อาณาจักรแห่งเม็ดทราย (ชาครีย์นรทิพย์)
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
ชายหนุ่มผิวคลํ้าเข้มควบม้าตัวใหญ่สีขาวสะอาด ตะบึงไปข้างหน้า
โดยไม่ใส่ใจกับสายลมระอุที่พัดมาปะทะใบหน้าที่มีชายผ้าบางซึ่งสีซีดจางจาก การถูกแสงแดดแผดเผาจนไม่เหลือสีดั้งเดิมที่ถูกดึงลดลงมาจากผ้าคลุมใบหน้า จนเหลือเพียงตาโตสีดำขลับที่แม้จะแสบจากการถูกสายลมปะทะจนนํ้าตาแทบไหล แตกยังคงจับจ้องเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่
ม้าของเขาวิ่งไปบนผืนทรายอย่างคล่องแคล่ว เพียงไม่กี่อึดใจ เนื้อและ สีของเม็ดทรายใต้เท้าม้าก็แปรเปลี่ยนจากทรายร่วนๆ สีขาวอมเหลืองที่บริเวณ ชายหาดริมทะเล กลายเป็นทรายละเอียดสีน้ำตาลอ่อนเมื่อเริ่มเข้ามาลึกบนตัว เกาะมากขึ้น
ชายหนุ่มเทน้ำหนักไปข้างหน้า และใช้น่องกระแทกไปที่ลำตัวชองม้าคู่ใจ เมื่อรู้สึกว่ามันยังวิ่งเร็วไม่ทันใจ ทำให้มันพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วขึ้น
ในขณะที่หัวใจชองชายหนุ่มเต้นระทึก จนเขาต้องกัดริมฝีปากเพื่อ
ควบคุมความตื่นเต้นปนหวาดกลัวอันเกิดจากภาพที่เขาเพิ่งได้ประสบพบเห็นเมื่อครู่
“ยาๆๆ...” เขาตะโกนเร่งม้าสีชาว พลางสะบัดสายบังเหียนสองสามที
และเมื่อสายตาสังเกตเห็นภาพสีเขียว และความสูงตํ่าไม่เท่ากันของ
ต้นปาล์มหลายต้นที่รายล้อมแอ่งนํ้า และใบแฉกๆ ของต้นปาล์มที่ปลิวไหวตาม สายลม ตั้งโดดเด่นกลางเนินทรายสีนํ้าตาลอ่อนที่สูงเป็นลูกเป็นสัน เขาก็ผ่อนมือ และให้ม้าได้พักหายใจ จวบจนเมื่อเข้าใกล้เขตโอเอซิส ซึ่งมีชายฉกรรจ์'ที่เป็น ทหารที่คุ้นหน้าคุ้นตายืนเผ่าทางเข้าอยู่สามสี่คน เขาจึงรีบกระโดดลงจากม้า ตะโกนฝากให้เพื่อนดูแลม้าให้ก่อน แล้ววิ่งถลาเข้าไปด้านใน ซึ่งมีกระโจม,ที่ตั้งอยู่ริมนํ้า
“ท่านนายพล...” ผู้ที่เพิ่งลงจากม้า ขานเรียกด้วยนํ้าเสียงที่บ่งบอกถึง ความเคารพและจงรักภักดี เมื่อมาหยุดหอบเบาๆ อยู่หน้ากระโจม
เพียงครู่เดียวก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า ผิวคลํ้าเข้มในชุดแขนยาวสีขาว สะอาดตาที่ปลายเสื้อนั้นยาวกรอมเท้า ใบหน้าคมคายของเขา มีหนวดเคราครึ้ม ปกคลุมอยู่บริเวณรอบริมฝีปากหนาและคางเรียวรี ก้าวออกมาจากภายใน กระโจม และเพ่งมองผู้มาใหม่ด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มดังผลอินทผลัมสุก และ เฉียบคมราวปลายธนูโดยมีผู้ชายอีกสองคนเดินตามออกมาติดๆ
