นวนิยายชุด ลูกไม้ของพ่อ : ลูกหนี้ที่รัก (ชาครียา)

นวนิยายชุด ลูกไม้ของพ่อ : ลูกหนี้ที่รัก (ชาครียา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165001922
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 180.00 บาท 45.00 บาท
ประหยัด: 135.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บรรยากาศยามเที่ยงวันในย่านอาคารสำนักงานชั้นคลาคล่ำไป

ด้วยพนักงานหญิงชายที่ออกมารับประทานอาหารกลางวันจับจ่ายซื้อหา

สินค้าดูหนาแน่และวุ่นวาย หนึ่งในนั้นคือสามหนุ่มสาวจากบริษัทโฆษณา

ขนาดกลางที่มีสำนักงานอยู่บนอาคารชั้นสิบ

หญิงสาวหน้าคมผมซอยสั้นทันสมัยวางช้อนและเงยหน้าขึ้น สายตา พลันปะทะเข้ากับสิ่งที่ทำให้นึ่งงันเหมือนถูกสะกดจิต

“สวยมั้ยพี่อิท” ชี้ให้เพื่อนร่วมโต๊ะ'ชายดูกระเป๋าผ้าสี'ชอกกิงพิงก์ลาย ดอกไม้พร้อมตัวอักษรสีชาว ‘SAVE THE PLANET’ ใบใหญ่ยักษ์

“เหมือนกระเป๋าแถมผ้าอนามัย”

คนถามค้อนขวับ เพื่อนสาวอีกคนหัวเราะก๊าก เคยมีคนบอกว่าอิทธิ

น่าจะอยู่ฝ่ายเขียนคำ'โฆษณา'หรือก๊อบปี้ไรเตอร์ มากกว่าเป็นฝ่ายสร้างสรรค์

หรือครีเอทีฟ เพราะปากคอเราะรายไม่มีใครเทียม

“แกมีถุงผ้าเกือบสิบใบแล้วนะออม” เพื่อนสาวนามมุทิตาเตือน

“ฉันเพิ่งเห็นสีนี้ แบบนี้ ในแมกาซีน สวยแบบนี้ ราคาแค่นี้ ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว”

“หยุดเลยยายออม” ฝ่ายชายพูดเสียงขึงขัง “เดี๋ยวนี้คนรักโลกเขาไม่ซื้อ

ถุงผ้ากันเรื่อยเปื่อยแล้ว พวกมีไว้สะสมน่ะเป็นพวกทำลายโลก แกรู้มั้ยว่า

กระเป๋าผ้าใช้พลังงานในการผลิตมากกว่าถุงพลาสติกเสียอีก ถ้าใช้ไม่คุ้มจะ ปลดปล่อยก๊าซที่ทำให้โลกร้อนมากกว่า”

“ขออีกใบเดียว”

“แกเพิ่งบอกฉันเมื่อกี้เองนะว่าจะหยุดชอปปิงสักพัก” เพื่อนหญิงพูดเสียงแข็ง

“ใบนี้จะเป็นใบสุดท้าย” ขณะพูด สายตายังจับจ้องอยู่ที่กระเป๋าสุดสวย เหมือนถูกสะกดจิต ทำมกลางสายตาเอือมระอาของเพื่อนร่วมงานทั้งสอง

ออมสินเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร เธอมักรอคอยช่วงพักกลางวัน

อย่างใจจดใจจ่อ ไม่ได้คิดถึงเมนูอาหารแสนอร่อย แต่เป็นเสื้อผ้า เครื่อง

สำอาง และเครื่องประดับในร้านเล็กๆ หลายสิบร้านใต้อาคารสำนักงาน หรือ

ไม่ก็ข้ามถนนไปอีกซอยหนึ่งที่มีร้านรวงมากกว่า แม้จะเดินทุกวัน แต่ก็มักจะ อดใจไม่ไหว ต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับมาอวดเพื่อนๆ ที่สำนักงานแทบทุกวัน

ออมสินคงเดินไปที่ร้านกระเป๋าแล้ว หากไม1เห็นชายหนุ่มร่างสูงผิวคลํ้า

แดด ผมยาวรวบหางม้า สวมกางเกงยีนและเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำดูลำลอง เสียก่อน เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ร้านหนังสือซึ่งตั้งติดกับร้านกระเป๋านั่นเอง

