วินธัย (ศรีสุรางค์)

วินธัย (ศรีสุรางค์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160011728
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 390.00 บาท 97.50 บาท
ประหยัด: 292.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                บุตรของสายลม

 

แรมสิบค่ำเดือนสิบสอง ท้องฟ้าแจ่มกระจ่างปราศจากเมฆ แล

เห็นจันทร์เสี้ยวดังเคียวทองแขวนอยู่เหนือม่านแพรประดับเพชร ลมเหนือ

พัดผ่านเทือกเขามาแผ่วๆ เสียงพายกระทบน้ำแว่วไปในความสงัดของค่ำคืน

อันเยือกเย็น หริ่งเรไรร้องระงมอยู่ในละเมาะไม้ริมธารน้ำ

เรือสี่ฝีพายไม้ขนาดกลางลอยล่องคดเคี้ยวเข้าไปในความเงียบเพียง

ลำพังจนลุถึงหุบเขาตอนหนึ่ง ยามเมื่อลำนาวาเคลื่อนผ่านไปตามลำธารที่เลาะ

สู่ซอกหุบเขานั้น ความสูงของแผ่นผาที่ตั้งชันรอบข้างบดบังแสงจันทร์เสี้ยว

อันประดุจดวงโคมอันริบหรี่เพียงดวงเดียวในค่ำคืนนั้นให้พลันเลือนหาย

บุรุษวัยฉกรรจ์ผู้สถิตอย่างสง่าอยู่กลางลำเรือก้าวลงสู่ที่หมายเมื่อ

ฝีพายทั้งสี่วาดเรือเข้าเทียบตลิ่งริมซุ้มไผ่กอหนึ่ง เสียงเบียดออดแอดของลำไม้

ยามต้องลมระคนกับเสียงใบไผ่เสียดสีดังซู่ซ่า แทบจะกลบเสียงระงมของ

บทเพลงป่ายามค่ำคืนไปเสียสิ้น

“ลมหนาวพัดจากเหนือสู่ใต้”

“มัธยวารีไหลจากใต้สู่เหนือ”

สิ้นคำขานรหัส บุรุษร่างแข็งแรงจากเงามืดร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้นถวายความเคารพ

“ข้าน้อยปรมะ”

“อุททิศล่ะ” ผู้มาเยือนถาม ไม่มีคำตอบ นอกจากเงาร่างที่หมอบต่ำอยู่

นั้นลุกขึ้นเดินนำทาง

ถ้ำในซอกเขาที่ถูกกิ่งใบของพฤกษาหลากพันธุ์พันธนาการอยู่รอบแนว

ปากทางเข้านั้นมืดมิดจนแทบจะคลำทางไม่พบ ไม่มีแสงหรือแม้เพียงความ

อบอุ่นจากกองไฟอันควรจะมีสำหรับที่พำนักของมนุษย์อยู่เลย จนล่วงลึก

เข้าไปในถ้ำพอประมาณจึงปรากฏแสงเรืองๆ จากตะเกียงดวงเล็กที่สุด สาด

ส่องผนังถ้ำเป็นเงาเหลื่อมล้ำดุจจะเคลื่อนไหวไปมาได้ตามการเต้นของเปลวไฟ

ที่พื้นริมผนังข้างหนึ่งลาดไว้ด้วยเสื่อบางๆ ร่างหนึ่งนอนหายใจระรวยอยู่

บุรุษผู้มาใหม่พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกหนึ่งคนตามเงานำทางตรงเข้ามา

ใกล้ ก่อนคุกเข่าลง ร่างที่นอนอยู่นั้นพยายามพูด

“ใต้ฝ่าพระบาท...ข้า...อุททิศ...ขอ...กราบบังคม...เบื้องบาท”

ไม่มีคำตอบใดนอกจากดวงเนตรทั้งสองอันคมกล้าจ้องมองฝ่าความ

สลัวราง หัตถ์แข็งแกร่งที่ประทับลงบนต้นแขนผู้เจ็บป่วยซึ่งกระเสือกกระสน

อยู่ในวาระสุดท้าย พระองค์ทรงตั้งพระทัยลงสดับคำพูดทุกพยางค์ด้วยทราบ

ความสำคัญของมันดี

“ถวาย...เด็ก...กำพร้า...รับสั่ง...ว่า...ให้เป็นของปาลีรัฐ...ตลอด...ไป...อย่าให้...”