ผู้หนึ่งดูอ่อนรัยกว่าไม่มากนัก ในขณะที่อีกผู้หนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยรอย เหี่ยวย่นแห่งกาลเวลา
“จาฟา...เกิดอะไรขึ้น” ผู้ถูกเรียกว่านายพล เอ่ยถามผู้มาใหม่ด้วยน้ำเสียง ที่ทรงพลัง
“ท่านซาอีฟ ข้าไปลาดตระเวนตามชายฝั่งทิศตะวันออก ตามคำสั่งของ ท่าน” จาฟารายงาน “และเมื่อรุ่งเช้านี้...ข้าได้พบซากเรืออับปางที่ชายหาดริม ทะเล”
สีหน้าของผู้ที่ชื่อ ซาอีฟ เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“เป็นเรือของพวกเจ้าชายวากาซหรือ” ซาอีฟสอบถามอย่างร้อนใจ
“ข้าว่าไม่ใช่ เพราะข้าไม่เคยพบเห็นอะไรเช่นนั้นมาก่อนเลย”
นายพลหนุ่มนึ่งไปครู่หนึ่ง อย่างพินิจพิจารณา
“งั้นเดี๋ยวข้าจะไปดูเอง” นายพลหนุ่มตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวและหันไป ทางชายชราที่ยืนอยู่เคียงข้าง
“อะมิน ข้าฝากท่านดูแลค่าย ส่วนฟารุค เจ้าไปกับข้าและจาฟา”
ฟารุคโค้งรับคำสั่งของนายพลหนุ่ม และรีบวิ่งกลับเข้าไปในกระโจมเพื่อ คว้าดาบโค้งอันเป็นอาวุธคู่กายของซาอีฟมาให้ ในขณะที่จาฟาวิ่งไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเตรียมม้าในทันที
“ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองพวกท่าน” ชายชรากล่าวด้วยนํ้าเสียงที่แหบแห้ง และทอดสายตามองดูชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้นำ ที่ดึงชายผ้าโพก ศีรษะสีชาวลงมาพันปิดบริเวณจมูกและปากเตรียมตัวสำหรับการเดินทางกลาง ทะเลทรายที่ร้อนระอุ ก่อนที่จะกระโจนขึ้นม้าศึกสีดำ และควบม้าออกไปอย่างไม่รีรอ
ซาอีฟรั้งบังเหียนพา ซาเกอร์ ม้าคู่ใจสีดำสนิทของเขามาหยุดยืนบริเวณ เนินสูงของทะเลทรายสีนํ้าตาลส้ม และเพ่งมองดูภาพเบื้องหน้า ซึ่งมีซากไม้และ เศษเรือกระจัดกระจายกลาดเกลื่อนอยู่รอบหาดทรายสีขาวอมเหลือง นอกจากนี้ ยังมีร่างชองผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นอนแน่นึ่ง โดยมีนกแร้งตัวใหญ่สามสี่ตัว ยืน เสียบๆ เคียงๆ เผ้ามองร่างเหล่านั้น และบนท้องฟ้ายังมีนกแร้งอีกจำนวนหนึ่ง
บินวนไปมา ราวรอคอยเวลาของพวกมันที่จะลงจัดการกับอาหาร
นายพลหนุ่มก้าวลงจากม้าช้าๆ ท่าให้ผู้ร่วมเดินทางทั้งสองคนรีบท่าตาม ฟารุคเดินมาถือบังเหียนของซาเกอร์ให้อย่างรู้หน้าที่
“จริงอย่างที่เจ้าว่า...” นายพลซาอีฟตั้งข้อสังเกต พลางเลื่อนมือขวาลงไป จับด้ามดาบที่แขวนไร้กับเข็มขัดหนังอูฐที่เอวทางด้านช้ายอย่างเคยชิน “สภาพนี้ ไม่นำจะเป็นเรือชองเจ้าชายวากาซ...”
