น้ำค้างกลางแสงตะวัน (จินดาวรรษ)

น้ำค้างกลางแสงตะวัน (จินดาวรรษ)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160005635
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 300.00 บาท 75.00 บาท
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เสียงน้ำตกซัดซ่ากระทบโขดหินดังอยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางหินผา

ขนาดใหญ่ และไม้ยืนต้นที่อยู่สองฟากข้าง ความชุ่มชื้นแทรกอยู่ใน

บรรยากาศ สถานที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก น้ำอาจจะมากบ้าง

น้อยบ้างในบางปี แต่มันก็ยังคงตกลงมาอยู่อย่างนั้น

ธรรมชาติรอบกายยังคงสวยงามในสายตาใครๆ แต่สำหรับเขาแล้ว

ภาพน่ากลัวบางภาพยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ

สิรฉัตรตายที่นี่ และวันนี้ก็เป็นวันครบรอบวันตายของน้องชายเขา

สุรีย์ฉานอยากจะหนีไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขากลับต้อง

มาที่นี่ทุกปี

ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้ว ทว่าเขาก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่เขามา

ทันเพียงได้เห็นร่างของน้องชายร่วงลงมาตรงหน้า

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปที่ริมโขดหิน เบื้องหน้าเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ตรง

กลางลึกท่วมหัว ส่วนด้านบนเป็นผาหินที่น้ำพุ่งลงมา ความแรงของมันทำให้

ละอองน้ำกระเซ็นมาโดนเนื้อตัวอยู่ตลอดเวลาจนรู้สึกเย็นเยือก

สุรีย์ฉานแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบนตรงหน้าผาสูงที่ซึ่งสิรฉัตรถูกยิง

ตกลงมาตาย

ฉับพลันนั้นเขาก็ต้องตระหนกกับร่างหนึ่งซึ่งวิ่งมาที่ริมผา แล้ว

กระโดดลงมาอย่างรวดเร็ว!

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับได้เห็นร่างของน้องชายร่วงลงมาอีกครั้ง

“ฉัตร…!” เขาตะโกนออกไปสุดเสียง รีบกระโดดลงน้ำว่ายเข้าไปหา

ร่างนั้นในทันที

ณ วินาทีนั้นเขาไม่ได้รู้สึกถึงความเย็นของน้ำ รู้แต่เพียงความร้อนใจ

ที่ทบทวี

สุรีย์ฉานคว้าร่างนั้นไว้ได้ และรีบพาเข้าหาฝั่ง

เมื่อลากร่างนั้นขึ้นมาอยู่บนโขดหินได้สำเร็จจึงพบว่านั่นไม่ใช่น้องชาย

เขา และไม่มีวันที่จะเป็นไปได้ เพราะน้องชายเขาตายไปแล้ว

ร่างนั้นแม้จะสวมเสื้อผ้าคล้ายบุรุษ แต่ก็ดูบอบบางเกินกว่าที่จะเป็น

ผู้ชาย เมื่อบวกกับผมยาวๆ ที่รวบมัดไว้ ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาขาวซีด และ

ทรวงอกนูนที่สะท้อนขึ้นลง เท่ากับตอกย้ำความเป็นหญิงให้เด่นชัด

นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ในกรอบใหญ่เผยอขึ้นมามองเขาเพียงแวบเดียวก็

ปิดลงอีกครั้ง คราวนี้นิ่งสนิทในลักษณะของคนหมดสติ

“ฆ่าตัวตายชัดๆ!” สุรีย์ฉานสรุป คนสติดีที่ไหนจะวิ่งมาที่หน้าผาแล้ว

กระโดดลงมาแบบนี้!

ชายหนุ่มอยากจะทิ้งร่างนั้นไว้ที่นั่น แต่ก็ทำไม่ได้ จึงสบถออกมาอย่าง

ฉุนเฉียว

“ให้ตายเถอะ ทำไมฉันจะต้องมาช่วยคนที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่อย่างเธอ

ด้วย!” เขาหันรีหันขวาง ก่อนจะถอนใจออกมาโดยแรง แล้วช้อนร่างที่เปียก

โชกอุ้มขึ้นพาเดินออกมาจากตรงนั้น

“น้ำค้าง”

ใครเรียก...