“นี่ฉันต้องเจอบอลเล็กทั้งรันรึไงนะ!” หันมาบ่นพึมพำแล้วตักข้าวใส่ปากอย่างไม่รู้รส

เขาคือถ้องภพ ลูกชายคนเล็กของ ‘นายหญิง’ ช่างภาพสารคดีอิสระ

ที่เพิ่งผันตัวมาเป็นผู้บริหารสายงานอีเวนต์และออแกไนเซอร์ของบริษัท ซึ่ง

เป็นเจ้านายโดยตรงของเธอ เมื่อแรกเช้ามาทำงาน มีคำถามในหมู่พนักงานว่า

จะเรียกขานนายคนใหม่ว่าอะไร บางคนเสนอให้เรียก ‘นายเล็ก’ แต่มีเสียงโต้

แย้งว่าฟังดูเหมือนเป็นคนรับใช้หรือคนขับรถในละครมากกว่าเจ้านาย จึงมีมติให้เรียกว่า ‘บอลเล็ก’

“จะเรียกเขามานั่งด้วยมั้ยล่ะ” อิทธิว่าพลางทำทำโบกมือเรียกแต่ ออมสิน

รีบตีมือห้าม ไม่ใช่แค่เพียงเป็นเจ้านาย แต่บอลเล็กยังเป็นเพื่อนกันมา ตั้งแต่ชั้นมัธยม และยังเรียนศิลปะในมหาวิทยาลัยมาด้วยกันอีกด้วย

“อย่านะ! เมื่อกี้ก็เพิ่งฉะกันมา”

เขาเพิ่งมาทำงานไม่ถึงเดือน แต่การเห็นหน้าคนที่ศรศิลป์ไม่กินกันทุกวัน ทำให้รู้สึกยาวนานเหมือนหนึ่งปี

“เรื่องอะไร” มุทิตาถามอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะออมสินมีเรื่องขัดแย้ง กับเจ้านายจนถือเป็นข่าวรายวันไปแล้ว

“เขาหาว่าฉันไม่ติดตามเรื่องแก้งาน ทำให้ลูกค้าต้องโทร. มาทวง ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนรับปากกับลูกค้าเองว่าเขาจะโทร. ไป”

“ออมเอ๊ย...” อิทธิลากเสียง บ่งบอกว่ามีเรื่องตักเตือน เขาเป็นผู้ร่วม งานรุ่นพี่ที่เห็นออมสินมาตั้งแต่เธอมาเป็นนักศึกษาฝึกงานเมื่อสามปีที่แล้ว

“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเจ้านายแกนะโว้ย”

“เป็นเจ้านายที่เอะอะก็โยนงานมาให้ลูกน้องเพราะตัวเองทำไม่เป็น ไม่รู้ ศัพท์มาร์เกตติงลักตัว”

“แกก็รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่อย่างนั้นนายหญิงจะให้คนที่ รู้เรื่องอย่างแกเทรนเขารึ”

หญิงสาวค้อนขวับ ใช่แล้ว...ก้องภพเป็นช่างภาพสารคดีอิสระฝีมือดีที่ จำใจต้องมาทำงานภาคธุรกิจเพราะใช้เงินส่วนตัวตระเวนถ่ายรูปชุด ‘ก่อนโลก

จะละลาย’ จนเงินหมด แต่ขายรูปไม่ได้ ผู้เป็นแม่จึงได้โอกาสยื่นข้อเสนอให้ มาทำงานที่นี่ด้วยเงินเดือนงามๆ และหากทำงานได้นานถึงหนึ่งปี เขาจะได้เงิน รางวัลก้อนโตไปต่อทุนถ่ายภาพ

“เมื่อกี้แอบได้ยินเขาคุยกับแฟนว่าอยากไปถ่ายรูปน้ำแข็งละลายที่หิมาลัย หวังว่าจะอยู่ครบเดือนนะ”

“เอาแต่แช่งให้คนอื่นมีอันเป็นไป ระวังตัวเองจะอยู่ไดไม่ถึงสิ้นเดือนนะ” อิทธิพูด

“หมายความว่ายังไงคะ” หันขวับมาถาม

 