ว่าแล้ว เขาก็เดินลงไปยังชายหาดช้าๆ ก้มลงหยิบแผ่นไม้ที่กลาดเกลื่อน ผืนทรายขึ้นมาพลิกพิจารณาดู และพบว่ามันไม่นำจะเป็นไม้ที่ดัดแปลงมาจาก ต้นอินทผลัม
“ลองดูชิว่าพระเจ้าทรงปรานีให้ผู้ใดรอดชีวิตหรือไม่” ชาอีฟสั่งการ ทำให้ ทหารลาดตระเวนและทหารคู่ใจของเขา แยกย้ายก้นเดินไปตรวจสอบร่างที่นอนแน่นิ่งเหล่านั้น
ซาอีฟนั่งชันเข่าข้างหนึ่งหันมองรอบกาย ราวพยายามไตร่ตรองว่าเรือที่ อับปางแล้วเกยขึ้นมาบนชายหาดของอาณาจักรกาชีชองพวกเขานั้น เป็นของผู้ใดกันแน่
ท่ามกลางเสียงเกลียวคลื่นที่ชัดเข้าหาชายฝัง เสียงร้องของนกแร้ง และ สายลมที่เย็นที่พัดเข้ามาจากท้องทะเล สายตาที่เฉียบคมของเขาก็ทอดไกลไป เห็นร่างหนึ่งที่ปลายหาด ขยับช้าๆ เมื่อถูกจะงอยอันแข็งคมของนกแร้งจิกเข้า ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด
“ทางนั้น” ซาอีฟตะโกนบอกลูกน้อง แล้วรุดวิ่งน่าทางไปท่าให้เม็ดทราย ฟุ้งตลบ ในขณะที่มือขวากุมด้ามดาบแน่นอย่างเตรียมพร้อม
นิศามณีสะดุ้งตื่นด้วยความตระหนก เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่วิ่งแปลบ
เข้ามาจากบริเวณต้นแขนขวา และเมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่ามีนกตัวใหญ่ หน้าตา
น่ากลัว ยืนแทบจะคร่อมร่างเธออยู่ก็ยิ่งท่าให้หญิงสาวแผดร้องด้วยความตกใจ
แม้เธอจะปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ราวกับเพิ่งถูกทุบตีอย่างรุนแรงและ
ไร้ความปรานี แต่เธอก็พยายามกระเสือกกระสนหนีจากจะงอยสีดำที่แข็งและคมของนกที่อยู่เบื้องหน้าเธอ
แต่เสียงร้องของเธอก็เพียงท่าให้นกยักษ์ตัวนั้นชะงักไปเพียงครู่เดียว ก่อนที่จะเพ่งมองเธอด้วยดวงตาที่ดุร้ายอย่างแน่วแน่ ราวจะไม่ลดละจนกว่าจะได้ลิ้มรสเนื้อของเธอ
นิศามณีกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก และลนลานถอยออก ห่างจากนกตัวใหญ่ต่อไปอย่างไม่ลดละ แต่แขนเธอก็ไร้เรี่ยวแรงและผืนทราย
ที่รองรับน้ำหนักของเธอก็ยวบยาบกับทุกการขยับเขยื้อนกายของเธอ
แต่ก่อนที่เธอจะตกเป็นอาหารอันโอชาของนกยักษ์ หญิงสาวก็ได้ยินเสียง ตะโกนของใครคนหนึ่งดังมาแต่ไกล และเห็นเจ้าของเสียงวิ่งมาทางเธอด้วย
ความรวดเร็ว โดยแกว่งดาบโค้งในมือเพี่อเป็นการขู่และขับไล่นกยักษ์ที่หมาย
จะกัดแทะเธอ ซึ่งเมื่อมันเห็นว่าสถานการณ์พลิกผันไป เจ้านกขนสีน้ำตาลเทา
ก็ตัดสินใจสยายปีกอันกว้างใหญ่ และขยับเบาๆ โบยบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้าด้วย ท่าทางหงุดหงิด และสายตาของมันก็ไม่วายจับจ้องเธออย่างเสียดาย
เมื่อพ้นภัยจากนกยักษ์แล้ว จึงท่าให้นิศามณีพอมีเวลาได้หายใจหายคอ และทบทวนความทรงจำว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เธอจำได้คือเสียงฟ้าร้องดังกัมปนาท
ข้างลำเรือและเธอกอดกับแม่นมแน่น...