 

“อุททิศ” กษัตริย์แห่งปาลีรัฐทรงกระตุ้นเตือน เมื่อความเงียบเข้า

ครอบงำร่างตรงเบื้องพระพักตร์เป็นเวลานานเกินสมควร

“อุททิศ” ทรงเรียกซ้ำพร้อมทั้งกระชับพระหัตถ์กับต้นแขนนั้นเข้าอีก

ฉับพลันสัมผัสก็กล่าวแก่พระองค์ให้ทรงทราบว่า ชายเจ็บป่วยผู้นี้ถึงแก่กรรมแล้ว

เสียงร้องไห้ของเด็กดังขึ้นที่หลืบหินอีกข้าง ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะผวาเข้า

กอดร่างของบุรุษที่เพิ่งสิ้นลมพลางร้องเรียก

“ท่านลุง...ท่านลุง...”

ชายอีกคนอันเป็นผู้นำทางเข้าไปแกะเด็กน้อยออกจากศพ จูงมือมาส่ง

ให้แก่มหาราชแห่งมัชฌิมะปาลีรัฐ

“รีบเสด็จเถิดพระเจ้าค่ะ”

เด็กชายไม่ยอมปล่อยมือจากพี่เลี้ยง

“ไม่เอา ปรมะไปกับเรา ไปด้วยกันนะ”

“ไม่ได้พระเจ้าค่ะ หากกระหม่อมไปด้วยพระองค์จะไม่ปลอดภัย”

เขาหันมากราบทูลคำสุดท้ายแด่กษัตริย์ผู้ประทับนิ่งงัน

“ทรงฝากพระหทัยและพระเนตรมาถวายพระองค์ เพื่อให้เป็นบุตร

ปาลีรัฐสืบไปพระเจ้าค่ะ เกล้ากระหม่อมต้องกลับไปเพื่อตัดสงสัย และจะ

จัดการกับร่างของท่านอุททิศเอง...เสด็จเถิดฝ่าบาท”

ท่ามกลางราตรีที่มืดมิดและเยียบเย็น เด็กน้อยผู้หนึ่งล่องลอยจาก

แดนไกลทวนกระแสน้ำลงมาทางใต้สู่มัชฌิมประเทศ มัธยวารีคืนนี้ไหลเชี่ยว

และเย็นเยือก แต่น้ำตาของเด็กชายหยาดอุ่นตกลงต้องพระหัตถ์ของมหาราช

ผู้ทรงให้พระกุมารประทับบนพระเพลา

“แวะบ้านท่านวามิศก่อน”

จันทร์เสี้ยวดวงลอยเหนือยอดไผ่ ดวงดาวทั้งหลายกะพริบแสงพราว

อยู่บนฟากฟ้า หากว่าการทำลายล้างและความทุกข์ระทมมีแสง มันก็คงจะมี

สีแดง สาดส่องมาจากฟากฟ้าเบื้องอุดรอันมืดมิดนั่นเป็นแน่แท้

 

“วินธัย ต่อนี้ไปเป็นชื่อของเจ้า เทือกเขา ลม และป่าไผ่...พ่อของเจ้า

คือวายุ...แม่ของเจ้าชื่อเวฬุกา ทั้งสองตายหมดแล้ว เจ้าร่อนเร่อยู่เพียงลำพัง

ที่เชิงผาแห่งวินธัย ต่อนี้ไปเจ้าเป็นเด็กรับใช้ของท่านวามิศ เรียกท่านวามิศซิ”

“ท่านวามิศ”

แล้วน้ำตาที่ได้เหือดแห้งไปในระหว่างการเดินทางก็ร่วงลงมาใหม่

“ยังเด็กเหลือเกินพระเจ้าค่ะ”

