โฮ่งเหมียวเกี่ยวรัก (นภาสรร)
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 77.00 บาท ( 35.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 3 รายการราคา 110.00 บาท - 140.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
1
“น้องบะหมี่อย่าเป็นอะไรไปนะลูก ลืมตามองแม่หน่อยสิ” สาวใหญ่วัยสี่สิบเศษแต่งกายด้วยเดรสสีฟ้าพาสเทลลายจุดกรีดเสียงร้องลั่นเมื่อเห็นลูกรักนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงบนพื้นหญ้าด้วยความเป็นห่วง สาวใหญ่ผู้นั้นถึงกับลืมตัวขว้างกระเป๋าถือราคาเรือนแสนทิ้ง แล้วถลาไปประคองร่างของลูกรักมากอดไว้แนบอกอย่างแสนอาลัย
“เก่งมาก ตื่นได้แล้วบะหมี่” เสียงเฉียบขาดที่ดังขึ้นของกันธิชาคือมนตร์วิเศษที่ช่วยชุบชีวิตเจ้าตัวเล็กขนฟูให้เริ่มขยับตัวและเลียหน้าหญิงผู้เรียกแทนตัวว่า ‘แม่’ ซึ่งยังคงยืนตะลึงอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่า
เจ้าตัวน้อยจะฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
“เมื่อกี้น้องบะหมี่แกล้งตาย คุณเพลินไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ น้องแข็งแรง สุขภาพดี เก่งแบบนี้อีกไม่นานคงเป็นดาราได้สบาย” กันธิชาเอ่ยชมลูกศิษย์ตัวจิ๋วพันธุ์ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian) ที่แสดงได้สมบทบาทราวกับนักแสดงรางวัลตุ๊กตาทอง
“ครูน้ำแกล้งชมบะหมี่ทําไมคะ อย่างบะหมี่ไปได้ไกลมากสุดก็แค่ตัวประกอบ ต้องน้องมัฟฟิน ลูกสาวที่เต้นได้สวยของพี่สิคะ”
เจนยุภาสาวใหญ่ร่างอวบเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยาะๆ ก่อนจะกดโทรศัพท์มือถือเพื่อเปิดเพลง ‘Too Much So Much Very Much’ สั่งให้มัฟฟิน ลูกสุนัขพันธุ์ชิห์สุ (Shih-Tzu) ของหล่อนโชว์ลีลาโยกย้ายส่ายสะบัดประหนึ่งว่าเป็นเด็กปั้นของพี่เบิร์ด ธงไชย
“เริดค่ะ น้องบะหมี่คาบเหรียญไปโปรยให้น้องมัฟฟินสิลูก”
เพลินหยิบเหรียญจากกระเป๋ายื่นให้สุนัขที่ยืนงงๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเจนยุภาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่เชือดเฉือน “คงไม่ต้องรอเป็นดาราหรอกมั้งคะ ถ้าคุณเจนพาน้องมัฟฟินไปโชว์งานวัดเมื่อไรก็บอก ฉันกับ
น้องบะหมี่จะช่วยไปเป็นหน้าม้าให้”
เจนยุภาได้ยินเช่นนั้นจึงกัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจ
ก่อนที่สนามหญ้าเขียวขจีแห่งนี้จะกลายเป็นสนามมวย กันธิชา หรือครูน้ำ จึงต้องทําตัวเป็นกรรมการก่อนจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกน็อก และอาจลุกลามจนเกิดคดีหมาหมู่ยกพวกตีกัน
