สานรักสลับกาล (ปองวุฒิ)

สานรักสลับกาล (ปองวุฒิ)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160019380
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 320.00 บาท 80.00 บาท
ประหยัด: 240.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1

 

“งานที่น้องปริมส่งมาให้พี่ดูงวดนี้เยี่ยมจริงๆ เลยค่ะ เนื้อหาดีมาก

อ่านแล้วอินสุดๆ พี่รับรองเลยว่าอนาคตน้องปริมต้องไปไกลแน่”

คนพูดลากเสียงสูง ยกไม้ยกมือประกอบอยู่ตลอดเวลา ขณะคนฟัง

นั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจ

“จริงหรือคะพี่แมว แสดงว่าคราวนี้ปริมมีหวังใช่ไหม”

“แน่นอนค่ะ ถ้างานของเราเผยแพร่ออกไป พี่ว่าที่ไหนๆ ก็ต้องการ

ตัวน้องปริมไปร่วมงานทั้งนั้นละ”

ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะคุยรายละเอียดกันต่อ  เสียงโทรศัพท์มือถือ

ในกระเป๋าสะพายของปลายฉัตรก็ดังขัดจังหวะ หญิงสาวมองหน้าคู่สนทนา

พลางส่งสายตาขอโทษ  ก่อนจะควานหาเครื่องโทรศัพท์ออกมาดู  ลังเลใจ

เล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อคนโทร.เข้า

“รับสายเลยค่ะ พี่รอได้” แมวว่า

ปลายฉัตรผงกหัวเล็กน้อย เอียงหน้าไปทางอื่นแล้วกดรับสาย พลาง

ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือป้องปาก พูดเสียงเบา

“ว่าไงคะพ่อ”

“ปริมอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของพ่อยังคงมั่นคง มีความเด็ดขาดอยู่ในที

ทว่าภายในประโยคสั้นๆ  นั้นกลับเจือความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ให้เธอจับ

สังเกตได้ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร

“คุยงานอยู่น่ะค่ะ พ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“แม่เขา...”

“ถ้าเกี่ยวกับแม่ ปริมว่ากลับบ้านแล้วค่อยคุยกันดีกว่าค่ะ” เธอรีบพูด

ขัดจังหวะ เกือบถอนหายใจออกมาด้วยซ้ำเพราะเดาได้ว่าพ่อโทร. มาเพราะอะไร

ทว่าประโยคต่อมาจากปลายสายกลับทำให้แทบล้มทั้งยืน...เธอคาด

ผิดถนัด...จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว!

“ปริม แม่ถูกรถชน ตอนนี้อยู่ห้องผ่าตัด”

เพียงเท่านี้ก็ทำให้เธอละทิ้งงานตรงหน้า  แล้วรีบรุดไปโรงพยาบาลทันที  

หญิงสาวเร่งฝีเท้าไปตามทางเดินสีขาวหม่น แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์สาดให้ความสว่างจัดจ้าตามรายทาง  หากแต่เธอไม่อาจมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน สายตาพร่ามัวด้วยม่านน้ำตาเอ่อคลอ แข้งขาอ่อนเปลี้ย

มือเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง  ประคับประคองตัวมาจนถึงที่หมายได้ยังเรียกว่าน่าอัศจรรย์ด้วยซ้ำ

โรงพยาบาลแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างบ้านกับที่ทำงานของแม่  สมัยเรียนเธอเคยผ่านอยู่บ่อยๆ  ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องเหยียบย่างเข้ามา ทุกอย่างเหมือนฝันร้ายไม่มีผิด แต่เป็นฝันที่เธอไม่อาจหาทางตื่นได้

“พี่ปริม!” เสียงห้าวของเด็กหนุ่มร้องเรียก ปลายฉัตรหันมองต้นเสียง เห็นธัญภพ  น้องชายวัยสิบหกปีผุดลุกจากเก้าอี้นั่งรอริมผนังเดินเข้ามาหา ใบหน้าของเขาซีดเผือด  ไม่เหลือเค้าความร่าเริงตามนิสัยเจ้าตัวเลยแม้แต่

น้อย ยิ่งย้ำเตือนปลายฉัตรว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริง

สองพี่น้องจับมือกัน แรงบีบจากน้องชายทำให้เธอรับรู้ได้ว่าเขากำลัง

ตื่นกลัว ต้องการกำลังใจจากครอบครัวขนาดไหน

ครู่ต่อมา มนัญชัยผู้เป็นบิดาก็เดินมาสมทบด้วยสีหน้าปริวิตก หาก

ยังพยายามควบคุมเอาไว้

“แม่เป็นยังไงบ้างคะ” เธอถามเสียงพร่า

“ตอนนี้ยังอยู่ในห้องผ่าตัดอยู่เลย” พ่อตอบ

“เกิดเรื่องอย่างนี้กับแม่ได้ยังไงกันคะ ในเมื่อ...” เธอพูดตะกุกตะกัก

“แม่เป็นคนระมัดระวังตัวเสมอ ปริมไม่อยากเชื่อ”

“อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนั่นแหละปริม  ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

หรอก และคงไม่อยากให้เกิดขึ้นด้วย” มนัญชัยปลอบลูกสาว พลางส่ายหัว

น้อยๆ แล้วตบบ่าปลายฉัตรแผ่วเบา

หญิงสาวไม่กล้าเอ่ยถามถึงคู่กรณี แต่แน่ใจว่าพ่อคงจัดการเรื่องต่างๆ

ได้เรียบร้อย ตั้งแต่เกิดเธอคุ้นชินกับการที่ผู้นำครอบครัวอย่างพ่อคอยเป็น

ที่พึ่งพิงให้ทุกคนในบ้านได้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายหรือดีก็ตาม

พ่อเป็นชายร่างใหญ่  ผิวสองสี  บุคลิกองอาจผึ่งผายสมกับอาชีพ

นายตำรวจยศผู้กำกับการที่ลูกน้องให้ฉายาว่า  ‘ผู้กำกับหินผา’  ท่านมัก

พร้อมปฏิบัติหน้าที่ด้วยความแข็งขันและซื่อสัตย์ ทว่าขณะเดียวกันก็มีจิตใจ

เยือกเย็น  ยึดถือเหตุผลเป็นหลักใหญ่  ปกครองคนด้วยความยุติธรรม

สำหรับปลายฉัตรแล้ว พ่อก็ไม่ต่างจากภูผาแกร่งคอยเป็นหลักยึดให้คนใน

บ้าน ดังเช่นเวลานี้...ที่เธอกับน้องชายกำลังตระหนกกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ถ้าหากพ่อไม่ใจเย็น พวกเธอก็อาจจิตใจเตลิดไปได้ง่ายๆ

“พ่อเล่าให้ปริมฟังได้ไหมคะว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นยังไง ปริมอยาก

รู้ทุกอย่าง” เธอร้องขอ พลางมองหน้าพ่อด้วยสายตาอ้อนวอน

ผู้เป็นพ่อผ่อนลมหายใจยาว  จูงทั้งลูกสาวและลูกชายไปนั่งเก้าอี้

เหมือนยามพวกเธอเป็นเด็กเล็กๆ อีกครั้ง ก่อนเอ่ยเล่าด้วยเสียงอ่อน

“คนเห็นเหตุการณ์บอกว่ารถคันนั้นพุ่งเข้าชนแม่ตอนกำลังข้าม

ทางม้าลาย ยังดีอยู่บ้างที่แม่เบี่ยงตัวหลบ เลยไม่ถึงกับชนเข้าตรงๆ”

ปลายฉัตรหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเผยออ้า รู้สึกมวนในท้อง ลำคอก็

แห้งผากขึ้นทันใด

“แล้วคนขับล่ะคะ”

“ไม่รอด”  พ่อส่ายหน้า  “หลังจากชนแม่แล้วก็หักหลบ  แฉลบไปชน

ท้ายแท็กซี่ที่แล่นมาจากอีกด้าน แล้วก็พุ่งไปชนตอม่อสะพาน เสียชีวิตคาที่”

หญิงสาวเวทนาในชะตากรรมของคนขับอีกฝั่งอยู่เหมือนกัน อย่างที่

พ่อว่าไว้ไม่มีผิด  มันคืออุบัติเหตุ...ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด  สร้างแต่ความ

สูญเสียให้เกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเกิดเพราะอะไรก็ตาม หากแต่ใจก็ยัง

นึกโทษโชคชะตา ว่าเพราะอะไรถึงบันดาลให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับแม่ของเธอด้วย

แต่ละชั่วโมงผ่านไปอย่างเนิบช้าจนนึกว่าเวลาหยุดนิ่ง ปลายฉัตร พ่อ

และน้องชายนั่งคอยอยู่ด้านหน้าราวกับนักโทษรอคำพิพากษาว่าจะออกหัว

หรือก้อย หยิบยื่นความผิดมาให้หรือถูกปล่อยตัวในฐานะผู้บริสุทธิ์

สักพักน้าปวันกับคุณยายมณิตาก็ตามมาสมทบ ทุกคนทำได้เพียงมอง

หน้ากัน  ส่งผ่านความรู้สึกถึงกันในยามอ่อนล้า  ปลายฉัตรเห็นยายยกมือ

ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์  พลางปลอบธัญภพว่าคนในห้องผ่าตัดต้องปลอดภัย  แม้