หล่อนไม่เคยได้ยินใครเรียกหล่อนด้วยชื่อนี้มานานนักหนาแล้ว รัตติ-

ชลพยายามมองฝ่าหมอกสีขาวหนาแน่นที่อยู่รอบกายไปยังต้นเสียงนั้น

“น้ำค้างลูกแม่”

เสียงไพเราะจับใจดังแทรกเข้ามาในโสต ทั้งนุ่มนวล อ่อนหวาน และ

ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนอะไรอย่างนั้น

“แม่...แม่ใช่มั้ยคะ!” หล่อนร้องเรียกอย่างยินดี วิ่งเข้าไปในกลุ่มหมอก

หนาทึบ พยายามค้นหาร่างของมารดา แล้วก็เห็นท่านอยู่ตรงสุดทางเดิน

แม่ยิ้มให้หล่อน ท่านยังคงงดงามเช่นเดียวกับครั้งสุดท้ายที่หล่อนเห็น

รัตติชลน้ำตาคลอ นานเหลือเกินที่หล่อนไม่ได้พบท่าน...

ณ วินาทีนั้นราวกับหล่อนได้กลับไปเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ อีกครั้ง

“แม่คะ น้ำค้างคิดถึงแม่”

“แม่ก็คิดถึงลูก แต่ลูกไม่ควรจะอยู่ที่นี่”

แม้มารดาจะยืนอยู่ไม่ห่าง แต่น้ำเสียงท่านคล้ายจะดังมาจากที่ที่ไกล

แสนไกล

“ทำไมคะ...น้ำค้างอยากอยู่กับแม่”

“ไม่ได้หรอกลูก กลับไปเสียเถอะ กลับไปในที่ที่ลูกควรจะอยู่”

รัตติชลส่ายหน้า

“ที่นั่นมีแต่ความมืดมน น้ำค้างไม่อยากกลับไปอีกแล้ว”

“กลับไปเถอะลูก แล้วลูกจะได้พบกับแสงสว่างในชีวิต”

เสียงปลอบโยนแว่วมา ตามด้วยรอยยิ้มประโลมใจ ก่อนที่ท่านจะ

เหลียวไปทางเบื้องหลัง แล้วหันกลับมาบอกว่า

“แม่ต้องไปแล้ว ลาก่อนนะจ๊ะ น้ำค้างลูกรัก”

“เดี๋ยวก่อนสิคะ แม่...รอน้ำค้างด้วย!”

รัตติชลถลาไปเบื้องหน้า แต่คล้ายมีอะไรมาฉุดรั้งหล่อนไว้ ทำให้

ไม่สามารถติดตามมารดาไปได้ ร่างงามของท่านลับหายไปในกลุ่มหมอก

“แม่คะ...แม่รอด้วย...อย่าทิ้งน้ำค้างไป!”

ร่างหล่อนถูกเขย่าโดยแรง

“นี่...ตื่นซะทีสิ เรียกหาแม่อยู่ได้!”

เสียงกระโชกดังเข้ามาในหู มันดังเสียจนหญิงสาวสะดุ้งผวา ลืมตาขึ้น

มาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงหลังหนึ่งในห้องขนาดกลางที่ฝาทุกด้าน

เป็นไม้เคลือบเงา เครื่องเรือนครบครันเข้าชุดกัน คนสองคนยืนอยู่ชิดเตียง

คนหนึ่งสูงใหญ่ อีกคนเตี้ยกว่ามาก

มือของหนึ่งในสองจับอยู่ที่หัวไหล่หล่อน เป็นมือที่อุ่นจัดแต่แข็ง

กระด้าง

“อุ๊ย...เบาๆ หน่อยสิคะ คุณฉาน!” หญิงวัยกลางคนตีมือแข็งๆ นั้น

“เธอบอบบางอ้อนแอ้นออกอย่างนี้ คุณไปทำแรงๆ ได้ยังไง เดี๋ยวเธอก็แย่กัน

พอดี!”