“คุณเพลินกับคุณเจนอย่ามีเรื่องกันเลยนะคะ น้ำว่าน้องบะหมี่กับน้องมัฟฟินเก่งพอกันทั้งคู่ นี่กําลังคิดอยู่เลยว่าจะเสนอคุณภูมิให้เลือกน้องทั้งสองไปแสดงนําภาพยนตร์เรื่อง หมาจ๊ะจ๋า สี่ขาตะลุยจักรวาลอยู่พอดี แต่พอเห็นว่าคุณพี่ทั้งสองเกาเหลากัน น้ำก็คิดหนัก สงสัยต้องให้น้องหลุยส์กับน้องมิวมิวไปแคสติงแทนซะแล้ว” กันธิชาแสร้งทําหน้าเสียดายที่ต้องตัดใจเลือกสุนัขตัวอื่นไปทดสอบบทแทน
เพลินกับเจนยุภาหน้าเจื่อนอย่างเห็นได้ชัด สาวใหญ่ทั้งสองทราบดีว่าที่ซูพีเรียฟาร์มแห่งนี้มักมีผู้กํากับและแมวมองมาทาบทามสุนัขให้ไปร่วมแสดงภาพยนตร์อยู่บ่อยครั้ง ครูฝึกทุกคนที่นี่จึงต่างสนิทกับคนในแวดวงบันเทิงเป็นพิเศษ ที่น่าเป็นห่วงก็คือสุนัขที่มาฝึกที่นี่ก็มีมากมาย หากมัวแต่ทะเลาะกัน ลูกๆ ที่รักก็อาจจะหมดโอกาสเป็นดาวจรัสฟ้าดวงใหม่ของวงการมายา ดังนั้นสาวใหญ่ทั้งสองจึงจําต้องเปลี่ยนท่าทีจากอริกลายมาเป็นเพื่อนรักสุดเลิฟ ตีบทแตกเสียยิ่งกว่าการแสดงของสุนัขของตนเสียอีก
“แหม ครูน้ำคะ เมื่อกี้พี่กับคุณเจนก็แค่หยอกกันเล่นๆ เท่านั้นเอง เกาหลงเกาเหลาอะไรกัน เลิฟๆ จุ๊บๆ
กันจะตายไป เมื่อกี้แค่ฝึกเอาไว้ค่ะ เผื่อคุณภูมิเกิดถูกใจลีลาการตีบทแตกของพวกพี่ แทนที่พวกพี่จะไป
นั่งหง่าวซับหน้าหวีผมให้ลูก พวกพี่อาจจะได้เป็นดารากับเขาบ้าง” เพลินผู้เป็นฝ่ายเปิดศึกพูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน
กันธิชาถอนใจอย่างโล่งอกที่สงครามย่อยๆ ยุติลง เมื่อสาวใหญ่ทั้งสองแยกย้ายกันไป เสียงหาวหวอดของโพล่าที่นอนคอยอย่างสงบก็ดังขึ้นแทนการบอกให้รู้เป็นนัยๆ ว่าเบื่อเต็มทีแล้ว อยากจะออกไปวิ่งยืดเส้นยืดสายเสียที
เจ้าโพล่าคือสุนัขพันธุ์ซามอยด์ (Samoyed) ที่คงซู เจ้าของซูพีเรียฟาร์มมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่กันธิชาเมื่อสามปีก่อน เนื่องจากหล่อนเคยเอ่ยปากว่าชอบสุนัขพันธุ์นี้ตรงที่หน้าตาน่ารัก มีรอยยิ้มหวานเป็นเอกลักษณ์ ที่สําคัญคือสุนัขพันธุ์นี้มีนิสัยฉลาดเฉลียวและเป็นมิตรอีกด้วย
อันที่จริงไม่ใช่แค่เพียงเรื่องสุนัข ไม่ว่าเรื่องใดที่กันธิชาเอ่ยปากว่าต้องการ คงซูก็เอาอกเอาใจหามาให้หล่อนได้เสมอ จนใครต่อใครในซูพีเรียฟาร์มต่างพากันแซวว่าคงซูคงจะชอบหล่อน แต่กันธิชาไม่อยากคิดเข้าข้าง
ตัวเอง และยังไม่อยากมีความรักในเวลานี้
วันนี้อากาศดี ซ้ำแดดก็ร่มแล้ว กันธิชาไม่อยากนึกเรื่องที่ทําให้ขุ่นมัว จึงนึกอยากเดินเล่นรับลมทะเล
