สิเน่หาตาเบบูญ่า (ทิพย์ทิวา)

สิเน่หาตาเบบูญ่า (ทิพย์ทิวา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160019403
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 260.00 บาท 65.00 บาท
ประหยัด: 195.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                         ความสูญเสีย

 

๘ มีนาคม ๒๕๕๘

หญิงสาวรูปร่างระหงในชุดไทยสีครีมทองกำลังยืนอยู่บนบ้านไม้

สีครีมหลังเล็ก ซึ่งด้านหลังแวดล้อมด้วยสวนยางพาราที่กำลังผลัดใบ

จนเหลือเพียงกิ่งก้าน ในขณะที่ต้นไม้ชนิดอื่นโดยรอบยังคงเขียวขจี ส่วน

ด้านหน้ามีธารน้ำเล็กๆ ไหลผ่าน ต้นยางนาทิ้งลูกร่วงปลิวลงมาดั่งนก

ตัวน้อยกำลังบิน บริเวณนี้โดนโอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อน

อยู่ไม่ไกลมากนัก

พรุ่งนี้แล้วสินะที่จะเป็นวันแต่งงานของเธอ!

หญิงสาวก้มมองชุดไทยที่สวมซึ่งตัดเย็บด้วยฝีมือตัวเอง เธอหยิบ

มาลองอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่ายังสวมได้พอดี ทั้งๆ ที่เธอก็ลองมาหลายครั้งแล้ว

ใช่! เธอยอมรับว่าตื่นเต้นกับการแต่งงานครั้งนี้มาก เพราะเจ้าบ่าว

ของเธอ...เจ้าบ่าวของเธอเป็นอย่างไรน่ะหรือ? เอาน่า! อย่าเพิ่งนึกถึงเลย

เพราะแค่คิดถึงเขา...เธอก็เผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว

จะผิดไหม...ที่เธอกำลังตกหลุมรักเจ้าบ่าวอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

เธอคิดพลางจ้องมองไปยังดงต้นตาเบบูญ่าข้างบ้านหลังน้อย ที่วัน

นี้ดอกสีชมพูอมม่วงบานสะพรั่งไปทั้งต้น พื้นหญ้านวลน้อยสีเขียวขจี

แต่งแต้มด้วยกลีบดอกตาเบบูญ่าที่ร่วงเกลื่อนพื้น ดูสวยงามกว่าวันไหนๆ

แต่กว่าที่จะมาถึงวันนี้เธอก็ต้องผ่านอะไรมามากมาย

หากไม่มีวันนั้น...วันที่แสนเศร้า เธอก็อาจจะไม่มีวันนี้...วันที่สุข

แสนสุข...แล้วภาพเรื่องราวเมื่อสี่ปีก่อนก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงคิดคำนึง

 

ย้อนไปเมื่อปลายเดือนมีนาคม ๒๕๕๓

ในคืนหนึ่งช่วงหลังเที่ยงคืน ณ คอนโดมิเนียมหรูย่านใจกลางเมือง

บนเตียงนอนนุ่มที่เย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศชั้นดี ไม่อาจ

ทำให้หญิงสาวที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงข่มตาหลับลงได้แม้เพียง

นิด เธอยังนอนครุ่นคิดถึงปัญหาต่างๆ ที่กำลังรุมเร้า

สถานการณ์บ้านเมืองกำลังย่ำแย่ มีการประท้วงและการก่อความ

ไม่สงบ ทำให้ธุรกิจร้านเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านธุรกิจที่เธอทุ่ม

เงินสะสมทั้งหมดไปลงทุนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนประสบปัญหา เพราะไม่

สามารถเข้าไปเปิดร้านได้เกือบเดือนแล้ว

ค่าใช้จ่ายต่างๆ ประเดประดังเข้ามา ยอดหนี้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น

เป็นเงาตามตัว ไหนจะบิดาของเธอซึ่งนอนป่วยด้วยโรคมะเร็งตับอยู่ใน

โรงพยาบาลอีก เธอเองเพิ่งจะกลับมาจากที่นั่นเมื่อตอนหัวค่ำ ขณะที่

มารดาเลี้ยงและน้องสาวของเธอเข้าไปผลัดเปลี่ยนเวรในการเฝ้าบิดา

แม้เธอจะเป็นบุตรสาวคนโตในครอบครัวที่มีฐานะดีอย่างตระกูล

อรุณภักดิ์ แต่เธอก็เป็นเพียงบุตรของภรรยาเก่าที่ไม่ได้มีสมบัติอะไร

ติดตัว ตั้งแต่เรียนจบด้านการดีไซน์มาจากต่างประเทศ เธอก็ทำงานเลี้ยง

ตัวเองโดยไม่พึ่งพาเงินของครอบครัวแต่อย่างใด แม้เธอจะแสดงออกด้วย

ท่าทีเลิศหรูและมีความมั่นใจในตัวเองสูง แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและความทระนง

หญิงสาวลืมตาขึ้นมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาตีสองกว่าเข้าไปแล้ว เธอ

จึงพยายามจะสลัดความคิดวุ่นวายในสมองออกไปเพื่อที่จะได้หลับสักที

เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงดังขึ้น ปลุกหญิงสาวซึ่งเพิ่งจะ

เคลิ้มหลับให้ตกใจตื่น เธอหรี่ตามองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังอีกครั้ง แสง

ไฟสลัวที่เปิดทิ้งไว้หน้าห้องน้ำทำให้พอจะมองเห็นได้รางๆ

‘เพิ่งจะตีสาม ใครโทร. มาตอนนี้นะ รึว่า...คุณพ่อ!’

หญิงสาวรีบคว้าโทรศัพท์อย่างลนลานเมื่อนึกได้ว่าอาจเป็นสายจากโรงพยาบาล

“ฮัลโหล”

“พี่รินคะ พี่ริน...” เสียงสะอื้นสั่นเครือที่ได้ยินมาตามสาย ทำให้

หญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถามกลับไปอย่างร้อนรน

“มีอะไรยายกัน บอกพี่ซิ มีอะไร เกิดอะไรขึ้น”

“คุณพ่อค่ะพี่ริน คุณหมอบอกเมื่อกี้ว่าคุณพ่ออาการหนักมาก กัน

เฝ้าคุณพ่ออยู่คนเดียว พี่กานต์กับเกดกลับไปตั้งแต่หัวค่ำ พี่รินรีบมา

นะคะ กันกลัวค่ะพี่ริน เดี๋ยวกันจะโทร.ไปหาคุณแม่ พี่กานต์...” น้องสาว

ต่างมารดายังพูดไม่ทันจบ รินรดาก็รีบวางโทรศัพท์แล้วคว้าเดรสที่สวม

ง่ายที่สุดมาเปลี่ยน ก่อนจะฉวยกุญแจรถบนโต๊ะไม้ใกล้ประตูห้องวิ่งออกไป

“คุณพ่อคะ คุณพ่อ” หญิงสาวรีบวิ่งไปที่เตียงคนไข้ที่เต็มไปด้วย

สายระโยงระยางของอุปกรณ์การแพทย์ซึ่งใช้ยื้อชีวิตชายสูงอายุที่นอนนิ่ง

อยู่บนเตียง แรงเขย่าทำให้ผู้ที่อยู่บนเตียงรู้สึกตัว ชายชราผู้มีรูปร่าง

ซูบผอมค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง จ้องมองมายังบุตรสาวคนโต

เสียงแหบพร่าหลุดออกมาจากปากของท่านอย่างยากลำบาก

“ริน...พ่อคงมีเวลาไม่มากแล้ว พ่อฝากลุงพงษ์...ให้เอาของให้ริน

ตอนพ่อไม่อยู่แล้ว พ่อคงให้สมบัติหนู...ได้ไม่เท่าที่ให้น้องๆ หนูคงรู้นะ

ว่าเพราะอะไร อย่าเสียใจนะลูก พ่อรู้ว่าลูกพ่อเป็น...คนเก่งและเป็นคนดี

สักวันหนึ่งลูกต้องประสบความสำเร็จ...” เสียงแหบแห้งของท่านขาดหาย

ไปในประโยคสุดท้าย

“คุณพ่อคะ คุณพ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะคะ รินไม่สนใจอะไร

ทั้งนั้น คุณพ่อต้องหาย คุณพ่อต้องอยู่กับรินนะคะ...”

ชายชราค่อยๆ หลับตาลง ขณะที่หญิงสาวร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น

เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังใกล้เข้ามาพร้อมด้วยเสียงผลักประตูให้

เปิดออก แล้วทั้งสี่คนก็โผเข้ามาพร้อมกันที่เตียงผู้ป่วย

“คุณพี่ เป็นยังไงบ้างคะ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นภรรยาถามสามี

ซึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้อย่างร้อนรน

“คุณพ่อคะ นี่กันนะคะ พี่กานต์กับเกดก็มานะคะคุณพ่อ คุณพ่อ

ตื่นมาคุยกับพวกเราสิคะ”

ชายชราลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง จ้องมองใบหน้าของบุตรสาวทั้งสาม

คน เสียงแหบโหยกล่าวสั่งเสียบุตรสาวทุกคน ก่อนจะหันมาหากุลนาถผู้เป็นภรรยา

“กุล...ยายรินเขาไม่มีใครแล้วนอกจากฉัน ฉันฝากเขาไว้กับเธอด้วยนะ”

