ดั่งดาวเพนจร (ร่มแก้ว)

ดั่งดาวเพนจร (ร่มแก้ว)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165001540
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 250.00 บาท 62.50 บาท
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

            ก่อนอื่นพี่คงต้องเอ่ยคำขอโทษที่ตอบอีเมลเธอช้าไปถึงสามเดือน

ทั้งที่เราสัญญากันไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะเขียนถึงกันอย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อ

ไม่ให้เรารู้สึกห่างเหินกันแม้จะอยู่ไกลห่างถึงคนละซีกโลก แต่พี่กลับเป็นฝ่าย

ผิดสัญญา...

            พี่รู้ว่าเธอคงงอน ก็เลยเงียบหายไป ไม่เขียนมาทวงจดหมายตอบ

เช่นกัน ถ้าเธอโกรธพี่อยู่ พี่ก็ต้องบอกว่า ‘ขอโทษ’ อีกครั้ง สาบานได้ว่าพี่ไม่ได้

ลืมเธอและก็ไม่เคยลืมเลยแม้แต่วันเดียว เพียงแต่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

มันมี ‘เรื่อง’ สำคัญบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตและจิตใจของพี่ จนไม่เหลือเนื้อที่

ในสมองไว้คิดเรื่องอื่นอยู่พักใหญ่

            เธอจะเดาถูกไหมนะว่า ‘เรื่อง’ ที่ทำให้คนอย่างพี่เสียศูนย์ได้ มันน่าจะ

เป็นเรื่องอะไร

            คนที่รู้ทันคนอื่นไปเสียแทบทุกเรื่องอย่างเธอคงจะเดาได้ไม่ยากสินะ

            ถ้าหากสิ่งที่เธอเดาอยู่คือ ‘เรื่องหัวใจ’ คำตอบของเธอก็ถูกต้องจ๊ะ...

            พี่คิดว่า...พี่กำลังมีความรัก!

          พี่รู้ว่าเลื่อนเมาส์อ่านมาถึงตอนนี้ เธอก็คงอ้าปากหวอไปด้วย ถ้าหากว่า

เธอกำลังตะลึกและคิดว่าเมื่อครู่ตัวเองหูฝาด...ไม่สิ...ตาฝาด อ่านผิดไปละก็

พี่จะย้ำให้อีกทีก็ได้

            …พี่ของเธอกำลังมีความรักจริงๆ

            ทีแรกพี่ยังไม่อยากจะบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะยังไม่แน่ใจตัวเองว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่ววูบของหัวใจหรือเปล่า ดังนั้นพี่จึง

ตัดสินใจไม่เขียนอีเมลถึงเธอ เพราะรู้ตัวว่า ถ้าหากเขียน พี่คงอดไม่ได้ที่จะเล่า

ให้เธอฟังจนหมดเปลือก

            แต่มาถึงตอนนั้...พี่แน่ใจกับสิ่งทีเกิดขึ้นแล้ว และพร้อมที่จะเล่าทุกอย่าง

ที่เธออยากรู้

            จำได้ไหม เธอน่ะชอบเซ้าซี้ถามพี่อยู่เรื่อยว่าเมื่อไหร่พี่จะยอมสละ

‘คานทองนิเวศน์’ ที่ยึดเป็นนิวาสสถานมานมนานเสียทีทั้งที่อายุก็ย่างเข้า

เบญจเพสแล้ว ตอนนั้นพี่ตอบว่า ที่พี่ไม่เคยคบหาดูใจใครก็เพราะว่าพี่เป็น

พวกเลือกมาก ไม่ถูกตาต้องใจผู้ชายคนไหนง่ายๆ

            แต่รู้ไหม ถ้าเธอถามคำถามเดิมกับพี่อีกครั้งในตอนนี้ พี่ตอบเธอได้

ทันทีเลยว่า พี่เจอคนที่พี่ยินยอมพร้อมใจจะก้าวลงจากคานไปกับเขาแล้วละ

            พี่เดาว่าถ้าตอนนี้พี่อยู่ตรงหน้าเธอตัวเป็นๆ เธอคงจะจับพี่เขย่าจนหัวสั่น

หัวคลอนแล้วยิงคำถมรัวประเภทที่ว่า เขาเป็นใคร? มาจากไหน? เราเจอกัน

ได้อย่างไร? ความสัมพันธ์ไปถึงไหนแล้ว?

          ...งั้นก็เอาเสื่อมาปูเลยนะ พี่จะเล่าให้ฟัง...