“โพล่า ฉันยังไม่อยากกลับบ้านเลย ไปเดินเล่นที่ริมทะเลด้วยกันหน่อยสิ”
สุนัขตัวใหญ่ขนฟูสีขาวเหยียดตัวบิดขี้เกียจ แล้ววิ่งอย่างร่าเริงตามเจ้านายไป
หลังเลิกงานกันธิชามักจะชวนโพล่าไปเดินเล่นริมทะเลซึ่งอยู่ด้านหน้าของสนามฝึก ซูพีเรียฟาร์มถือได้ว่าเป็นฟาร์มสุนัขแห่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดชลบุรี ทั้งยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สุนัขพันธุ์ซามอยด์และศูนย์ฝึกสุนัขที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
กันธิชาเองก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในครูฝึกที่เจ้าของให้ความไว้วางใจ เพราะนอกจากจะสอนและปราบสุนัขดุ ก้าวร้าว ให้อยู่ในโอวาทได้อยู่หมัดแล้ว หล่อนยังเป็นครูฝึกสาวสวยที่มีลูกค้าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ทั้งประเภทโสดและเมียเผลอคอยแวะเวียนมาขายขนมจีบอยู่เสมอ แม้ความสวยและน่ารักของกันธิชาจะเป็นแม่เหล็กสําคัญที่ดึงดูดซูพีเรียฟาร์มให้มีลูกค้ามากขึ้นก็จริง แต่คงซูกลับไม่พอใจและพร้อมจะไล่ตะเพิดลูกค้าหนุ่ม
ทุกคนที่ทําท่าจะจีบกันธิชาอย่างไม่กลัวเสียลูกค้า ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่ที่คงซูยอมให้กันธิชาสอนจึงเป็นลูกค้าผู้หญิงหรือผู้ชายที่ไม่แมนเต็มร้อยเท่านั้น
กันธิชาเดินลัดสนามหญ้าเคียงคู่กับเจ้าสุนัขขนฟูไปยังบริเวณหาดทรายที่ทอดตัวยาวจดพื้นทะเลซึ่งไกลสุดลูกหูลูกตา เมื่อย่างสู่พื้นทรายหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้าครามเพื่อสูดอากาศที่สดชื่นและบริสุทธิ์ หล่อนรักทะเล โดยเฉพาะตอนที่พระอาทิตย์กําลังจะตกดิน สีส้มของดวงอาทิตย์ซึ่งระบายบนผืนฟ้าสีคราม แม้จะชวนให้รู้สึกเหงา แต่ในขณะเดียวกันก็ทําให้รู้สึกสงบ
“วิ่งเร็วโพล่า เราไปหาเปลือกหอยมาสร้างปราสาททรายกัน”
กันธิชาวิ่งนําโพล่าไปก่อน หล่อนเลือกทําเลแล้วเริ่มลงมือก่อปราสาททราย
เจ้าโพล่าวิ่งตามไปอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็ใช้ขาหน้าของมันตะกุยทรายเพื่อช่วยหาเปลือกหอยคาบส่งให้เจ้านายใช้ประดับตกแต่ง
กันธิชาจินตนาการว่าปราสาททรายคือบ้านของหล่อนที่มีพ่อแม่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างอบอุ่น ถึงแม้กันธิชาจะโชคดีกว่าเด็กกําพร้าหลายๆ คนตรงที่มีคนอุปการะเลี้ยงดู นับเป็นโชคที่จินโฮ ชายชาวเกาหลีผู้หนึ่งบังเอิญมาพบหล่อนถูกทิ้งอยู่ที่ท่าเรือศรีราชา จึงสงสารเลยเก็บหล่อนมาเลี้ยงดูและให้ความรักประหนึ่งว่าหล่อนคือลูกสาวแท้ๆ