“ได้ค่ะคุณ ฉันสัญญาจะดูแลทุกคนในบ้านให้มีความสุขเหมือน

ตอนที่คุณยังอยู่ แต่คุณจะอยู่กับพวกเราเหมือนเดิมได้ไหมคะ” กุลนาถ

ถามด้วยน้ำตานองหน้า

“ขอบใจนะกุล แต่ฉันต่อสู้กับมันมานานเกินไปแล้ว พยายามมา

นานเหลือเกินที่จะยื้อชีวิตให้นานที่สุด ฉันเหนื่อยแล้ว แค่เธอรับปากจะ

ดูแลลูกๆ ให้ดี ฉันก็หมดห่วง ขอฉันพักเถอะนะ...กุล” ชายชราพูดอย่าง

อ่อนแรง แล้วหลับตาลงช้าๆ พร้อมภาพใบหน้าของภรรยาและลูกๆ ที่

เริ่มพร่ามัวและเลือนรางลงเรื่อยๆ ก่อนที่ชายชราจะไม่ยอมลืมตาขึ้นมาอีกเลย

ทุกคนมองไปยังจอมอนิเตอร์ เพียงไม่นานเส้นกราฟที่แสดงอัตรา

การเต้นของหัวใจของท่านต่ำลง ตัวเลขบนหน้าจอค่อยๆ ลดลงจนเหลือ

ศูนย์ สัญญาณกราฟนิ่งเป็นเส้นตรง พร้อมเสียงดังติ๊ดๆๆ แสดงถึงการ

จากไปของชายชรา ทิ้งไว้เพียงร่างกายที่ไม่ไหวติงและไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

บุตรสาวทั้งสี่คนส่งเสียงเรียกผู้เป็นบิดาพร้อมกัน แล้วร้องไห้โฮ

ก่อนจะเขย่าร่างชายชราเพื่อให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แวว ทิ้งไว้เพียง

ความว่างเปล่าเคว้งคว้างและความเศร้าโศกเสียใจของคนที่อยู่ข้างหลัง

หมอและพยาบาลที่ยืนรออยู่ในห้องเดินเข้ามาแสดงความเสียใจ

“หลับให้สบายนะคะคุณพ่อ รินรักคุณพ่อ รินสัญญาว่าจะดูแล

น้องๆ และเชื่อฟังน้ากุลค่ะ” เธอค่อยๆ วางมือข้างหนึ่งของบิดาลงบนอก

ของท่าน พร้อมกับกุลนาถซึ่งวางมืออีกข้างหนึ่งของสามีที่กุมไว้ทับลงไป

ก่อนจะปล่อยให้หมอและพยาบาลจัดการกับร่างไร้วิญญาณที่อยู่บนเตียงต่อไป

กุลนาถเงยหน้าขึ้นมองลูกเลี้ยงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า-

โศก เธอรู้สึกอ้างว้างและหมดเรี่ยวแรงจนเกินจะทัดทานไหว

“น้ากุลคะ” รินรดารีบเดินเข้ามาพยุงกุลนาถด้วยความเป็นห่วง

“นั่งพักก่อนนะคะ” หญิงสาวค่อยๆ พยุงมารดาเลี้ยงมานั่งที่เก้าอี้

ข้างเตียง เธอมองไปยังน้องๆ ที่กำลังร้องไห้เสียใจ กานต์ธิดา อายุยี่สิบปี

ซึ่งโตพอที่จะรับกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ขณะที่กันยกร อายุสิบแปด

น้องคนนี้เป็นคนหัวอ่อนและติดบิดามาก คงไม่แปลกที่เธอจะแสดงความ

เสียอกเสียใจมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ส่วนเกตนิกา อายุเพียงสิบหกปี ยัง

อยู่ในช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นลูกคนเล็กจึงค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง

ส่วนกุลนาถ มารดาเลี้ยงของรินรดานั้น ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ให้

ความสนใจแก่รินรดาเท่ากับบุตรสาวทั้งสามคนของตัวเอง แต่เธอก็ไม่

ได้ใจร้ายเหมือนในละคร กุลนาถเลี้ยงดูรินรดาจนจบมหาวิทยาลัย ก่อน

ที่รินรดาจะขอไปเรียนต่อแฟชั่นดีไซน์ที่ต่างประเทศ เมื่อกลับมาบุตรสาว

คนนี้ก็ไปทำงานนอกบ้านและต่อสู้ชีวิตเพื่อสร้างฐานะของตัวเอง เพียง

เพราะไม่อยากเป็นภาระของครอบครัว

เพราะรินรดารู้ว่าธุรกิจของครอบครัวไม่ใช่ของบิดาทั้งหมด แต่

เป็นเพราะการโอบอุ้มของกุลนาถที่เข้ามาในช่วงวิกฤติของบิดา ซึ่งเพิ่งจะ

สูญเสียภรรยาคือ รดา มารดาของเธอเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว

ตั้งแต่เธอเพิ่งจะอายุได้เจ็ดขวบ

ความสูญเสียครั้งนั้นทำให้บิดาของเธอเสียใจมากจนทำให้ธุรกิจ

เสื้อผ้าสำเร็จรูปของครอบครัวที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งมีปัญหา กุลนาถซึ่งเคย

ติดต่อธุรกิจกับบิดาของเธอจึงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

ในฐานะมารดาเลี้ยง ตั้งแต่เธอเพิ่งเสียมารดาไปได้เพียงไม่ถึงครึ่งปี และ

ครั้งนี้ถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งที่สองของเธอในช่วงอายุย่าง

เข้ายี่สิบแปดปี

‘แล้วหลังจากนี้...ชีวิตของเธอจะดำเนินต่อไปเช่นไร’ หญิงสาว

ตั้งคำถามกับตัวเอง

 

ในงานศพของธารินทร์ รินรดาและน้องทั้งสามคนช่วยกันรับแขก

ที่มาเคารพศพของบิดาเป็นครั้งสุดท้าย พงษ์ ซึ่งเป็นทนายความที่ดูแล

ทรัพย์สินของตระกูลอรุณภักดิ์ เดินเข้ามาในงานพร้อมกับชายหนุ่ม

ผิวขาวหน้าตาคมเข้มในชุดสูทสีดำซึ่งเธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

“สวัสดีค่ะลุงพงษ์” หญิงสาวยกมือไหว้ด้วยความเศร้าหมองและ

ไม่ได้ให้ความสนใจแก่ชายหนุ่มตรงหน้ามากนัก เพราะเธอไม่ใช่คนที่

ชื่นชมผู้ชายหล่อรวยเหมือนหญิงสาวคนอื่น

เนื่องจากการเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลอรุณภักดิ์ ซึ่งบิดามัก

จะพาเธอไปออกงานต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้ได้พบเจอบรรดาชายหนุ่ม

หน้าตาดีมากมายที่พยายามจะเข้ามาตีสนิทจนน่ารำคาญ การวางตัวให้ดู

หยิ่งเข้าถึงยาก จึงเป็นปราการด่านสำคัญที่ทำให้ชายหนุ่มพวกนั้นไม่กล้า

เข้าใกล้ และเธอก็มักจะใช้วิธีนี้เสมอยามที่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ

บรรดาชายหนุ่มหน้าตาดีทั้งหลาย

“หนูริน นี่ภูริช ลูกชายของลุงภูมิเพื่อนรักของคุณพ่อหนู” พงษ์

แนะนำชายหนุ่มร่างสูงสง่าใบหน้าหล่อเหลาซึ่งยืนอยู่เคียงข้างให้หญิงสาวได้รู้จัก

“สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่มาร่วมงานนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้แล้ว

ยิ้มให้เขาพอเป็นพิธี ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น แม้เธอจะอยู่ในอาการเศร้าโศก

เสียใจจนดูเลื่อนลอยไปบ้าง แต่เธอก็พอจะรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ามี

ลักษณะท่าทางโดดเด่นไม่ใช่น้อย

“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มรับไหว้ แววตาคู่คมนั้นสลดลงเมื่อเห็น

ดวงตาเศร้าโศกบนใบหน้าเชิดหยิ่งของหญิงสาว เขาอยากจะพูดอย่างอื่น

ต่อ แต่ก็ตัดสินใจที่จะเงียบไว้แทน

‘เอาเถอะ ธุระของเราเก็บไว้คุยวันอื่นเห็นทีจะดีกว่า ฮึ ผู้หญิงอะไร

หยิ่งชะมัด แต่ท่าทางแบบนี้คงพูดไม่ยากเท่าไหร่’ ชายหนุ่มคิดในใจ เพราะ

ดูจากท่าทางของหญิงสาวตรงหน้า ถึงแม้เธอจะยังคงอยู่ในอาการหมอง

เศร้า แต่รูปร่างหน้าตาที่สะสวยและผิวพรรณบอบบางกับท่าทีเชิดหยิ่ง

ราวกับนางหงส์นั่นแล้ว...

คงไม่พ้นเป็นลูกผู้ดีที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเป็นแน่!

‘ฮึ! ท่าทางแบบนี้ร้อยทั้งร้อย เอ่ยปากแค่คำเดียว รับรองว่าต้อง

รีบตกลงในทันทีแน่ๆ’ ชายหนุ่มนึกสบประมาทอยู่ในใจ ก่อนที่เจ้าของ

ร่างสูงสง่าจะเดินผ่านเธอไปเพื่อเคารพศพ โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองเธออีกเลย

                          (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024