            พี่เจอกับเขาครั้งแรกเมื่อประมาณเกือบสี่เดือนก่อนจ้ะ เพียงแรกเจอ

ก็ประทับใจเสียแล้ว แต่เป็นในแง่ลบนะ...

            ถ้าเธออยากรู้ว่าภาพแรกของเขาทีพี่เห็นเป็นอย่างไร ก็ขอให้จิตนาการ

ถึงผู้ชายตัวสูงๆ ใบหน้าคล้ำๆ คมๆ อยู่ในเสื้อเชิ้ตรัดไม่เรียบ แขนเสื้อดึงร่น

ขึ้นมาลวกๆ แค่ครึ่งแขน ผมสั้นยุ่งๆ ชี้ไปมา แถมชอบทำหน้าตาเฉยเมย คิ้ว

หนานั่นก็ดูเหมือนจะขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลา... ฟังแล้วดูเป็นคนไม่น่าคบหา

และไม่น่าจะเป็นผู้ชายแบบที่พี่ชอบเลยใช่ไหมล่ะ

          วันนั้น พี่เดินเหยียบของของเขาที่วางอยู่บนพื้นโดยไม่ตั้งใจ เขาหันมา

ตวาดลั่นจนพี่ตกใจ กระโดดถอยหลังแทบจะเสียหลักล้มก้นกระแทกพื้น นึก

ว่าตัวเองเผลอเดินเหยียบขุมทรัพย์พันล้านวัตถุโบราณหายากเข้าเสียแล้ว

แต่ที่แท้ สิ่งที่เหยียบไปก็เป็นแค่แผนที่แผ่นโตที่มีแต่จุดๆ เส้นๆ โยงไปมาบน

พื้นสีดำแผ่นเดียวเท่านั้นเอง

            ฟังแบบนี้ เธอคงชักจะไม่ชอบเขาขึ้นมาตงิดๆ แล้วละสิ...

            แต่พี่ท้าเลยว่า ถ้าเธอได้เห็นเขาหัวเราะสักครั้ง เธอจะเกลียดเขาไม่ลง

            ถ้าไม่เห็นกับตา เธอจะคิดภาพไม่ออกเลยว่า ผู้ชายคนที่หน้าดุและ

ตวาดได้เสียงดังขนาดนั้น เวลาหัวเราะแล้วจะดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน...

            เวลาที่เขาได้อยู่กับสิ่งที่เขาชอบ หรืออยู่ต่อหน้าเด็กนักเรียนของเขา เขา

จะกลายเป็นคนยิ้มง่าย มีอารมณ์ขัน เวลาเจอเรื่องขำๆ ตลกๆ เขาจะยกมือ

เท้าเอวหลวมๆ แหงนหน้า แล้วระเบิดเสียงหัวเราะห้าวๆ ออกมาดังลั่น เธอ

รู้ไหม เวลาอย่างนั้นเขาดูน่ารักที่สุด ไม่รู้ว่าพี่จำท่าทางการหัวเราะของเขาติดตา

ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกที เขาก็เข้ามานั่งอยู่ในหัวใจพี่ซะแล้ว

            คนที่ไม่เคยถูกใจผู้ชายคนไหนง่ายๆ อย่างพี่กลับเป็นฝ่ายเข้าไปทำ

ความรู้จักกับเขาก่อน ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเชียวนะกว่าจะทลายกำแพงหัวใจ

ของผู้ชายประหลาดที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับผู้หญิงอย่างเขาได้

            แต่มาถึงตอนนี้...พี่รู้สึกว่าแม้จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ มันก็คุ้มค่า เพราะ

ยิ่งพี่ได้รู้จักเขามากขึ้น ก็เหมือนว่าพี่ได้เรียนรู้จิตใจตัวเองไปพร้อมๆ กัน

            น้องรัก...เคยมีสักคืนบ้างไหมที่เธอรู้สึกเหงาจนต้องลุกขึ้นจากเตียงมา

ยืนข้างหน้าต่าง เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า แล้วเผอิญได้เห็นพระจันทร์เต็มดวง

สดใสแสงสีเงินเหมือนจะอาบให้กลางคืนสว่างกระจ่างราวกับเป็นเวลากลางวัน

แต่เรากลับไม่รู้สึกร้อนเหมือนเวลาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ตรงข้าม...เรากลับ

รู้สึกว่าแสงเย็นๆ ของพระจันทร์นั้นอาบให้เราอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