อิทธิทำทีเป็นสนใจกับอาหารตรงหน้า เมื่ออิทธิไม่ตอบเธอจึงหันไปมอง มุทิตาที่ยักไหล่แล้วพยักพเยิดให้รับประทานอาหารต่อ แต่เธอแอบเห็น คนทั้งคู่ลอบส่งสายตาให้กันและกันและยิ้มอย่างไม่น่าไว้วางใจ

หญิงสาวย่นจมูก เธอไม่ชอบท่าทางลับลมคมในของเพื่อนทั้งสองเลย รู้สึกตงิดในใจ แต่คิดว่าอาจเป็นเพราะยังไม่ได้เข้าไปสัมผัสกระเป๋าใบสวยที่ หมายตาไว้เสียมากกว่า

เธอก็เป็นเช่นนี้เอง เมื่อเห็นของสวยๆ งามๆ และตรงใจมักจะต้อง เข้าไปสัมผัสให้ชื่นใจ แต่เมื่อสัมผัสแล้วมักมีบางสิ่งบางอย่างดลใจให้ต้องควัก กระเป๋าซื้ออยู่เสมอ เพื่อนๆ จึงพากันให้สมญานามเธอว่า ‘นักชอป’ หรือ ‘เดอะชอปปิงมาเนีย’

ใกล้บ่ายโมง ออมสินสะพายกระเป้าสีชอกกิงพิงก์ใบใหม่เดิน กรีดกรายเข้ามาในสำนักงาน เดินตรงไปยังเพื่อนร่วมงานที่จับกลุ่มอยู่ที่หน้า บอร์ดประชาสัมพันธ์หมายอวดกระเปาใบใหม่ แต่เมื่อไปถึง คนกลุ่มนั้นก็ แตกฮือไปคนละทิศละทางราวกับเธอคือตัวแพร่เชื้อโรคติดต่อร้ายแรงชนิด ใหม่ แต่เธอยังยิ้มได้ด้วยเคยชินกับการหยอกล้อของเพื่อนร่วมงานทุกครั้งที่ เธอมีของใหม่มาอวด

“ดูนี่สิออม!” มุทิตาตะโกนเรียกพลางชี้ให้ดูบอร์ดประชาสัมพันธ์ เห็น กระดาษแฟกซ์ติดไวในระดับสายตา เขียนด้วยปากกาเคมีตัวใหญ่เป้งอ่านง่าย กระชับ ได้ใจความ

‘ถึง คุณออมสิน

ไปรดติดต่อฝายติดตามหนีสินของสำนักงานกฎหมาย ถีถ้วนซีเคียวริติ

เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิตของซีซีเอ็มแบงก์ด่วน มิเช่นนั้นเราจะดำเนินการตาม

กฎหมายภายใน ๒๔ ชั่วโมง'

ออมสินนิ่งงัน ความรู้สึกตอนนี้เหมือนเพิ่งเดินชนกระจกใสแจ๋ว มึนงง

และชาจนลืมเจ็บไปชั่วขณะ แต่ที่รู้แน่ๆ คือ...อายแทบแทรกแผ่นดินหนี

ไม่อยากเชื่อเลยว่าบริษัทติดตามหนี้ของบัตรเครดิตจะรุกเร็วขนาดนี้ เมื่อวานเพิ่งโทรศัพท์มาบอกอย่างอ่อนหวานให้เธอหาเงินไปชำระหนี้บางส่วน เท่าที่หาได้ แต่วันนี้กลับส่งแฟกซ์มาประจานถึงออฟฟิซ โดยลดเวลาจัดการ หนี้สินเหลือเพียงยี่สิบสี่ชั่วโมง

“มันระดมโทรศัพท์มาหาแกตั้งหลายครั้ง พอฉันด่าและตัดสาย มันเลย ส่งแฟกซ์มาประจาน” พนักงานต้อนรับเพื่อนสนิทอีกคนของออมสินเดิน เข้ามาหาหน้าตาตื่น