“ทำไมผมจะต้องไปทะนุถนอมกับผู้หญิงที่ตั้งใจจะฆ่าตัวตายด้วย

เล่า!” เจ้าของเสียงไม่น่าฟังเถียงกลับ

คนทั้งคู่มัวแต่โต้แย้งกันเองจึงไม่เห็นนัยน์ตาที่มองอย่างงุนงงของ

หญิงสาว

“นี่แน่ะ ขอตีอีกสักทีเถอะ!” ผู้อาวุโสกว่าซัดเผียะเข้าไปที่ต้นแขนบุรุษ

ร่างสูงใหญ่

“คุณฉานจะไปแสดงความใจร้ายกับใครก็ไปทำที่อื่น อย่ามาทำต่อหน้า

ป้า...ถ้ารำคาญ ไม่ชอบใจนักก็ออกไปสิ มาวุ่นวายทำไม ปล่อยมือจากแม่หนู

คนนี้นะ ไม่งั้นป้าจะซัดอีกหลายๆ เผียะเลยคอยดู!”

คนตัวใหญ่ไม่น่าจะกลัวการถูกตีจากหญิงวัยกลางคนร่างสันทัด แต่ก็

แปลก เขายอมปล่อยมือ ทว่านัยน์ตาคมกริบคู่นั้นตวัดมาพบเข้ากับนัยน์ตา

หล่อนพอดี จึงแค่นเสียง

“อ้อ...ฟื้นแล้วหรือ!”

ใบหน้าคนพูดอุดมไปด้วยหนวดเคราจนยากจะจำแนกเค้าหน้า

ที่แท้จริง เมื่อประกอบกับรูปร่างสูงใหญ่ทำให้ดูน่าครั่นคร้ามไม่น้อย

แต่รัตติชลจำได้ว่าชายหน้าเข้มนัยน์ตาดุคนนี้คือคนที่ช่วยชีวิตหล่อน

ไว้ เขาเป็นคนลากหล่อนขึ้นจากน้ำ หล่อนทันได้เห็นหน้าเขาก่อนที่จะหมดสติ

และจำได้ไม่ลืม

“ฟื้นแล้วก็จะได้ไปซะที!” เสียงกระด้างดังตามมาอีก “ที่นี่ไม่ใช่โรงหมอ

หรือโรงแรม!”

“เอ๊...คุณฉาน!” ผู้สูงวัยกว่าที่ยืนอยู่ข้างๆ หยิกแขนเข้าให้

“ถ้าจะพูดจาแบบนี้ละก็ ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ เธอเพิ่งฟื้นคุณก็จะไล่

เสียแล้ว ป้าไม่ยอมหรอกนะ ในเมื่อมอบเธอให้ป้าดูแล เธอก็เป็นสิทธิ์ขาด

ของป้า คุณไม่มีสิทธิ์จะมาไล่...คุณนั่นแหละออกไป!”

ชายหนุ่มทำหน้าบอกบุญไม่รับ นัยน์ตาดุๆ ที่มองมายังหล่อนนั้นดุ

เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเห็นจะได้ แต่ก็ยอมออกจากห้องไปโดยดี

สตรีวัยกลางคนที่มองตามพลางโคลงหัว ก่อนจะหันกลับมาพูดกับ

หล่อนด้วยน้ำเสียงปรานี

“อย่าไปถือสาคุณสุรีย์ฉานเลยนะ หนู...คุณฉานน่ะปากร้ายและ

ขี้หงุดหงิดอย่างนั้นเอง หน้าตาออกจะน่ากลัวไปสักหน่อย แต่ไม่มีอะไร

หรอก”

รัตติชลได้ยินน้ำเสียงการุณย์เช่นนั้นก็รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลอ อีก

ฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าแท้ๆ แต่กลับดีกับหล่อนถึงเพียงนี้ ผิดกับคนพวกนั้น

ที่คุ้นหน้ากันดีแต่ใจร้ายนัก...

“โถ...แม่คุณ...อย่าร้องไห้” อีกฝ่ายเห็นน้ำตาหล่อนก็เอื้อมมือมาลูบ

เนื้อลูบตัว “คุณฉานนะคุณฉาน...คนกลุ้มใจยังมาไล่กันอีก...ไม่เอาลูก...

ไม่ต้องร้อง...หนูชื่อน้ำค้างใช่ไหม มีอะไรก็ระบายให้ป้าโมรีฟังได้นะ ป้าไม่ไล่

หนูไปไหนหรอก”

“น้ำค้าง?” รัตติชลหลุดปากออกมาด้วยเสียงเครือ “ทำไมป้าถึงเรียก

หนูว่าน้ำค้างล่ะคะ”

“ป้าได้ยินหนูเพ้อน่ะสิ หนูเรียกแม่ของหนู แล้วแทนตัวเองว่าน้ำค้าง

...หรือว่าป้าเข้าใจผิด...หนูไม่ได้ชื่อน้ำค้าง?”