            สำหรับพี่แล้ว...เขาคือพระจันทร์ดวงนั้น

            อย่างที่เธอรู้ ตัวพี่กับพ่อมีเรื่องที่ไม่ลงรอยกันหลายเรื่อง ทั้งการที่พี่

ไม่ยอมไปทำงานที่บริษัท กลับใช้เวลาไปกับการเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมกับ

กลุ่มเอ็นจีโอที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งบางครั้งสิ่งที่พวกเขาประท้วงต่อต้าน

ก็ไปกระทบกับโครงการของพ่อเอง โดยเฉพาะที่เราทะเลาะกันครั้งหลัง พี่

ไม่ขอเล่าให้เธอปวดหัวดีกว่าว่าเป็นเรื่องอะไร พ่อโกรธมาก ถึงขั้นบอกว่าถ้า

ท่านเป็นอะไรไป จะไม่ยกอะไรให้พี่สักอย่าง ซึ่งเธอก็รู้...ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่พี่

สนใจหรอก

            แต่การอยู่ห่างเธอ การระหองระแหงกับพ่อ ก็ทำให้พี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึก

อ้างว้างและโดดเดี่ยว ถึงแม้ตลอดมาพี่จะพยายามว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่

ลึกๆ ในใจพี่ก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองอ่อนไหวไม่น้อย

            และเมื่อพี่ได้มาเจอเขา...ยิ่งเขาอบอุ่นแค่ไหน พี่ก็ยิ่งรู้สึกถึงความ

เหน็บหนาวข้างในใจตัวเองที่พี่ไม่เคยยอมรับมาก่อนว่ามันมีอยู่

            พี่คิดว่าเขาคือคำตอบทั้งหมดในโลกเหงาๆ ใบนี้...จนพี่อดจะคิดไม่ได้

ว่าเขาอาจเป็นคนที่พี่รอคอยมาตลอดชีวิต...

          ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีหลายคืนที่เราสองคนนั่งมองดวงดาวบนท้องฟ้า

ด้วยกัน และเริ่มวาดฝันถึงอนาคต เราจะสร้างบ้านหลังเล็กๆ บนเนินเขาที่มอง

ออกไปเห็นทะเล ตัวบ้านจะต้องมีระเบียงกว้างเอาไว้นอนดูดาวและฟังเสียง

คลื่นชัดโขดหิน

            ไม่แน่หรอกนะ ถึงตอนที่เธอกลับมาที่นี่ เธออาจจะได้เห็นสิ่งที่พี่กับเขา

ฝันไว้ร่วมกันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วก็ได้

          วันที่พี่จะได้มีครอบครัวเล็กๆ กับผู้ชายที่พี่รัก พร้อมทั้งได้มีเธอกลับ

มาอยู่ใกล้ๆ คงเป็นวันที่พี่ฝันถึงมากที่สุดนับจากนี้ไป...

           

       คิดถึงเธอมากและสัญญาว่าจะไม่ขาดการติดต่อไปอีก

                                     “พี่เอง

 

ท้องฟ้าราตรีนี้ดูราวกับใครเอาผ้ากำมะหยี่สีดำผืนใหญ่ที่ประดับ

ประดาไว้ด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ ส่องแสงพราวระยิบระยับออกมากางแผ่กว้าง

โอมล้อมชายหาดอันเงียบสงบที่ทอดตัวขนานกับน้ำทะเลซึ่งยังเห็นเป็นสีเขียว

เข้มในความมืดไปจนสุดแหลมทางทิศเหนือเอาไว้

          จันทร์เสี้ยวที่อยู่เหนือศีรษะค่อนไปทางตะวันตกอ่อนแสงเกินกว่า

จะบดบังแสงของดาวดวงที่ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเฝ้ามองและกำหนดตำแหน่ง

