องครักษ์แดนเถื่อน (ซ่อนกลิ่น)

องครักษ์แดนเถื่อน (ซ่อนกลิ่น)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165001045
ผู้แต่ง: ซ่อนกลิ่น
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 280.00 บาท 70.00 บาท
ประหยัด: 210.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

กลางท้องทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างไกลราวกับจะหาที่สิ้นสุด

มิได้นั้น หญิงสาวนางหนึ่งในชุดคลุมอะบาอะห์อย่างสตรีมุสลิมสีดำขลับ

กำลังขี่อูฐเลาะเรื่อยไปตามสันทรายสูงเด่นอย่างหงอยเหงา จนกระทั่ง

ลมหนาวยามใกล้รุ่งพัดพรูมา หล่อนก็พลันกระตือรือร้นขึ้น รีบกระชับ

ฮิญาบที่ครอบคลุมศีรษะอยู่ แล้วเผยอเปลือกตาขึ้นจนเผยให้เห็นดวงตา

สีฟ้าใสที่โดดเด่นอยู่ท่ามกลางอาภรณ์สีดำสนิท

เพียงลมหนาวพัดวูบนั้น หล่อนก็สำเหนียกได้ถึงเสียงอะไรบางอย่าง

ที่ดังแว่วมาแต่ไกลได้ หญิงสาวยืดตัวให้สูงที่สุดแล้วมองไปไกลสุดตา

เมื่อเห็นเป็นอูฐฝูงหนึ่งกำลังควบตะบึงใกล้เข้ามา ดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้นก็ยิ่ง

จับจ้องอย่างไม่วางตา

ไม่กี่อึดใจต่อมา ฝูงอูฐเหล่านั้นก็มาถึง ก่อนจะกระจายตัวโอบล้อม

หล่อนเอาไว้อย่างคุกคาม ดวงตาเฉี่ยวคมมองปราดเดียวก็รู้ว่าพวกมัน

มีประมาณสิบคน เก้าคนนั้นรูปร่างองอาจผึ่งผาย ส่วนอีกคนที่เหลือนอน

ฟุบอยู่บนหลังอูฐ ท่าทางจะบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว

“เป็นผู้หญิง ไยจึงมาขี่อูฐเดินเล่นอยู่ในทะเลทรายดำเช่นนี้ ไม่กลัว

ตายหรอกหรือ” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งร้องถาม

“ที่นี่เป็นที่เกิดของข้า ไยจึงต้องกลัว” หล่อนตอบ ก่อนจะชี้หน้า

กราดไปทั่วทุกตัวคนอย่างไม่เกรงกลัว “พวกเจ้าต่างหาก เป็นใคร ทำไม

ถึงทะเล่อทะล่ามาแบบนี้ ไม่กลัวโจรหรือสัตว์ร้ายหรือไง”

พวกมันพากันหัวเราะขันวาจาสามหาวของหล่อน ก่อนคนที่

ดูเหมือนเป็นหัวหน้าจะขี่อูฐเข้ามาใกล้ “เจ้านี่มันปากดีจริงๆ ชักอยาก

จะเห็นหน้าเสียแล้วสิว่าจะมีดีเหมือนปากหรือเปล่า”

พูดจบก็เอื้อมมือมาหมายจะดึงฮิญาบของหล่อนออก แต่หญิงสาว

ไวกว่า ใช้มือเรียวบางของตนปัดมือกักขฬะนั้นให้ห่างจากผ้าคลุมศีรษะ

อันศักดิ์สิทธิ์สำหรับสตรีมุสลิม

“เจ้านี่มันร้ายกาจ” ชายคนนั้นหัวเราะ “ข้าชักจะชอบเจ้าเสียแล้วสิ

มาเป็นเมียข้าเอาไหม ข้าจะคุ้มครองเจ้าให้อยู่ในทะเลทรายดำแห่งนี้อย่าง

สุโขสโมสรเลยทีเดียว”

หญิงสาวหัวเราะในลำคออย่างหยามหยัน “คิดจะคุ้มครองคนอื่น

คุ้มครองตัวเองให้ได้ก่อนดีกว่ามั้ง”

“คนอย่างข้าน่ะหรือจะคุ้มครองตัวเองไม่ได้”