อิทธิกระชากกระดาษแฟกซ์จากบอร์ดแล้วหันไปทางเพื่อนร่วมงานที่ แม้จะสลายตัว แต่บางคนยังเดินเตร็ดเตร่อยู่ไม่ไกลเหมือนคอยสังเกตการณ์ “แล้วใครเอาแฟกซ์มาติดบอร์ดวะ เล่นแรงไปหน่อยแล้วนะโว้ย” อิทธิ มักเล่นบทผู้ปกป้อง ‘น้องรัก’ อย่างออมสินอยู่เสมอๆ

“ยายพริ้งแน่ๆ” มุทิตาพูดอย่างมั่นใจ หลังจากเหลือบไปเห็นหญิงสาว ผิวขาวจัดร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อสูทกับกระโปรงสีเทาทับเสื้อสีชมพูเก๋ไก๋ ที่ท่าที เป็นยืนดูเอกสารอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ และเหลือบตามองมาเหมือนฆาตกร โรคจิตรอดูผลงานของตัวเองอย่างใจเย็น

วรุณพรหรือพิงกี้ คือคู่ปรับในที่ท่างานคนสำคัญของออมสิน ทั้งคู่เป็น คู่รักคู่แค้นกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาร่วมสถาบันที่เข้ามาฝึกงานพร้อมกัน และได้งานท่าพร้อมกันในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานขายหรือเออี ต่างแข่งขัน กันท่างานเพื่อช่วงชิงความเป็นเลิศและคำชื่นชมจากเจ้านายแบบผลัดกันรุก ผลัดกันรับมาตลอด จนกระทั้งส่าสุด ออมสินสามารถช่วงชิงตำแหน่ง ‘ผู้ดูแล และฝึกอบรม’ ลูกชายเจ้าของบริษัทมาได้ ท่าให้วรุณพรเสียหน้ายิ่งนัก

“ฉันชื่อพิงกี้ย่ะ ไม่ใช่ยายพริ้ง!” ผู้ถูกกล่าวถึงเดินฉับๆ เข้ามาหา ท่าทางเอาเรื่อง

อิทธิเป็นคนตั้งชื่อใหม่ให้ตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเข้ามาเป็นนักศึกษา ฝึกงาน โดยบอกว่าเธอมีบุคลิกเหมือนนางเอกหนังไทยยุคเก่า อีพริ้งคนเริง-

เมือง ซึ่งทำให้เธอโกรธจนร้องไห้ นับแต่นั้นมาเธอมักถูกเรียกขานทั้งต่อหน้า และลับหลังว่า ยายพริ้ง เป็นเหตุให้เธอต้องแกไขให้ถูกต้องทุกครั้งไป

“เธอเอาแฟกซ์มาแปะใช่มั้ย พริ้ง”

“อย่ามากล่าวหากันพล่อยๆ นะยายจิ๋ง”

“ถ้านายหญิงรู้ว่าเธอเป็นคนเอาแฟกซ์แบบนี้มาติดประจานเพื่อนละก็ เรื่องใหญ่แน่ยายพริ้ง” อิทธิสำทับ

“เค้าชื่อพิงกี้!” ว่าพลางหมุนตัวเดินกระแทกเท้าออกไปโดยทั้งเสียงดัง ถ้องจากส้นรองเท้ากระทบกับพื้นห้องไร้เบื้องหลัง

“ใช้ความโมโหกลบเกลื่อนความผิด” มุทิตาพยักพเยิดกับออมสิน

“นายหญิงรู้เรื่องรียัง” อิทธิกระซิบถามดวงกมลพนักงานต้อนรับ

นายหญิง คือ กองพร เจ้า'ของบริษัทวัยห้าสิบกว่าปี ผู้ที่ยามปกติใจดี ดุจแม่พระ ใจกว้างดุจแม่น้ำ มีไม่กี่เรื่องที่จะทำให้แม่พระคนนี้เปลี่ยนไปเป็น มือกระบี่จอมฉุนเฉียวที่พร้อมฟันไม่เลี้ยง นั่นคือ การงานที่ส้มเหลว ชู้สาว และหนี้สิน กองพรบอกว่าความส้มเหลวในการทำงานจะนำไปสู่ความส้มเหลว ในชีวิต เรื่องชู้สาวเป็นเรื่องผิดศีลธรรมที่นำไปสู่การทำลายสถาบันครอบครัว และปัญหาสังคม ส่วนหนี้สินเป็นต้นตอของปัญหาสังคมที่ร้ายแรงกว่า เพราะ มันคือจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรม ถือเป็นภัยทางศีลธรรม หรือ Moral Hazard ซึ่งจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด “นายหญิงยังไม่เช้าค่ะ” ดวงกมลตอบ ออมสินระบายลมหายใจโล่งอก