กระนั้นก็ใช่ว่าชีวิตของกันธิชาจะมีความสุขหรือสะดวกสบายนัก เพราะนัมจาผู้เป็นแม่เลี้ยงกับโฮยอนผู้เป็นลูกสาวแท้ๆ ของจินโฮเกลียดชังหล่อนและปฏิบัติต่อหล่อนเยี่ยงคนรับใช้ ทั้งคอยดูถูกและหาเรื่องกลั่นแกล้งต่างๆนานา ทว่ากันธิชาก็ไม่ได้โชคร้ายนัก เพราะมีฮีโร่ประจําบ้านอย่างจุนซา ลูกชายคนโตของจินโฮ คอยปกป้องและรักหล่อนประหนึ่งน้องสาวร่วมสายเลือด จึงทําให้ชีวิตของกันธิชาไม่รันทดจนเกินไปนัก
เสียงเห่าของโพล่าปลุกกันธิชาให้ตื่นจากภวังค์ความคิด ปราสาทของหล่อนเวลานี้ราบเป็นหน้ากลองด้วยฝีมือของแมวเปอร์เซียขนปุยสีเทาจอมแซบที่ตอนนี้นั่งเชิด ลอยหน้าลอยตากินลมชมวิวอย่างไม่รู้สึกผิด โพล่าคงจะหมั่นไส้จึงตั้งท่าจะพุ่งตัวไปจัดการเจ้าเหมียวตัวแสบ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงทรงอํานาจที่ดังขึ้นเบื้องหลังทําให้โพล่าชะงักนิ่งอยู่กับที่ โพล่าไม่ใช่สุนัขที่ดุ แต่ก็ดื้อที่สุดในคอก มันไม่เชื่อฟังครูฝึกคนไหนนอกจากหล่อน น่าประหลาดที่มันยอมเชื่อฟังศรัณย์ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่มาดนิ่ง ผู้ซึ่งมีใบหน้าเรียบเฉยเป็นนิตย์
ศรัณย์รีบวิ่งไปอุ้มเจ้าแมวตัวแสบของเขาออกมาจากกองทรายและปลอบประโลมราวกับมันเป็นเด็กน้อยที่กําลังเสียขวัญ
“ลีน่า ไม่ต้องกลัวนะ โอ๋ คนเก่งตัวสั่นเชียว” หากกันธิชาไม่เคยรู้จักกับศรัณย์มาก่อน หล่อนก็คงอดเคลิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้ ชายหนุ่มตัวใหญ่กําลังปลอบประโลมลูกแมวตัวเล็กๆ อย่างอ่อนโยน กันธิชาเตือนสติตัวเองว่าสิ่งที่หล่อนเห็นคือภาพลวงตา ศรัณย์อาจตบตาคนทั้งโลกได้ แต่สําหรับหล่อน...เขาคือฆาตกร!
“ที่นี่คือหาดทรายของซูพีเรียฟาร์ม คุณกับแมวของคุณไม่มีสิทธิ์จะเข้ามาในบริเวณนี้ และที่สําคัญแมวของคุณกําลังก่อกวนความสงบของฉัน หวังว่าคราวหน้าพวกคุณจะไม่บุกรุกเข้ามาที่นี่อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะ...”
“คุณจะทําอะไร เรียกตํารวจมาจับผม หรือว่าจะเรียกนักเลงในซูพีเรียฟาร์มมารุม พวกหมาหมู่อย่างคุณทําอะไรไม่เป็นนอกจากลอบกัดคนอื่น” สายตาของศรัณย์ที่มองกันธิชานั้นวาวโรจน์อย่างไม่ยอมเช่นกันความเกลียดชังระหว่างกันธิชากับศรัณย์นั้น หากจะถามว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร คงจะต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ครั้งที่จุนซา พี่ชายของหล่อน ตัดสินใจลงหุ้นทําฟาร์มสุนัขร่วมกับเพื่อนรักสมัยเรียนมัธยมฯ สองคนคือ ปาร์ค คงซู กับศรัณย์...