ความทรงจำที่เลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ทำให้เธอจำได้ว่าตัวเองว่ายนํ้า ลอยคออยู่ โดยเกาะแผ่นไม้เอาไว้ ในขณะที่พายุฝนยังคงถาโถมลงมาสาดใส่ อย่างไม่ลดละ
เธอจำได้ถึงท้องทะเลสีดำทะมึนที่เกลื่อนไปด้วยท่อนไม้ และข้าวของ เครื่องใช้ สินค้าต่างๆ ที่เรือสำเภาลำนั้นขนมาเพื่อหวังจะมาทำการค้าขาย...
เสียงโอดครวญของผู้คนที่ลอยคออยู่รอบกายและเสียงร่ำไห้ของแม่นม
“นม...” นิคามณีหันซ้ายมองขวาด้วยความตื่นตระหนก เรียกหาด้วย น้ำเสียงที่แหบแห้ง เธอพยายามลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกอ่อนแรงและอ่อนแอเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้และยันตัวเองลุกขึ้นยืนจนได้
“นมจำ...” เธอเรียกพลางเดินโซชัดโซเซไปข้างหน้า ก่อนที่จะรู้สึกหน้ามืด ราวกับพละกำลังภายในร่างกายของเธอนั้นได้สาบสูญจนหมดสิ้น และเธอรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังจะล้มลงไปนอนกองกับผืนทรายอีกครั้ง
แต่ในจังหวะนั้น เธอก็รู้สึกถึงไออุ่นของฝ่ามือและวงแขนของใครคนหนึ่ง
ที่เข้ามารองรับร่างกายของเธอ
นิศามณีตาพร่ามัวด้วยความอ่อนล้า แต่ก่อนที่เธอจะสลบไปนั้น เธอก็ทัน เห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มบนใบหน้าที่ถูกปกคลุมด้วยผ้าสีขาวสะอาด ที่จับจ้อง อยู่บนใบหน้าของเธอด้วยความสับสนปนประหลาดใจ...
เธออยากจะเอ่ยขอบคุณเขาที่ช่วยเธอจากนกยักษ์ แล้วยังมาช่วยพยุงเธอ อีก แต่นิศามณีก็สลบไปเมื่อไม่เหลือเรี่ยวแรงในร่างกายอีกเลย
๒
ซาอีฟก้มหน้า เพ่งมองดูใบหน้าเล็กเรียว ของหญิงสาวรูปร่างบอบบาง ที่สลบหลับใหลอยู่ในอ้อมอกกว้างของเขาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
แค่เพียงแวบแรก เขาตระหนักได้ว่าเธอเป็นคนต่างถิ่น เพราะทั้งผิวพรรณ สีนํ้าผึ้งที่ผ่องใส เส้นผมสีดำขลับที่ตรงและยาวสลวย อีกทั้งดวงตาที่เรียวเล็ก ภายใต้คิ้วบางที่แลดูขนคิ้วอ่อนนุ่มและโค้งแต่พองาม จมูกเล็กที่มีลันเด่น หน้าผากกว้าง และรีมฝีปากหนากำลังงามสีแดงอ่อนๆ ราวกลีบกุหลาบ ซึ่งรวมๆ กันแล้วทำให้ใบหน้าของเธอดูหวานและอ่อนโยนกว่าสตรีอื่นๆ ที่เขาเคยพบเจอ ในอาณาจักรกาชี ซึ่งส่วนใหญ่จะมีใบหน้าที่คมคาย
ขณะที่เขากำลังเหม่อลอย ซาอีฟก็รู้สึกตกใจเมื่อหน้าผากของหญิงสาว แปลกหน้าบังเอิญพลิกมาสัมผัสกับหน้าอกของเขา