“เรื่องนายหญิงเอาไว้ก่อนเถอะ ฉันว่าตอนนี้เธอห่วงตัวเองก่อนดีกว่า

นะออม” ดวงกมลพูดน้ำเสียงร้อนรนและกังวลใจ

“มีอะไร”

“เมื่อกี้มีคนผมเกรียนใส่แว่นดำ ทำทางเหมือนทหารปลดประจำการ สองคนมาด้อมๆ มองๆ อยู่หนำออฟฟิซ”

“หา! มันอาจจะเป็นพวกแก๊งรับจ้างทวงหนี้แบบโหดๆ พวกนิยมตัดนิ้ว

ทีละนิ้วที่เป็นข่าวเมื่อวานนี้ก็ได้” มุทิตาพูดโพล่งหน้าตาตื่น แม้จะเป็นพนักงาน

บัญชี แต่เป็นที่รู้กันว่ามุทิตาเป็นนักติดตามข่าวสารบ้านเมืองตัวยง โดยเฉพาะ ข่าวอาชญากรรมและข่าวบันเทิง จนได้รับฉายาว่า ‘นักบัญชีหัวเห็ด’ เธอมักมี ข่าวที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่พูดคุยมากัปเดตให้ฟังเสมอ

ออมสินหน้าซีดเผือด

“ท่าทางไม่ดีแล้วละ ฉันว่าแกกลับไปตั้งตัวที่คอนโดฯ ก่อนดีกว่า” ว่า พลางคว้ามือเพื่อนสาวหมับ “ไปพี่อิท เดินไปล่งออมที่รถกัน มันอาจจะดักอยู่ แถวลานจอดรถก็ได้”

ระหว่างเดินมาล่งที่ลานจอดรถ ทั้งคู่หันมองซ้ายขวาหน้าหลัง เป็นการ ระแวดระวังที่โจ่งแจ้งซึ่งทำให้ออมสินเสียขวัญมากยิ่งขึ้น เธอเริ่มใจสั่นพลอย ทำให้ตัวสั่นตามไปด้วย จนเมื่อเธอเตรียมออกรถ อิทธิยังชะโงกหน้าเข้ามาสั่ง สีหน้าเคร่งเครียดว่า

“ดูซ้ายดูขวาให้ดีนะออม ถ้ามีคนตาม โทร. แจ้ง ๑๙๑ หรือพุ่งเข้าหา ตำรวจจราจรทันทีเลยนะ ใครเฉี่ยวใครชน หรือถูกตำรวจจับไม1ว่า เอาชีวิตให้ รอดไว้ก่อน”

ออมสินพยักหน้าหงึกๆ ตัวสั่น พลอยทำให้มือเท้าสั่นจนกะแรงเหยียบ คันเร่งไม่ถูก

เมื่อรถของออมสินพุ่งออกไป สองหนุ่มสาวหันมามองหน้ากัน มุทิตา ถอนหายใจ ส่วนอิทธิพูดว่า

“หวังว่ามันจะไม่เตลิดจนขับรถปีนเกาะกลางถนนเสียก่อนนะ”

อิทธิและมุทิตาเดินกลับเข้ามาในสำนักงาน เห็นกลุ่มคนที่สลายตัว กลับมารวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างสนุกปาก ดูจาก ตำแหน่งการยีนและน้ำเสียงใส่อารมณ์ที่คุ้นหู บ่งบอกได้ว่าใครคือ ‘หัวโจก’

“โธ่...นึกว่าบ้านรวยไฮโซ ที่แท้ก็หนี้สินลันพ้นตัว” วรุณพรพูด

“ในที่นี้ใครไม่มีหนี้บ้างฮึ ยายพริ้ง” อิทธิปราดเข้าไปยีนในตำแหน่งที่

 

เผชิญหน้ากับเจ้าของความเห็น
“เค้าชื่อพิงกี้!”