 มีแต่มารดาหล่อนเท่านั้นที่เรียกหล่อนว่าน้ำค้าง ตั้งแต่ท่านเสียชีวิตไป

ตอนหล่อนอายุ ๗ ขวบกว่าๆ แล้วหล่อนต้องมาอยู่ในความดูแลของ

ครอบครัวบิดา ก็ไม่มีใครเรียกหล่อนแบบนั้นอีกเลย ทุกคนเรียกหล่อนว่า

“ยายชล” หรือ “ชล” คำเดียวสั้นๆ

“งั้นหนูชื่ออะไรหรือจ๊ะ”

คงเพราะหล่อนนิ่งไปนาน ผู้ที่เรียกตัวเองว่าป้าโมรีจึงถามมาแบบนั้น

“น้ำค้างค่ะ ป้าเรียกถูกแล้ว...เพียงแต่หนูรู้สึกสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น

กับหนู และตอนนี้หนูอยู่ที่ไหน...จำได้ว่าครั้งสุดท้ายหนูอยู่ที่น้ำตก”

“ที่นี่เป็นบ้านของคุณสุรีย์ฉาน” อีกฝ่ายตอบคำถามหลัง “หนูอยู่ในไร่

กาแฟสุรีย์ฉาน...คุณสุรีย์ฉานเป็นคนพาหนูมาที่นี่”

“แล้วที่นี่อยู่ใกล้น้ำตกมากมั้ยคะ” รัตติชลถามอย่างกังวล

“น้ำตกที่คุณสุรีย์ฉานพบหนูน่ะหรือ...โอ๊ย...ไม่ใกล้หรอกค่ะ ห่างตั้ง

เกือบ ๓๐ กิโล...ป้าน่ะ อยากตีคุณฉานนักเชียว แทนที่จะพาหนูไป

โรงพยาบาล กลับพามาที่บ้าน ขับรถอย่างกับจรวดแน่ะ คุณฉานเห็นป้าเป็น

หมอซะเรื่อย ทั้งๆ ที่ป้าเป็นแค่พยาบาล โชคดีนะที่หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก”

หญิงสาวลอบถอนใจอย่างโล่งอกที่รู้ว่าตนอยู่ห่างจากสถานที่เกิดเหตุ

และนึกขอบคุณผู้ชายคนนั้นที่ไม่พาหล่อนไปโรงพยาบาล

รัตติชลช้อนตาขึ้นมองผู้อาวุโสกว่า พลางถามออกมาอีกด้วยเสียง

เครือ

“หนูขออยู่ที่นี่ก่อนได้มั้ยคะป้า ถ้าหนูออกไปตอนนี้ หนูคงต้องตาย

แน่ๆ”

“ได้สิหนู...อยู่ได้จนกว่าจะสบายใจ...แต่อย่าพูดเรื่องตาย...ฆ่าตัวตาย

มันเป็นบาปนะหนู” ป้าโมรียังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“กว่าที่เราจะเกิดเป็นคนได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มีปัญหาอะไรก็ค่อยๆ

คิด ค่อยๆ แก้ไปทีละเปลาะ ไม่ใช่หนีปัญหาด้วยการคิดสั้น...ความทุกข์มัน

ไม่คงอยู่กับเราตลอดไปหรอก...มันเกิดได้ก็ดับได้เช่นกัน ที่สำคัญคือเราต้อง

มีสติ อย่าเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่”

แม้จะรู้สึกปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์ราวกับร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

แต่รัตติชลก็ขยับลุกขึ้นไหว้และสวมกอดผู้อาวุโสกว่าด้วยน้ำตาซึม

ถึงอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าหล่อนฆ่าตัวตาย แต่ความมีน้ำใจโอบอ้อม

อารีและความเมตตาที่หญิงสาวสัมผัสได้ก็ทำให้หล่อนรู้สึกตื้นตันใจจน

ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้อยู่

“ขอบคุณมากนะคะ หนูโชคดีจริงๆ ที่ได้พบป้า...หนูจะขอรบกวนอยู่

ที่นี่สักพัก...พอให้ตั้งสติได้แล้วหนูก็จะไป...คงไม่นานหรอก…”

สุรีย์ฉานจามสนั่นอยู่ตรงห้องโถงชั้นบน จนคนที่เดินขึ้นบันไดมา

พอดีทำหน้าพิกล

“ถึงที่นี่มันจะหนาวจัดเพราะอยู่บนดอย แต่ก่อนที่จะขึ้นมาฉันก็อาบ

น้ำแล้วนะ!”