“แปดปีแล้ว” ตรัสตอบ แล้วถอนพระทัย ทอดพระเนตรกุมารบุตร

ของสหายผู้อาภัพ ต้องสูญเสียทั้งบิดามารดา พลัดจากราชธานีที่อยู่ ญาติ

มิตร และยศจนหมดสิ้น เด็กชายยังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เช่นนั้นใน

 

ระหว่างกลางของกษัตริย์วัยหนุ่มฉกรรจ์กับบุรุษชราร่างสันทัดผู้มีผมและหนวดเคราเป็นสีเทา

“ร้องไห้ไปเถิด ให้พอแก่ใจของเจ้านะ วินธัย เพราะบัดนี้เจ้าเป็นเพียง

เด็กชายบุตรคนตัดไม้หาของป่าสามัญชนเท่านั้น ตั้งแต่นี้จนตลอดไป”

พระดำรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนหนักแน่นนั้นมีอำนาจประหลาด

ทำให้เด็กชายต้องเงยหน้า จับจ้องสายตามาที่องค์มหาราชแห่งปาลีรัฐ พลัน

 น้ำตาที่รินไหล และเสียงสะอื้นก็ชะงักหยุดหายราวกับมือที่ทรงประสิทธิภาพมาปัดเป่า

องค์มหาราชทอดพระเนตรดวงตาสีนิลกลมใสแจ่มวาวล้อมรอบด้วย

แพรขนตาเปียกน้ำของเด็กน้อยซึ่งงามราวกับดาวประกายพรึกด้วยพระเมตตา

ดวงตาอ่อนหวานราวกับตาลูกกวางเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ้างว้างและวิงวอน

แสงตะเกียงสีนวลอันอบอุ่นภายในกระท่อมหลังเล็กสาดจับผิวแก้มขาวเนียน

ละเอียดจนออกสีชมพู หยาดน้ำตายังเปรอะอยู่ทั้งสองข้าง ริมฝีปากเต็มอิ่มนั้น

สีแดงสดเหมือนกลีบกุหลาบ เพิ่งจะได้ทรงเพ่งพิจารณาลักษณะของเด็กน้อย

ในครานี้ ลูกนกลูกกามาขออาศัย พระองค์ยังทรงพระกรุณามากมาย แล้วนี่...

แน่แล้ว คงเป็นแก้วตาดวงใจ

“มานี่เถอะวินธัย”

เด็กชายเข้ามาคุกเข่าลงแทบพระบาท

“อาจะดูแลเจ้าให้ปลอดภัย อย่าเกรงไปเลย ชีวิตของคนดีไม่มีที่น่ากลัว

ภายใต้ปาลีรัฐนี้เจ้าจะอยู่ในความคุ้มครองของอา เพียงแต่ว่า เจ้าไม่สามารถ

เรียกอาว่าอาได้เท่านั้น นั่นจะเป็นข้อควรทุกข์ร้อนเกินไปไหม”

“ไม่พระเจ้าค่ะ”

รัฐบุรุษอาวุโสลูบเคราพลางพยักหน้าอย่างพอใจ ดวงตาฉายแวว

ชื่นชมโสมนัส...ฉลาด

เด็กชายประนมมือทั้งสองกราบลงบนพระเพลาของท่านอา สมเด็จ

พระเจ้าราชาธิบดีศรีธตรัฐแห่งราชวงศ์มัลละทรงลูบศีรษะนุ่มละเอียดด้วย

เกศาดำขลับอย่างอ่อนโยน

“ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายตัวเป็นข้ารองพระบาทจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

ด้วยริมฝีปากและเสียงของเด็ก ด้วยคำพูดที่เลียนแบบมาจากผู้ใหญ่

หากแต่ด้วยการตัดสินใจของตนเอง วินธัยได้นำความประทับใจมาสู่บุรุษ

ทั้งสอง ณ ที่นั้น ในวาระแรกแห่งการย่างเท้าเข้าสู่ปาลีรัฐแล้วด้วยประการนี้...