ของมันด้วยสายตา

            ไฟน์เดอร์สโคป หรือ ‘กล้องเล็ง’ ที่ติดอยู่กับกล้องดูดาวขนาดสิบสอง

นิ้ว ถูกปรับทิศทางเพื่อกำหนดตำแหน่งของดาวดวงนั้น เมื่อองศาของตัวกล้อง

หลังถูกปรับตามจนตรงดีแล้ว ภาพดวงดาวที่มีวงแหวนล้อมรอบก็ปรากฏ

ผ่านเลนส์มาสู่สายตาคนมอง

            ดาวเสาร์...เป็นหนึ่งในดาวพระเคราะห์ห้าดวงที่คนเราสามารถมองเห็น

ได้ด้วยตาเปล่า คนโบราณเรียกดาวเหล่านี้ว่าเป็น ‘ดาวพเนจร’ เพราะเป็นดาว

ที่เคลื่อนที่ท่องเที่ยวไปในกลุ่มดาวต่างๆ บนท้องฟ้า ไม่หยุดนิ่ง...เปลี่ยนตำแหน่ง

ไปทุกๆ วัน

            ศะศินละสายตาจากช่องมองภาพแล้วปรับองศาของกล้องใหม่ราวกับ

ว่าดาวเสาร์มิใช่สิ่งที่เขาเฝ้ารอคอยและมองหา

            ใช่...เขากำลังหาอย่างอื่นต่างหาก

            เสียงใครคนหนึ่งนินทาเขาแว่วมาจากแคร่เล็กๆ ข้างบนได้บ้านซึ่งยกสูง

ขึ้นจากพื้นราวๆ หนึ่งเมตร

            “เป๊าะคอยดูนะ เดี๋ยวนายก็จะนั่งอยู่อย่างนั้นยันเช้า”

          เขาละสายตาจากช่องมองภาพของกล้องดูดาวเพื่อเหลือบไปมองทาง

เจ้าของเสียง

            หนุ่มปักษ์ใต้ผิวคล้ำ รูปร่างสันทัดหากแกร่งอย่างคนละทะเล กำลัง

พยักพเยิดให้ชายชรานุ่งโสร่งร่างผอม สวมหมวกใบเล็กสีขาวแบบชาวมุสลิม

หันมามองเขาซึ่งยืนอยู่บนซานระเบียงที่ยื่นยาวออกไปจากตัวบ้านไม้หลังเล็ก

            บ้าน...ที่มองเผินๆ อาจเรียกได้ว่า ‘กระท่อม’ หลังนี้ตั้งอยู่บนเนินหิน

ตรงสุดปลายด้านหนึ่งของชายหาดที่ทอดตัวยาวโค้งไปจนกระทั่งจดแหลม

อีกด้าน...แหลมอันเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวเลอันเงียบสงบ

            บ้านหลังย่อมนี้สร้างด้วยไม้ ล้อมรอบเกือบทุกด้านด้วยหน้าต่างกระจก

บานสูงเกือบจนเพดาน ด้านหน้าเป็นระเบียงกว้าง เปิดโล่งสู่ทะเลเวิ้งว้าง

หลังตามุงด้วยวัสดุธรรมชาติ

            ผู้มีสายตาของสถาปนิกจะมองออกว่าโครงสร้างของบ้านถูกออกแบบไว้

อย่างประณีต...มันดึงดูดสายตาทุกผู้คนที่ผ่านมาพบเห็น แต่กลับไม่มีใคร

สามารถเอ่ยชมว่า ‘สวย’ ได้เต็มปาก ทุกคนมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...มัน

เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ถูกออกแบบไว้อย่างดี ทว่า...สร้างไม่เสร็จ

            กระนั้น...ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่ปีผ่านไป ตัวบ้านหลังนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะถูก

ต่อเติมเสริมสร้างอะไรให้มากไปกว่าที่เป็นอยู่

            หนุ่มปักษ์ใต้กับชายชราที่ถูกเรียกว่า ‘เป๊าะ’ กำลังช่วยกันถักแหอยู่ใต้

แสงตะเกียงบนแคร่ข้างบ้าน พอเป๊าะหันมองมาทางเขาตามคำชี้ชวน ศะศิน

                            (ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

หากความรัก...เป็นเรื่องของโชคชะตา 
พัดพาให้คนสองคนมาพบกัน รักกัน หรือ...พลัดพราก ห่างหาย 
ศะศิน อาจารย์ดาราศาสตร์หนุ่มรักสันโดษ 
ก็คงเป็นอีกคนที่หนีไม่พ้นปรากฏการณ์แห่งโชคชะตานี้ 
รักแรกที่ร้างไป...ทำให้โลกกลายเป็นสีเทา มืดทึบ 
หัวใจปิดตาย ไร้รักและหวัง 
ทว่าใครจะคาดคิด....ในห้วงเวลาที่ชีวิตเสมือนมีเพียงค่ำคืนอันเงียบงัน 
จู่ๆ ท้องฟ้าดำมืดในหัวใจ ก็กลับปรากฏดาวดวงใหม่ ส่องแสงกะพริบวิบวับ 
ไม่รู้ที่มา...ไม่รู้ที่ไป หากทำให้หัวใจคล้ายจะสว่างไสวขึ้นอีกหน 
 
จะปิดประตู อยู่กับความมืดดำต่อไป 
หรือจะเอื้อมคว้าไว้...วางเดิมพันรักครั้งใหม่กับโชคชะตา 
คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะตัดสินใจ 

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024