เจ้าของบ้านตวัดมองด้วยนัยน์ตาดุๆ ถามเสียงห้วน

“มาทำไม”

“เฮ้ย...นี่เพื่อนนะ นายจะเลิกดุสักประเดี๋ยวไม่ได้เรอะ!”

“ไม่ต้องไถลให้มากความ!” ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าหา “มีธุระอะไรก็ว่ามา

แล้วรีบไปให้พ้นเลย วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี!”

อีกฝ่ายโคลงหัว

“ฉันก็เห็นนายอารมณ์เสียได้ทุกวี่ทุกวันนั่นแหละ”

“แต่วันนี้ฉันอารมณ์เสียเป็นพิเศษ ขืนโยกโย้มากๆ พ่อจะจับโยนออก

ทางหน้าต่าง จะได้ส่งตรงถึงรถที่จอดอยู่ด้านล่างเลย...เอามั้ย!”

คู่สนทนายกมือยกไม้ประนีประนอม

“ใจเย็น...ฉันแค่มาเป็นทูตสันถวไมตรี ค่ำนี้พ่อเลี้ยงสุรสีห์เชิญรับ-

ประทานอาหารที่บ้านในเมือง...คุณพิมลกาญจน์กับพ่อของเธอก็จะมาด้วย”

“นายกลับไปบอกพ่อฉันเลยนะปรัศว์ ว่าเย็นนี้ฉันจะกินข้าวกับน้องชาย

ฉัน!”

ประโยคนั้นทำเอาเพื่อนกลืนน้ำลาย

“พูดอะไรอย่างนั้นเล่า น้องนายตายไปตั้งสี่ปีแล้วนะ”

สุรีย์ฉานเหยียดยิ้ม

“ก็ยังดีที่นายจำได้ แต่คนบางคนคงไม่เคยจำว่าวันนี้มันเป็นวันอะไร

ถึงได้ชวนใครต่อใครไปพบปะสังสรรค์”

“ใครที่ไหนเล่า คนกันเองทั้งนั้น แค่รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ไม่

ได้สังสรรค์อะไรหรอก”

“นายไม่ต้องพูดอีกแล้ว เพราะไม่ว่านายจะแก้คำพูดให้มันฟังดูดียังไง

ฉันก็ไม่ศรัทธา นายกลับไปซะเถอะ แล้วบอกพ่อฉันไปตามนั้น...”

เขาจามออกมาอีก

                        (ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

ในวันครบรอบวันตายปีที่สี่ของน้องชาย สุรีย์ฉานไปที่น้ำตกเพื่อรำลึกถึงสิรฉัตร น้องชายคนละแม่ แต่ขณะที่มองขึ้นไปยังด้านบนของน้ำตกตรงจุดที่น้องชายเขาถูกยิงตกลงมาตาย เขาก็เห็นคนคนหนึ่งกระโดดลงมาจากตรงนั้น เขารู้สึกเหมือนได้เห็นร่างน้องชายร่วงลงมาอีกครั้ง จึงรีบกระโดดลงไปในน้ำลึกเพื่อนำร่างนั้นขึ้นมา แต่กลับพบว่าเจ้าของร่างเป็นผู้หญิง 
เขาเข้าใจว่าหญิงสาวฆ่าตัวตาย จึงอยากจะทิ้งคนไม่เห็นค่าของชีวิตไว้ตรงนั้น แต่ก็ทำไม่ลง หญิงสาวแปลกหน้าเพ้อหาแม่และเรียกตัวเองว่า น้ำค้าง แรกที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้าน เขารู้สึกรำคาญใจไม่น้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปความรำคาญที่ว่ากลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ 
รัตติชล กระโดดลงจากหน้าผาสูงด้วยเหตุผลที่เธอบอกใครไม่ได้ ตัวตนอันเป็นปริศนาของหญิงสาวทำให้หลายคนในไร่กาแฟสุรีย์ฉานพยายามสืบหาความจริง...จนก้าวไปสู่อันตรายโดยไม่รู้ตัว

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024