หล่อนยักไหล่แล้วพยักพเยิดไปที่มือของมัน “ดูมือของเจ้าเสียก่อน

เถอะ แล้วค่อยมาต่อปากกับข้า”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ยกมือตัวเองขึ้นดูแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็น

ฝ่ามือของตัวเองกลายเป็นสีดำคล้ำ และสีดำค่อยๆ ลุกลามไปถึงข้อมืออย่างช้าๆ

“อ๊าก...” มันร้องโหยหวน จับมือตัวเองเขย่าไปมาราวกับว่าจะสลัด

รอยด่างดำนั้นออกไปได้ ทว่าเมื่อความเจ็บปวดเริ่มเล่นงานอย่างรุนแรง

ผู้เคราะห์ร้ายก็พลันตกจากหลังอูฐลงไปดิ้นเร่าๆ บนพื้นอย่างทุรนทุราย

พวกพ้องของมันมองตะลึงด้วยความตกใจ ก่อนที่ใครอีกคนจะชี้หน้า

หล่อน “นี่เจ้าทำอะไรกับเขา”

“ลงโทษมันที่บังอาจจะมาแตะต้องข้าน่ะสิ” หล่อนกล่าวอย่างไม่ยี่หระ

“เจ้า...ตายซะเถอะ” อีกคนคำราม ก่อนจะชักดาบออกมาแล้วควบอูฐเข้าหาหล่อน

หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบม้วนเชือกหนังออกมาแล้วสะบัดทีเดียว

เชือกหนังที่ถักเป็นเปียยาวกว่าสองเมตรก็พุ่งปราดเข้าพันคอของคน

ถือดาบ หล่อนออกแรงดึงทีเดียว ร่างใหญ่โตนั้นก็ร่วงลงสู่ผืนทราย

เมื่อหล่อนดึงเชือกหนังออกจากคอก็ปรากฏรอยดำเป็นปื้นรอบๆ

ชายคนนั้นจับคอตนเองดิ้นทุรนทุรายราวกับถูกน้ำร้อนลวกเข้าให้จนพุพอง

“นางปีศาจ” อีกคนตะคอกแล้วชักดาบออกมา เพื่อนของมันอีก

หกคนก็ทำเช่นเดียวกันด้วยความคิดที่ว่า หากรุมจู่โจมพร้อมๆ กัน หล่อน

ซึ่งเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวก็คงไม่สามารถจัดการผู้ชายทั้งเจ็ดคนได้หมด

หญิงสาวตวัดเชือกหนังอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ชายฉกรรจ์

หกคนก็พากันร่วงจากอูฐลงไปดิ้นพล่านเหมือนกับเพื่อนของมันคนก่อน

หน้า แต่เจ็ดคนคงจะเกินมือของหล่อนไปสักนิด คนที่เหลือจึงกระโจน

เข้าใส่หล่อนจนได้ ทั้งคู่ร่วงลงจากอูฐกลิ้งไปตามผืนทราย ชายฉกรรจ์

ทาบทับหล่อนจนไม่สามารถจะขยับหนีไปทางไหนได้เลย หนำซ้ำแขน

ทั้งสองข้างยังถูกมันรวบเอาไว้ด้วยมือหนาใหญ่เพียงมือเดียว

“หมดฤทธิ์แล้วสินางปีศาจ” มันตะคอกใส่หน้า

หล่อนทำเมินอย่างไม่ยี่หระต่อความพ่ายแพ้ และอาจจะต้อง

สูญเสียความบริสุทธิ์ที่ทะนุถนอมมากว่าสิบแปดปี “ข้าแพ้แล้ว เจ้าจะทำอะไรก็เชิญ”

“ขอดูหน้าหน่อยซิ ร้ายกาจอย่างนี้คงจะขี้เหร่ไม่น้อยทีเดียว” พอ

พูดจบ มันก็ดึงเอาผ้าปิดปากของหล่อนออก ก่อนจะเบิกตามองอย่างตะลึงลาน

หญิงสาวยิ้มพราย “ข้าขี้เหร่เหมือนที่เจ้าคิดไหม”