“ตัวร้อนจี๋เลย...” นายพลหนุ่มพึมพำเบาๆ พลางขยับร่างของหญิงสาว เพื่อให้อุ้มเธอได้สะดวกมากขึ้น
“ฟารุค...จาฟา” ซาอีฟหันไปตะโกนบอกผู้ติดตามของตน “นางตัวร้อน มาก ข้าต้องพานางไปหาอะมินก่อน พวกเจ้าทั้งสองคนตระเวนดูบริเวณนี้ให้ทั่ว
อีกครั้งว่ายังมีใครที่รอดชีวิตอีกหรือไม่”
ฟารุคที่กำลังวิ่งหน้าตื่นมาทางนายพลหนุ่มหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อ สังเกตเห็นแววตาของนักรบนามกระเดื่องผู้หาญกล้า ที่บัดนี้แลดูอ่อนโยนและ เปียมไปด้วยความอาทร
ตั้งแต่เขาติดตามรับใช้นายพลชาอีฟมาเป็นเวลานับสิบปี เขาไม่เคยเห็น เจ้านายมองใครด้วยสายตาเช่นนั้นเลย...
เว้นเสียแต่ เจ้าหญิงฮายัท...
“ซาเกอร์” นายพลหนุ่มตะโกน ก่อนที่จะผิวปากเรียกอาชาคู่ใจ ทำให้
ฟารุคพลอยตื่นจากภวังค์ เมื่อม้าสีดำสนิทเคลื่อนตัวไปช้างหน้าตามเสียงเรียก อย่างชาญฉลาด จนเขาต้องปล่อยบังเหียน
เมื่อได้สติแล้ว ฟารุคจึงวิ่งตามไปช่วยนายพลชาอีฟยกร่างของหญิง
แปลกหน้าขึ้นพาดบนหลังม้า แล้วจับชาเกอร์ไว้ในขณะที่นักรบหนุ่มขึ้นนั่งบนม้าสีดำ
“ระวังตัวด้วยนะ ฟารุค จาฟา” ชาอีฟบอก ก่อนที่จะแตะลำแข้งเข้าที่ข้าง ลำตัวซาเกอร์และบังคับให้มันวิ่งไปข้างหน้า ในขณะที่ใช้มืออีกข้างหนึ่งกึ่งโอบ
กึ่งพยุงร่างบอบบางของหญิงสาวต่างถิ่นไว้อย่างทะนุถนอม
ซาอีฟยันตัวเองลุกขึ้น แล้วเดินมาหาชายชราทันทีที่อะมินก้าวออก
มาจากกระโจมขนอูฐกลางโอเอซิส
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” นักรบหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมล้นไปด้วย ความห่วงใย เกินกว่าที่เขาตั้งใจ
และแม้ชายชราจะจับและตีความหมายของน้ำเสียงผู้ที่อ่อนรัยกว่าออก แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ
“นางเป็นไข้จากพิษแดด ร่างกายของนางเพลียและอ่อนแอมาก” ชายชรา ผู้ทำหน้าที่เป็นทั้งอาจารย์ของนายพลหนุ่ม และหมอประจำกองพลลาดตระเวน เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแหบแห้ง “หากนางเดินทางมาบนเรือที่อับปางจริง ก็
ถือว่าพระเจ้าทรงปรานีที่ให้นางรอดชีวิตมาได้”
“แล้วเราจะช่วยนางได้อย่างไร” ชาอีฟถาม พลางลอบมองฝานม่านผืน
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)