จะไม่มีใครมั่นใจได้เลยก็ตาม

วินาทีที่ประตูเปิดออก คนในครอบครัวต่างกรูกันรุมล้อมแพทย์เพื่อ

ถามความคืบหน้า  ชายผิวขาวร่างสูงในชุดผ่าตัดสีเขียวเปิดผ้าปิดปากออก

เผยให้เห็นใบหน้าคมคาย  เขาแนะนำตัวอย่างรวบรัดว่าเป็นแพทย์ที่ทำการรักษาคนไข้

“ภรรยาผมเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ” มนัญชัยเป็นคนถาม

“การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี  กระดูกส่วนขาขวาหักแต่ไม่หนักเท่าไรนัก จุดสำคัญที่ต้องคอยดูอาการเป็นเรื่องสมองครับ”

“หมายความว่ายังไงคะ” ปลายฉัตรรีบถาม เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเลยเมื่อ

แพทย์หนุ่มเอ่ยประโยคสุดท้าย

“สมองคนไข้ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างมาก  บาดแผล

ภายนอกทางแพทย์ได้รักษาอย่างเต็มความสามารถแล้วก็จริงอยู่  แต่คนไข้

อาจจะยังไม่ฟื้น จุดนี้เราต้องคอยสังเกตอาการไปเรื่อยๆ อย่างใกล้ชิด”

ข่าวนี้สร้างความใจหายให้แก่สมาชิกครอบครัว ต่างฝ่ายต่างมองหน้า

กัน ในดวงตามีแววสั่นไหว

“พวกเราทำอะไรได้บ้างคะคุณหมอ” มณิตาพูดเสียงแผ่ว

“ตอนนี้ผมยังให้คำตอบแน่นอนไม่ได้ว่าคนไข้จะฟื้นเมื่อไร คงได้แต่

เฝ้าดูอาการให้ผ่านคืนแรกไปก่อน” เขาละคำพูดว่า ‘...จะฟื้นไหม’ ไว้ ด้วย

คิดว่าญาติคนไข้คงไม่อยากได้ยินนัก

ชายหนุ่มกวาดตามองคนรอบข้าง  ในฐานะศัลยแพทย์เขาเคยเห็น

สีหน้าญาติคนไข้มาแล้วทุกรูปแบบ  ตั้งแต่ดีใจเมื่อเขาแจ้งข่าวดี  กระทั่งถึง

ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายกับข่าวร้าย  มันทำให้เขาเคยชินและปลงกับชีวิตอยู่

ไม่น้อยว่ามีเกิดก็ต้องมีดับ

ทว่าใบหน้าหวานปนเศร้าของหญิงสาวผมยาวตรงหน้ากลับสะดุดตา

เขาอย่างบอกไม่ถูก  สีหน้าเธอนอกจากฉายแววหม่นหมองแล้ว  มันยังเจือ

ด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามองหน้าเธออยู่นาน จนกระทั่งหญิงสาว

เงยหน้าขึ้นมา ถามเขาด้วยน้ำเสียงติดรั้นหน่อยๆ

“หมอให้ข้อมูลชัดกว่านี้ไม่ได้หรือคะ พูดแบบนี้ก็เหมือนปล่อยไปตาม

ยถากรรม ทำอะไรไม่ได้เลย”

“ปริม! อย่าพูดกับคุณหมออย่างนี้สิ” คนเป็นพ่อขมวดคิ้ว ร้องปรามลูกสาว

แพทย์หนุ่มยิ้มอย่างใจเย็น บอกเสียงนุ่มนวลไม่ถือสา

“บางครั้งการรักษาอาการเจ็บป่วยที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้ร่างกาย

เยียวยาตัวเองนะครับ สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อน ละเอียดอ่อน ผมไม่อาจ

ฟันธงให้คำตอบลงไปได้โดยไม่รับผิดชอบ เหมือนเป็นการให้ความหวังกันเปล่าๆ”

คำตอบของเขาทำให้ปลายฉัตรรู้สึกผิดขึ้นมา เมื่อครู่เธอหงุดหงิดจน

เผลอโพล่งออกไปเหมือนหาเรื่อง เพราะร้อนใจมากเหลือเกิน    

“เอาเป็นว่าผมฝากคุณหมอนะครับ”  มนัญชัยโอบไหล่บอบบางของ

ลูกสาว “ช่วยรักษาภรรยาผมด้วย”

“ทางเราทำเต็มที่อยู่แล้วครับ” แพทย์หนุ่มขอตัวไปทำ

หน้าที่อื่น ไม่ลืมบอกทิ้งท้ายว่าคนไข้อยู่ในห้อง

พักฟื้น  ญาติสามารถไปเยี่ยมได้  ภาพที่เขาเห็นก่อนเดินไปคือหญิงสาวซบ

หน้าลงกับไหล่ของผู้เป็นพ่อ ร่างบางสั่นไหว ถึงไม่เห็นหน้าแต่เขาคาดเดาว่า

เธอคงกำลังร้องไห้

 

