคนที่ดูมีอายุไม่ต่างจากพุดพิชญามากนักจะเป็นผู้ปกครอง
ของเธอจริงๆ ไม่ได้ไปจ้างใครมา “มาดมัวแซลเฉินคงต้องถูกพักการเรียน
หนึ่งอาทิตย์ และทำทัณฑ์บนคาดโทษเอาไว้ ถ้าทำความผิดซ้ำเดิมอีกเราคง
ต้องพิจารณาให้ออก”
“ผมเข้าใจครับ” แม้จวิ้นเจี๋ยจะนั่งนิ่งเหมือนไม่สะทกสะท้านใดๆ แต่
ในใจรู้สึกโล่งอกเหลือเกินที่แม่ตัวยุ่งไม่ถูกไล่ออกเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเขา
คงต้องเปิดโต๊ะเจรจาต่อรองราคาค่างวดของความผิดครั้งนี้อีกยาว อาจจะ
ต้องเสนออาคารเรียนอีกหลัง หรือไม่ก็คงต้องบริจาคที่ดินให้โรงเรียนเพื่อ
ไว้สร้างตึกเวลาพุดพิชญาออกฤทธิ์ออกเดชอีกกระมัง “ส่วนเรื่องคดีความ
เรื่องการทำร้ายร่างกายหรือทะเลาะวิวาท ไม่ทราบว่าทางผู้ปกครองของเด็ก
คนอื่นๆ ว่ายังไงบ้างครับ”
“ไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีหรอกค่ะ คุณก็น่าจะรู้ดีว่าเพราะอะไร
นี่คะคุณเหอ”
มาดามแบร์ทรองด์ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย นัยน์ตาคมกริบ
มองลอดแว่นไปยังหนุ่มหน้านิ่งตรงหน้าอย่างรู้กัน
จวิ้นเจี๋ยยิ้มเยือกเย็น ใช่...เขารู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร จะมีสักกี่คน
กันเล่าที่อยากจะมีเรื่องกับลูกสาวคนเดียวของหัวหน้าแก๊งไป๋หู่ แก๊งมาเฟีย
ข้ามชาติที่ทรงอิทธิพลที่สุดในปารีสแห่งนี้
พุดพิชญา เฉิน ลูกสาวสุดที่รักของผู้ชายที่ร้ายกาจติดอันดับต้นๆ
ของโลกมาเฟีย...เฉินหมิง พยัคฆ์ขาวแห่งโลกมืด!
“อาเจี๋ย เดี๋ยวแวะกินไอศกรีมที่ร้านคุณแม่ก่อนได้ไหม อยากกิน”
พุดพิชญาพูดเสียงเจื้อยแจ้วขณะเดินตรงไปที่ลานจอดรถ ร่าง
บอบบางในชุดเครื่องแบบซึ่งประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อ
แจ็กเกตแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนพอดีตัวที่บนกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายปักตรานก
ฟีนิกซ์และดอกกุหลาบแดงอันเป็นตราประจำโรงเรียนโผเกาะแขนจวิ้นเจี๋ย
อย่างออดอ้อน อย่างที่ชอบทำเป็นประจำมาตั้งแต่เด็กๆ ชายหนุ่มก้มลงมอง
ดวงหน้าใสกระจ่างที่ระบายด้วยรอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งอยู่ครู่หนึ่งอย่าง
พยายามข่มความรู้สึกแปลกๆ ที่ตีวนขึ้นจากช่องท้องมาอัดแน่นอยู่ในช่อง
อกให้กลับลงไปที่เดิม เขากดมือลงบนหน้าผากกลมมน ดันเธอให้ออกห่างแล้วแยกเขี้ยว
“กินไอศกรีมเหรอ นี่! นี่! กินมะเหงกก่อนก็แล้วกัน”
จวิ้นเจี๋ยกำมือเคาะกระหม่อมบางดังโป๊กเสียสองทีซ้อน ก่อนจะกด
รีโมตเปิดประตูรถลัมโบร์กินีสีขาวแล้วก้าวขึ้นไปสตาร์ตรถด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เจ็บนะ!” พุดพิชญาคลำศีรษะป้อยๆ เธอเปิดประตูรถแล้วทิ้งตัวลง
นั่งด้วยกิริยางอแงเหมือนเด็กน้อย “มาเคาะหัวเพ่ยเพ่ยทำไม ใจร้ายที่สุด”
“แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ จะก่อเรื่องไปถึงไหน หา! ไอ้ตัวยุ่ง ฉันไม่ได้
มีเวลาว่างมาคอยเคลียร์ปัญหาให้เธอตลอดเวลาหรอกนะเพ่ยเพ่ย”
ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม ดวงตายาวเรียวหลังกระจกแว่นตาสีชานั้น
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)