“สวย” มันพูดราวกับเพ้อเมื่อเห็นใบหน้าผุดผาดของหล่อน

โจรฉกรรจ์มองสำรวจตั้งแต่คิ้วโก่งราวคันศรเหนือดวงตาสีฟ้าใส

ราวกับเพทายล้ำค่า จมูกโด่งและเชิดบ่งบอกถึงความดื้อดึง แก้มนวลนั้น

แดงปลั่งจากอากาศเย็นยามเช้าของทะเลทราย จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่

ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงชวนสัมผัส มันก็ถึงกับเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

ตัวเองด้วยความกระหายอยาก

หล่อนยิ้มยั่ว ดวงตาปรือหวานเมื่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่งแห่งบุรุษ

ที่ขยายตัวเต็มที่อยู่บนเรียวขาของหล่อน ร่างกายของผู้ชายคนนี้กำลัง

ลุกโชนไปด้วยเพลิงแห่งราคะเต็มเปี่ยม

“จูบข้าสิ” หล่อนเอ่ยเชิญชวนด้วยเสียงหวานใสผิดกับเมื่อครู่

ราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือ

ชายฉกรรจ์ร้อนฉ่า แสยะยิ้มแล้วทาบริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่ม

ของหล่อน มันบดเคล้าอย่างหิวกระหาย สองมือเอื้อมลงไปจับชายกระโปรง

ของหล่อนเลิกขึ้น ก่อนจะพยายามถอดกางเกงของตัวเองออก แต่ก็

ไม่สำเร็จ ดวงตาของมันเหลือกลาน รีบผละออกจากริมฝีปากของหล่อน

แล้วผงะถอยออกไปนั่งถูไถปากตัวเองอย่างร้อนรน

หญิงสาวลุกขึ้นนั่งอย่างใจเย็น จับชายกระโปรงเลื่อนลงไปปิด

ท่อนขาเรียวยาวเอาไว้ตามเดิม ก่อนจะคู้เข่าขึ้นมาวางคาง จ้องมองดูเหล่า

ชายฉกรรจ์ดิ้นเร่าๆ ด้วยความทุกข์ทรมาน จนกระทั่งพวกมันแน่นิ่งไปในที่สุด

“ฮ่าๆๆ” หล่อนระเบิดเสียงหัวเราะ “เจ้าพวกสวะ เห็นผู้หญิงเป็น

ของเล่น สมควรแล้วที่จะตายแบบนี้”

ลมหนาวพัดพรูมาอีกครั้ง หญิงสาวดึงผ้าปิดปากขึ้นมาปกปิด

ใบหน้าอีกครั้ง แล้วกระชับฮิญาบให้เข้าที่ ก่อนจะลุกขึ้นปัดฝุ่นทรายออก

จากเสื้อคลุมยาว จากนั้นจึงเดินไปที่อูฐตัวที่มีคนบาดเจ็บนอนอยู่ แล้ว

จับใบหน้าที่คว่ำอยู่ให้หันมา

เพียงเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ดวงตาสีฟ้าใสก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ

ชายสูงวัยคนนั้นปรือตาขึ้นมา ก่อนจะเผยยิ้มแล้วเอ่ยด้วยเสียง

แผ่วเบา “มินนัต...เจ้าเองหรือ”

“ทะ...ท่านพ่อ” หล่อนร้องเรียก “ท่านพ่อทำไมเป็นแบบนี้ ใครทำ

ท่านพ่อ พวกมันหรือ”

ผู้เป็นบิดายิ้ม “พวกมันล้วนเป็นทหารของข้า พวกมันกำลังจะ

พาข้าไปหาแม่ของเจ้าที่อัคคาร์ แต่ดันมาเจอความร้ายกาจของเจ้าเสียก่อน”

“ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าพวกมันเป็นคนของท่านพ่อ”

“พวกมันสมควรโดน” ชายสูงวัยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะกัดฟัน ใบหน้า

เหยเก แล้วรีบเอ่ยบอกหล่อน “พาข้าไปหาแม่ของเจ้า แม่ของเจ้าจะช่วยข้าได้”

“ตกลง ข้าจะพาท่านพ่อไปพบท่านแม่” มินนัตตอบ ก่อนจะวิ่งไป

โหนตัวขึ้นบนอูฐของตัวเอง แล้วควบมาดึงอูฐของบิดาจูงไปอย่างรีบเร่ง

 

