อินทรีเหินเวหา (เก้าแต้ม)

อินทรีเหินเวหา (เก้าแต้ม)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160003105
ผู้แต่ง: เก้าแต้ม
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 260.00 บาท 65.00 บาท
ประหยัด: 195.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ร่างในชุดคลุมสีเทาเข้มหมอบตัวนิ่งเมื่อเห็นขบวนรถม้า ดวงตา

คมกริบจ้องไปยังกองคาราวานซึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ หนึ่งในพวกมัน

โบกมือเป็นสัญญาณให้หยุด หลังจากเดินทางรอนแรมมาหลายชั่วโมง

ทั้งหมดก็เหนื่อยล้าและต้องการหยุดพัก อาร์บัสกระชับอาวุธในมือนิ่ง

สมาธิไม่ได้เลือนไปจากเป้าหมายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

เขาสืบทราบมาว่าสมุนกองโจรหน้ากากดำจะนำหญิงสาวซึ่งถูกจับ

เป็นเชลยเดินทางผ่านมาทางนี้ ด้วยนิสัยชอบช่วยเหลือผู้อื่นจึงไม่อาจปล่อย

ให้เลยผ่านไป แต่ไหนแต่ไรอินทรีทะเลทรายเป็นผู้มีน้ำใจ แม้จะเป็น

เด็กกำพร้าและเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว

บิดามารดาของเขาถูกโจรฆ่าตายไปตั้งแต่ชายหนุ่มอายุได้เพียง

ห้าขวบ เขากลายเป็นเด็กเร่ร่อนรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ แลกกับอาหาร

วันหนึ่งฟ้าเบื้องบนก็ทำให้อาร์บัสพบกับผู้มีฝีมือท่านหนึ่งซึ่งรับเขาไว้

เป็นบุตรบุญธรรม และถ่ายทอดวิชาให้ ชายหนุ่มจึงมีฝีมือดาบเป็นเลิศ

แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี บิดาบุญธรรมก็เสียชีวิตลง

                อาร์บัสได้พบกับอัสลาม ชายชราซึ่งเปรียบเหมือนพ่อคนที่สอง

ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันในหมู่บ้านอุบซะซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปเกือบร้อย

กิโลเมตร ทันทีที่อัสลามทราบเรื่องก็คัดค้าน แต่อินทรีหนุ่มกลับไม่ฟัง

ทั้งที่รู้ว่าการลงมือเพียงคนเดียวเสี่ยงมากก็ตาม

หลายร้อยปีที่ผ่านมาชาวบ้านต้องตกอยู่ในความหวาดผวาเมื่อ

กองโจรหน้ากากดำออกปล้นสะดม พวกมันไม่ได้เป็นเพียงโจรกระจอก

สมุนแต่ละคนกว่าจะได้รับการยอมรับให้เข้ากลุ่ม ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่

ประจักษ์ ดังนั้นพวกมันจึงมีฝีมือเป็นเยี่ยม เฉลียวฉลาด และมีไหวพริบ

แม้ทางการภายใต้การปกครองของกษัตริย์ไฟซาลแห่งเมืองอัซฮารจะส่ง

ทหารออกตามล่า แต่กลับหาค่ายของพวกมันไม่พบ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่อง

ยากเกินความสามารถของอาร์บัส

เขาใช้ความสนิทสนมส่วนตัวกับนางกลางเมืองในตลาดโอเอซิส

ไนโลฟาร์ซึ่งเป็นจุดเดินทางผ่าน ทำให้รู้ว่าค่ายของพวกมันตั้งอยู่ในเขา

วงกตซึ่งต้องมีแผนที่จึงจะเข้าไปได้ นอกจากนั้นยังทราบมาอีกว่าพวกมัน

วางแผนจะนำเชลยทั้งหมดไปขายเพื่อเป็นการหยามพระเกียรติกษัตริย์

ไฟซาล หลังจากวางแผนอยู่หลายวัน เขาจึงขี่ม้ามาดักซุ่มพวกมันอยู่

ตรงนี้ แต่ปัญหาใหญ่คือ พวกมันมีจำนวนมากกว่าที่คาดเอาไว้ เขาไม่มี

ทางต่อสู้กับจอมโจรได้ทีเดียวพร้อมกันถึงสิบคนเลยต้องรอเวลา

เสียงความสับสนวุ่นวายดังมาจากกลุ่มโจร เมื่อพวกมันต่างพากัน

หุงหาอาหารสำหรับมื้อค่ำ แต่สำหรับคนเฝ้ารอนั้นไม่ได้ร้อนใจเลยแม้แต่

นิด เขาหยิบแผ่นแป้งในห่อผ้าขึ้นมาเคี้ยวแล้วกลืน รสชาติของมันไม่ต่าง

อะไรกับการกินเศษกระดาษ โชคดีที่มีอินทผลัมสดพอให้ชุ่มคอได้บ้าง

น้ำในถุงกระเพาะอูฐก็ร่อยหรอเต็มที หากพ้นวันนี้เขายังจัดการกับ

พวกโจรไม่สำเร็จคงต้องอดน้ำเป็นแน่

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ได้ แสงจันทราสาดส่องเผยให้เห็น