มุทิตาฉวยจังหวะที่วรุณพรใช้เพียงนิ้วชี้กับนิ้วโป้งจับกระดาษแฟกซ์ กระชากกลับมา

“เธอพลาดแล้วละยายพริ้ง นายหญิงจะว่ายังไงนะ ล้ารู้ว่าเออีชี้อิจฉา เอาแฟกซ์ทวงหนี้มาปิดบอร์ดประจานจนเพื่อนร่วมงานขับรถเตลิดออกไป ประสบอุบัติเหตุ”

“ยายจิ๋ง!” ขึงตาใส่ แต่มุทิตาสบตาท้าทาย ในฐานะพนักงานฝ่ายบัญชีที่ ทำหน้าที่ตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินทุกรายการในบริษัทนี้ เธอมีอำนาจ ‘ยื้อ’ งานของพนักงานบางคนได้ด้วยการตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินแต่ละรายการ แบบละเอียดถี่ถ้วนเป็นพิเศษ ซึ่งต้องใช้เวลามากกว่าปกติ จึงไม่มีใครอยาก เป็นศัตรูกับเธอนัก

“ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูนายหญิง เธอกับยายออมจะตกอยู่ในภาวะเลวร้าย พอกัน รับรองว่านายหญิงต้องคิดว่าเธอเป็นนางมารร้ายใจดำแน่”

“มีคนรู้เห็นตั้งยี่สิบสามลิบตา” วรุณพรเถียงเสียงแหลมพลางหันไป มองรอบๆ ตัวที่เพื่อนร่วมงานยังยืนอออยู่

“แต่มีแค่สองตากับสองมือที่กล้าเอาเพื่อนมาประจานอย่างนี้” อิทธิสวน กลับ “ทุกคนในที่นี้มีหนี้กันทั้งนั้น เขาคงเห็นใจยายออมมากกว่าคุณหนูเออี อย่างเธอ...ใช่มั้ย?” ตอนท้ายหันไปคาดคั้นกับเพื่อนร่วมงาน บางคนพยักหน้า รับ บางคนถอยฉากเหมือนไม่อยากมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งครั้งนี้

วรุณพรมีฉายาว่า คุณหนูเออี เพราะมาจากครอบครัวนักธุรกิจฐานะดี ที่เสือกมาทำงานที่นี่ก็เพื่อพิสูจน์ตัวเองก่อนที่การโต้เถียงจะดำเนินต่อไป ก็มีเสียงตะโกนบอกว่า “บอลเล็กมา!”

“จับกลุ่มทำอะไรกันอึ” ชายหนุ่มผิวคลาแดด ผมยาวรวบหางม้า แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกางเกงยีนสีดำเดินเข้ามาหา ยามนี้อิทธิถูก ปล่อยให้ยีนรับหน้าผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสนิทอยู่คนเดียว “ออมสินหายไปไหนวะ”

(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

ออมสิน เออีสาวบริษัทโฆษณาจำต้องหนีตายจากการไล่ล่าของแก๊งทวงหนี้ไปหลบภัยที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในแม่ฮ่องสอน สาวนักชอบไร้สติได้พบกับ "บอสเล็ก" หนุ่มผู้รักชีวิตอิสระและการถ่ายภาพ ลูกชายนายหญิงของออมสินที่มาพบเธอเพื่อเสนอแผนยุทธการปลดหนี้ การทำบัญชีครัวเรือน แผนมหัศจรรย์เลข ๓ เพื่อปลดหนี้สามแสนภายในสามเดือน เปิดบล็อกปลดหนี้ หยุดซื้อของแห่งปี ปลูกผักบนดาดฟ้า เขียนหนังสือ อิสรภาพของนักชอบไร้สติ . . . เหล่านี้คือกลยุทธ์ที่จะพาออมสินให้หลุดพ้นจากบ่วงหนี้ เพื่อชีวิตพอเพียงตามแนวพระราชดำริ แต่ "เดอะชอปปิงมาเนีย" กิเลสหนาอย่างออมสินจะทำสำเร็จหรือ?


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024