 

เมื่อคนทั้งสองยืนส่งเสด็จมหาราชแห่งปาลีรัฐกลับ ณ ใกล้รุ่งของ

คืนวันนั้น ท่านรัฐบุรุษอาวุโสก็ประจักษ์แก่ใจ บัดนี้ เยาวกุมารอันมีนามใหม่ว่า

วินธัยนั้น เหลือตนเป็นที่พึ่งและสายสัมพันธ์เพียงอันเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตแล้ว

ครูเฒ่าในวัยเกษียณจากราชการ ผู้มีดวงตาสงบลึกสีสนิมเหล็ก

เส้นผมบนศีรษะเปลี่ยนสีไปหมดแล้ว สวมเสื้อผ้าฝ้ายเก่าๆ กางเกงยาวสีมอๆ

ก้มลงมองดูเด็กในความอุปการะคนใหม่ สายตาที่เคยแหลมคมจริงจังทั้งคู่อ่อนลง

เด็กชายหยุดร้องไห้ได้สนิท แต่ยังคงกำนิ้วมือของท่านข้างที่จับจูงเอา

ไว้แน่น ด้วยความว้าเหว่ไม่มั่นใจอย่างไม่รู้สึกตัว และทั้งที่ไม่เคยทำกับเด็ก

คนไหน ด้วยไม่มีครอบครัวญาติสนิทให้สนใจตลอดชีวิตอันโชกโชนด้วยการ

รับใช้ราชบัลลังก์อย่างหามรุ่งหามค่ำ ทุ่มเทชีวิตจิตใจ วามิศมหาอำมาตย์ราชองคมนตรี

ทรุดกายลงคุกเข่ากอดเด็กชายไว้กับอ้อมอก

“...ครูเฒ่าวามิศแก่ชราถึงเพียงนี้แล้ว วินธัย ต่อไปมาเป็นตาเป็นหูให้

...ครู เถิดนะ”

เด็กชายจ้องตากลมที่ยังช้ำแดง “...เอ้อ...ขอรับ”

“ดี ดี...” ผู้ชราถึงกับหลุดปากชม “แล้วครูจะสอนเรื่องสนุกให้เยอะๆดีไหมละเจ้า”

แม้แต่คนแก่ก็คิดคำที่ใช้แทนตัวในการสนทนาตอบรับอยู่เป็นครู่กว่า

จะกล่าว นั่นทำให้เด็กที่ยังสับสนใช้เป็นแนวทางในการค่อยๆ รู้สำนึกถึงฐานะ

ใหม่ที่ตนจะต้องเป็น ทั้งที่มิได้คุ้นชินมาก่อนเลย จากที่มิเคยทำความเคารพ

ให้แก่ใคร บัดนี้ เป็นครั้งแรก สำหรับผู้มีฐานะไม่คู่ควรในความเป็นจริงใน

อดีต หากในปัจจุบัน ท่านวามิศเป็นคนแรกของอีกหลายหลากต่อมา ที่วินธัย

เด็กกำพร้าต้องน้อมศีรษะลงเคารพ

“มาอาบน้ำหาเสื้อผ้าเปลี่ยนเสียก่อน”