เมืองอัคคาร์นั้นนับได้ว่าเป็นโอเอซิสหรือพื้นที่ชุ่มชื้นกลางทะเลทราย

ที่ใหญ่ที่สุดของทะเลทรายดำเลยทีเดียว หนำซ้ำยังเป็นแหล่งชุมนุมโจร

ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย ทั้งนี้เพราะกลางพื้นที่นั้นมีสระน้ำขนาดใหญ่

อยู่ และทั่วบริเวณก็เต็มไปด้วยต้นปาล์มอันสะพรั่งไปด้วยใบเขียวชอุ่ม

ซึ่งคมราวกับใบมีดโกน แถมยังรายล้อมไปด้วยต้นอินทผลัม ต้นอัลมอนด์

ทับทิม และยังดารดาษไปด้วยไม้พุ่มและสมุนไพรต่างๆ มากมาย ที่ล้วน

แล้วแต่เป็นเครื่องหมายยืนยันความอุดมสมบูรณ์ของเมืองได้เป็นอย่างดี

ตามจุดต่างๆ ของตัวเมืองมีกระโจมน้อยใหญ่ตั้งอยู่กระจัดกระจาย

เต็มพื้นที่ และท่ามกลางกระโจมทั้งหมดนั้นมีกระโจมใหญ่อยู่หลังหนึ่ง

ภายในกระโจมนั้นถูกจัดให้เป็นที่สังสรรค์ของบรรดาโจรร้ายที่มีจิตใจ

เหี้ยมโหด ไม่นับถือพระเจ้าเหมือนกับมุสลิมที่ดี พวกมันทั้งดื่มสุรา

ทั้งฉุดคร่าผู้หญิงมาบำบัดความใคร่ของตัวเองอย่างไม่สนใจต่อบาปเลยแม้แต่น้อย

เจ้าของกระโจมใหญ่หลังนี้คือนางซีวา ซึ่งเป็นหญิงที่แม้จะมีอายุถึง

สี่สิบหกปีแล้ว แต่ทรวดทรงและใบหน้าก็ยังงดงามไม่แพ้สาววัยเบญจเพส

เลย ดวงตาของหล่อนมีสีฟ้าสดใส ผมสีทองอร่าม ผิวขาวนวล และมี

ริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวนใจ

แต่ถึงแม้หล่อนจะมีความงดงามเป็นที่ต้องตาต้องใจชายทุกคน

ที่ได้เห็น แต่ไม่มีโจรร้ายคนใดกล้าแตะต้องนางเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคน

พากันยำเกรงนาง เพราะนางคือแบบฉบับของคำที่กล่าวเอาไว้ตั้งแต่โบร่ำโบราณว่า...

‘ผู้หญิงเปรียบเสมือนงูพิษ’

นางซีวานับได้ว่าเป็นผู้ที่ถ่องแท้ในเรื่องสมุนไพรนานาชนิด หล่อน

สามารถจำแนกได้ว่าพืชชนิดไหนให้คุณหรือให้โทษ ทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญ

การใช้พิษเป็นพิเศษด้วย ไม่ว่าชายคนไหนที่คิดจะข่มเหงนาง หากนาง

ไม่ได้เต็มใจก็มีอันต้องพิษถึงตายกันมานักต่อนักแล้ว ทำให้กิตติศัพท์

ของนางระบือไกลไปทั่วท้องทะเลทรายดำ จนเหล่าโจรทั้งหลายต่างขยาดไปตามๆ กัน

เดิมทีนั้นนางซีวามีชื่อว่าซูซาน เป็นบุตรีของนายแพทย์ชาวสวีเดน

ที่ติดตามมากับคณะของหมอสอนศาสนา เพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์ไปตาม

สถานที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก แต่ขณะเดินทางผ่านทะเลทราย พวกเขา