คืนก่อนที่จุนซาจะประสบอุบัติเหตุและกลายเป็นอัมพาต จุนซากับศรัณย์ทะเลาะกัน หล่อนจําเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี เสียงเอะอะดังขึ้นที่หน้าบ้านราวตีสอง ทุกคนในบ้านต่างหลับสนิท มีเพียงหล่อนที่ยังนั่งตาโตเป็นนกฮูกเพราะต้องนั่งสอยกระโปรงของโฮยอนให้เสร็จทันรุ่งเช้า
‘แกสมรู้ร่วมคิดกับคงซูโกงเงินฉัน’ ศรัณย์ดึงคอเสื้อจุนซาและตวาดลั่น
‘ฉันไม่ได้รู้เห็นกับเรื่องนี้เลยนะศรัณย์ พรุ่งนี้ฉันจะคุยกับคงซูเพื่อเคลียร์เรื่องเงินให้นายเอง’ จุนซาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
ศรัณย์ปล่อยมือจากคอเสื้อของจุนซา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ‘ฉันไม่น่าไว้ใจลงหุ้นกับพวกนายเลย ยังไงพวกนายก็เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน ก็ต้องรวมหัวกันอยู่แล้ว’
‘ฉันไม่โกรธนายเลยที่นายไม่เชื่อใจฉัน แต่อย่ามาดูถูกฉันกับคงซู ถึงเราจะเป็นคนเกาหลี แต่เราก็เติบโตที่เมืองไทยและเป็นคนไทยเหมือนกับนาย ถ้านายดูถูกเราสองคนก็เท่ากับว่านายกําลังดูถูกตัวเองด้วย’ จุนซาตอบกลับด้วยน้ำเสียงกร้าว
‘ขอให้จริงอย่างที่พูดเถอะ ไม่อย่างนั้นได้เห็นดีกันแน่’ ศรัณย์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
ก่อนที่ศรัณย์จะกลับขึ้นรถ กันธิชาก็เดินอาดๆ ไปหาศรัณย์อย่างเอาเรื่อง หล่อนจะไม่ยอมให้ศรัณย์จากไปง่ายๆ แบบนี้แน่ ไม่รู้ว่าหล่อนเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้แย่งกุญแจรถจากมือของชายหนุ่ม แล้วประจันหน้ากับเขาอย่างเอาเรื่อง
‘คุณมีหลักฐานอะไรถึงได้ปรักปรําว่าพี่จุนซาโกงเงิน ขอโทษพี่จุนซาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะโยนกุญแจรถนี่ทิ้ง’
หล่อนเติบโตมากับจุนซาจึงรู้จักนิสัยของเขาดีและมั่นใจว่าคนอย่างจุนซาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ไม่มีทางคิดคดโกงใครอย่างแน่นอน ส่วนคงซู หุ้นส่วนอีกคน ก็ไม่มีทางจะยักยอกเงินให้ต้องผิดใจกัน เพราะ ปาร์ค ดงวู ผู้เป็นพ่อของคงซู เป็นเจ้าของบาร์หลายแห่งในพัทยาและมีหลักมีฐานทางการเงินที่มั่นคงอยู่แล้ว จึงไม่มีความจําเป็นต้องคิดโกงเงินใคร
‘เอากุญแจรถคืนมา ยายเด็กบ้า’ ศรัณย์แผดเสียงใส่หล่อน และหมายจะแย่งกุญแจรถคืนจากกันธิชาที่ทําท่าจะทิ้งกุญแจรถของเขาลงท่อ
‘คืนกุญแจรถให้ศรัณย์เถอะน้ำ แล้วเข้าบ้านไปซะ’ จุนซาไล่หล่อนให้เข้าบ้าน
‘ไม่...น้ำไม่ยอมกลับเข้าไปจนกว่านายคนนี้จะขอโทษพี่’ จุนซามองหน้ากันธิชาเชิงปราม จนกันธิชาจําต้องรามือ คืนกุญแจรถให้ศรัณย์ซึ่งรีบตะครุบกุญแจรถจากมือของหล่อนทันที กันธิชาจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะยอมเดินกลับเข้าบ้านเงียบๆ เสียงทะเลาะของศรัณย์กับจุนซายังดังอยู่อีกครู่หนึ่งจึงเงียบไป
วันรุ่งขึ้นกันธิชายังไม่ทันได้มีโอกาสถามจุนซาถึงเรื่องวิวาทที่เกิดขึ้น ช่วงราวๆ หกโมงเย็นทางบ้านก็ได้รับข่าวร้ายว่าจุนซาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างขับรถไปงานเลี้ยง รถของจุนซาเสียหลักชนไหล่ทางจนบุบแทบทั้งคัน หากดูจากสภาพรถแล้วจุนซาไม่น่าจะมีชีวิต
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)