มือเล็กและมือใหญ่ มือใสและมือเหี่ยว ข้ามขอบฟ้าป่าเขาและแม่น้ำ

แสนไกลมาจับกันไว้ ด้วยชะตาที่กรรมลิขิตโดยแท้

นับแต่วันนั้น รัฐบุรุษอาวุโสเป็นผู้ดูแลการกินอยู่ สุขภาพอนามัย การ

ศึกษาและศิลปวิทยาการต่างๆ ให้แก่วินธัยดุจดั่งศิษย์ก้นกุฏิ ชีวิตที่ถือสันโดษ

แล้วหลังเกษียณราชการ อันเคยหวังจะเข้าสู่ร่มพระศาสนาเสียหลายครานั้น

ยังจะต้องมีภาระต่อไป ด้วยวินธัยยังเล็กนัก ยังต้องการมือที่เปรื่องปราด

สั่งสอนสรรพศิลป์ทางโลกให้อยู่มาก

การที่องค์เหนือหัวมอบหมายหน้าที่เฉพาะนี่ก็มีนัยอยู่ ว่าต้องการให้

บุตรพระสหายผู้อาภัพ แม้ต้องลงเอยเป็นเช่นสามัญก็พร้อมเพียบด้วยวิทยาคุณ

อันอาจสร้างความเจริญยศแก่ตนได้สูงยิ่ง เสมอด้วยได้มหาราชครูของแผ่นดิน

เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทเอง

หากว่าท่านตัดสินใจอุปสมบทเสียก็จะมิอาจสอนวิชาในทางโลกได้

ด้วยไม่เหมาะแก่ความเป็นสมณะของตน จำต้องรอไว้ให้บุตรของพระพาย

จำเป็นนี้แก่กล้าเสียก่อนละกระมัง

ให้สิ้นวิชาเสียแล้วบางทีวามิศจะได้ราชบัณฑิตไว้แทนตัวต่างพระเนตร

พระกรรณได้ในกาลข้างหน้า

นัยน์ตาที่ยังมิฝ้าฟางด้วยวัยชรา ยังมองเห็นการณ์อันไกลยิ่งกว่า

สายตาผู้ใดในแผ่นดิน การณ์ที่ยากจะคาดเดาและมิอาจเปิดเผยออกเป็นวาจา

ให้ผู้ใดได้ทราบอีกประการหนึ่งด้วย...

 

 

เทวาอารักษ์

ยามเช้า เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก บริเวณ

หน้ากระท่อมหลังน้อยก็สดสว่างไปด้วยแสงสีทองของยามรุ่งอรุณ สายหมอก

ที่เปรียบดั่งม่านขาวสลายจางดุจธรรมชาติเผยม่าน ให้มองเห็นกระท่อมไม้

ขนาดย่อมในวงโอบล้อมของพฤกษานานาพันธุ์

ตัวเรือนยกพื้นสูงพอประมาณ ประกอบด้วยระเบียงไม้รายรอบ ตั้ง

กระถางไม้ดอกไม้ประดับอันชิงกันอวดช่อชูใบรับน้ำค้างและแสงแรกแห่ง

อรุณอย่างแช่มชื่น หลังคาเบื้องบนมุงด้วยตับหญ้าชนิดหนึ่งมัดเป็นฟ่อนหนา

ทับซ้อนกันไปบรรจบยอดบนจั่วลาด คลุมด้วยข่ายเชือกอีกครั้งดูแน่นหนา

เถาไม้ดอกหอมเลื้อยพาดพันตั้งแต่พื้นดินเลาะรัดระเบียงเกาะผนังขึ้นไปจนเกือบถึงหลังคา

โดยรอบมณฑลบริเวณเป็นลานหินแผ่นปูหยาบๆ รอบเรือน ถัดออก

มาจึงเป็นสวน ปลูกไม้ผลต้นใหญ่และไม้พุ่มอีกนานาชนิด กระรอกกระแต

และหมู่สกุณาร่าร้องเริงเล่นอยู่ตามกิ่งก้าน

ที่ใต้ต้นมะม่วงออกผลสุกสีส้ม เด็กชายผู้หนึ่งนอนพังพาบเท้าคาง

สะกดอักษรจากหนังสือเล่มเล็กอย่างตั้งใจบนเสื่อกกถัก

                                      (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เกษรา เจ้าหญิงสูงศักดิ์ผู้แสนซุกซน และเอาแต่ใจตัวเอง ถูกปราบพยศโดยวินธัย องครักษ์หนุ่มรูปหล่อซึ่งหนีมาพึ่งใบบุญในบ้านเมืองของเธอ ทั้งคู่เป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมากัน เธอมักทำตามอำเภอใจ ส่วนเขาคอยขัดใจอยู่ร่ำไป แต่สุดท้ายความรักก็ค่อยๆ ซึมลึกลงไปในจิตใจของคนทั้งคู่จนยากจะถอนใจ แม้มีอุปสรรคเรื่องสถานะและชาติกำเนิด และแม้วินธัยจะพยายามเอาตัวหลีกหนีรักไปให้ไกลเพียงใด แต่ความรักก็ยังตามไปหล่อหลอมหัวใจของทั้งคู่ให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024