ถูกโจรทะเลทรายปล้นฆ่าจนหมด และด้วยความที่ซูซานเป็นคนสะสวย

และมีรูปร่างหน้าตาที่แปลกกว่าชาวอาหรับทั่วไป หัวหน้าโจรจึงนำตัวนาง

ไปที่รังของมัน และข่มขืนนางจนสำเร็จความใคร่ แต่ซูซานซึ่งอ่านตำรา

สมุนไพรต่างๆ ของบิดามาตลอดนั้นใช้พิษฆ่าหัวหน้าโจรคนนั้นตายขณะที่

หลับใหลได้สำเร็จ เช้าวันต่อมา ก่อนที่ใครจะรู้ว่าหัวหน้าโจรตายแล้ว

นางก็จัดการวางยาพิษในบ่อน้ำสังหารกองโจรตายสิ้นทั้งกอง ชื่อเสียง

ของนางจึงระบือไกลไปทั่วท้องทะเลทรายดำตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ซูซานระหกระเหินไปในทะเลทราย จนกระทั่งได้พบกับจอมโจร

การิม จึงตรงเข้าไปขออาหารและน้ำดื่มอย่างสิ้นหวัง การิมเห็นนางก็นึก

เอ็นดู เพราะเพิ่งจะสูญเสียบุตรีไปจากการปะทะกับโจรต่างเผ่า เขาตอบสนอง

ในสิ่งที่นางต้องการโดยแลกกับการให้นางรับปากว่าจะมาเป็นบุตรบุญธรรม

ของเขา จอมโจรชราจึงตั้งชื่อมุสลิมให้ซูซานว่า ซีวา

ซีวาเป็นที่รักของการิมมาก เพราะเก่งในเรื่องการรักษาและ

การใช้พิษ ทำให้ใครๆ ต่างก็พากันเกรงใจ เมื่อเวลาผ่านไป นางได้

พบกับสหายสนิทของจอมโจรการิม และต่างก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน

การิมจึงจัดงานแต่งงานให้ทั้งคู่ จนกระทั่งมีบุตรีด้วยกันสองคน ซึ่ง

ปัจจุบันนี้ลูกสาวทั้งสองของนางมีอายุสิบแปดและสิบเจ็ดปีตามลำดับ

ภายหลังจอมโจรการิมผู้เกรียงไกรถูกทหารเผ่าชาดินฆ่าตาย

นางซีวาจึงกลายมาเป็นหัวหน้ากองโจรการิมอันเกรียงไกรจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

 

ฉับพลันที่เสียงใสคุ้นหูดังมาจากภายนอก นางซีวาที่กำลังรินเหล้า

ให้นายโจรผู้หนึ่งอยู่ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวชุดคลุมยาวสีดำที่กำลัง

วิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางร้อนรน ก่อนจะเอ่ยถามออกไปเสียงเขียว “มินนัต

เจ้าหนีออกไปเที่ยวอีกแล้วใช่ไหม ตื่นมาจะหาคนช่วยเปิดร้านเป็นไม่มี”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วท่านแม่” หล่อนร้องบอกอย่างไม่นำพาต่อคำถามของมารดา

“เรื่องใหญ่อะไรกัน”

“ท่านพ่อ...” เสียงของบุตรีเหมือนจะสั่นเครือเล็กน้อย หากฟัง

ผ่านๆ คงไม่อาจจับกระแสเสียงนั้นได้ แต่ความที่เป็นมารดาจึงรู้ว่าจะต้อง

                            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

รักครั้งใหม่ของรอฟีล ราชองครักษ์แห่งอาห์ดาราห์ งอกงามขึ้นท่ามกลางชุมนุมโจรร้ายในทะเลทรายดำ แต่แล้วนางที่รักกลับกลายเป็นโจรสาวร้อยเล่ห์ ซึ่งแฝงตัวเข้ามาเพื่อแก้แค้นเขากับราชวงศ์ที่เขาภักดียิ่ง เมื่อรักกับภักดี สวนทางกันอย่างไม่มีวันบรรจบ การต้องเลือกคือความเจ็บปวดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ........ รอฟีลนั้นองอาจ และยึดถือความภักดีต่อราชสำนึกเหนือสิ่งอื่นใด ขณะที่นางโจรสาวสารพัดพิษ ยึดการแก้แค้นเป็นสรณะ เมื่ออุดมการณ์เป็นปฏิปักษ์กันอย่างสิ้นเชิง แล้วพวกเขาจะสั่งหัวใจ ให้เดินไปทางไหน ....... ความรักก็เหมือนเม็ดทราย หากเรากำแน่นแค่ไหน มันก็จะลอดออกไปตารมร่องนิ้วมากเท่านั้น


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024