ปลายฉัตรเดินเข้าไปในห้องคนไข้อย่างหมดเรี่ยวแรง แม่นอนหลับตา

พริ้ม มองเผินๆ เหมือนกำลังหลับสนิท ริมฝีปากคล้ายจะยิ้มน้อยๆ ด้วยซ้ำ

ถ้าหากไม่มีเฝือกที่ขาขวาและผ้าพันบริเวณศีรษะ เธอคงไม่เชื่อแน่ว่าแม่เพิ่ง

ประสบอุบัติเหตุ และบัดนี้ก็ยังต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

ชุติภาเป็นคนสวยชนิดที่ใครๆ ต่างบอกว่า ‘สวยไม่สร่าง’ แม้ย่างเข้า

วัยสี่สิบปลายแล้วก็ตาม ทว่ายังดูอ่อนเยาว์ไม่ต่างกับสาววัยสามสิบต้น ด้วย

ร่างเล็ก ผิวขาวนวลเนียน และดวงหน้าอ่อนโยน ซึ่งทั้งหมดนี้ถ่ายทอดมายัง

บุตรสาวจนใครๆ ต่างว่าหลุดมาจากพิมพ์เดียวกัน

เธอสัมผัสแขนแม่แผ่วเบาราวกับกลัวท่านจะแตกหัก  ยามนี้มารดา

ช่างดูเปราะบางเหลือเกิน

“แม่คะ...” เธอเรียกท่านเสียงเบาหวิว สีหน้ายังคงไม่สู้ดีนัก

“เข้มแข็งไว้นะลูก” มนัญชัยเดินมายืนเคียงข้างลูกสาว “พ่อเชื่อว่าแม่

ก็คงกำลังสู้อยู่เหมือนกัน”

“แม่จะไม่ทิ้งป้อมไปใช่ไหมพ่อ” ธัญภพถามด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว

“อย่าพูดอย่างนี้นะป้อม” เธอปรามน้องชาย หันไปมองเขม็ง “พูดเป็น

ลางมันไม่ดี เหมือนแช่งแม่”

“ไม่หรอกลูก แม่ไม่ทิ้งปริมกับป้อมแน่ พ่อเชื่ออย่างนั้น”

มนัญชัยใช้ฝ่ามือใหญ่แข็งแรงลูบศีรษะภรรยา  จ้องมองเธอด้วย

แววตารักใคร่ สำหรับคู่รักที่ผูกพันกันมากแล้ว ถึงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนับสอง

ทศวรรษ แต่ยังรู้สึกเหมือนดั่งวันวานนี้เองที่เธออยู่ในอ้อมแขนเขาครั้งแรก

ปลายฉัตรปลีกตัวออกมา ปล่อยให้น้องชายกอดพ่ออยู่ข้างเตียง รู้สึก

ปั่นป่วนไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ  แม้จะปรามธัญภพไปอย่างนั้น  ทว่า

ลึกๆ ในใจเธอก็ตั้งคำถามเดียวกันถ้าแม่จากไปจะทำอย่างไร

ไม่มีใครล่วงรู้ความคิดของเธอว่ามันเจือความรู้สึกผิดขนาดไหน

ปลายฉัตรรู้ดีว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับแม่เป็นความผิดของเธอเอง…

 

ช่วงเช้าวันเดียวกันนั้น

ปลายฉัตรเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง  ขณะเดียวกับที่มารดากำลังหอบตะกร้าผ้าไปซักหลังบ้านพอดี

“อ้าว ปริม จะไปไหนหรือลูก” ชุติภาทัก เมื่อเห็นว่าบุตรสาวแต่งตัว

ด้วยชุดกระโปรงสีหวาน ไม่ใช่ชุดอยู่บ้านปกติ

“นัดคุยงานกับพี่ที่รู้จักกันน่ะค่ะ” เธอตอบ

“มีคนติดต่อซื้อต้นฉบับของปริมแล้วเหรอ ทำไมไม่ยอมบอกแม่เลย

เรื่องน่ายินดีออก”  มารดายิ้ม  วางตะกร้าลงแล้วเดินเข้าไปจับไหล่สองข้างของปลายฉัตร

“ไม่เชิงหรอกค่ะ งานนั้นยังไม่มีสำนักพิมพ์ไหนตอบรับ แต่รุ่นพี่ของ

ปริมคนนี้เขาคิดจะลงทุนตั้งสำนักพิมพ์เล็กๆ  ขึ้นมา  อยากหาต้นฉบับของ

นักเขียนหลายคนมารวมเป็นเล่มเดียว เลยของานปริมไปรวมด้วย”

(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024