ผืนทรายสีทอง อากาศเย็นลงในตอนดึก ทำให้เหล่าโจรที่เดินทางมาอย่าง

เหนื่อยล้า อีกทั้งยังรับประทานมื้อเย็นกันอย่างอิ่มแปล้ผล็อยหลับ รวมถึง

ยามซึ่งเฝ้าอยู่ก็คอพับไปด้วย

อาร์บัสหมอบนิ่ง ในที่สุดโอกาสก็มาถึง เขากวาดตาสำรวจเพื่อดู

ทางหนีทีไล่ ตั้งใจว่าจะจัดการกับพวกมันทีละคน เริ่มจากคนซึ่งอยู่ริมสุด

อินทรีหนุ่มคืบเข้าไปใกล้แล้วใช้มือล็อกคอยามคนแรก จัดการด้วยสันมือ

จนสลบแล้วจัดการกับคนถัดมา ขณะที่กำลังจะจัดการกับอีกคนนั่นเอง

จู่ๆ หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งนอนหลับอยู่ก็ลืมตาขึ้น

อาร์บัสเดาว่านางคงเป็นเชลยที่ถูกจับมา สังเกตจากเสื้อผ้าที่ขะมุก-

ขะมอม ใบหน้ารูปไข่ซีดเผือด นัยน์ตาเบิกกว้างจ้องมองชายหนุ่มอย่าง

ตื่นตระหนก เขารีบคลานต่ำมายังหญิงสาว เอื้อมมือไปปิดปากเพื่อไม่ให้

นางส่งเสียง

“ไม่ต้องกลัว ข้ามาดี ข้ามาเพื่อช่วยพวกเจ้าออกไปจากที่นี่”

หญิงสาวพยักหน้า เมื่อมั่นใจว่านางจะไม่กรีดร้อง อาร์บัสจึงลดมือ

ที่ปิดลง เขาส่งยิ้มให้ เพราะความรีบเขาจึงไม่ทันสังเกตแววตาของนาง

“เพื่อนๆ ของเจ้าอยู่ที่ไหน”

หญิงสาวชี้ไปที่กลุ่มของเชลยสาวซึ่งถูกมัดมืออยู่ พวกนางต่าง

นอนระเกะระกะอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนหัวหน้าของพวกมันพักอยู่ในกระโจม

ชั่วคราวที่เร่งทำขึ้นเพื่อพักแรม สภาพของเชลยสาวแต่ละคนช่างน่าสงสาร

นัก เสื้อผ้าขาดวิ่น ระหว่างทางพวกนางอาจถูกโจรชั่วข่มเหงรังแก สิ่งที่

ต้องทำคือจัดการกับโจรก่อนที่จะปล่อยเชลยให้เป็นอิสระ

“รอข้าอยู่ที่นี่นะ อย่าไปไหน”

มือเล็กเอื้อมมาดึงแขนเสื้อชายหนุ่มไว้ นางเอ่ยเสียงเครือ

“อย่าไป ข้ากลัว”

“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ปล่อยให้พวกมันทำอะไรเจ้าได้หรอก เอามีด

เล่มนี้ไว้ป้องกันตัว ถ้ามีใครเข้ามาก็แทงได้เลย ข้าจะรีบไปจัดการกับ

พวกมัน”

                หญิงสาวพยักหน้ารับ อาร์บัสจึงย่องไปด้านหลังยามคนสุดท้าย

แต่ก่อนที่จะได้จัดการมันให้สลบเหมือดเหมือนที่ผ่านมา เขาก็รู้สึกถึง

คมมีดซึ่งจ่อตรงแผ่นหลัง อินทรีหนุ่มเบิกตากว้าง หันหน้ามามองศัตรู

อย่างตกตะลึง

“นี่เจ้า...”

มีดพกเล่มเมื่อครู่ บัดนี้กลายเป็นอาวุธที่ย้อนมาเอาชีวิต อาร์บัส

นึกไม่ถึงว่าผู้ซึ่งกำลังใช้มีดจ่อเขาตอนนี้จะเป็นหญิงสาวหน้าตาใสซื่อ

เมื่อครู่ เขาเพิ่งสังเกตว่าแววตาของนางดูเปลี่ยนไป แต่ก่อนที่ชายหนุ่ม

จะได้พูดอะไรต่อ เขาก็ถูกหมัดของโจรหน้ากากดำซัดเข้าที่สันกรามอย่าง

แรงจนล้มลงกับพื้น ก่อนจะถูกโจรอีกสองคนล็อกแขนเอาไว้

“กล้ามากที่เข้ามากระตุกหนวดเสือ เจ้าไม่รู้จักโจรหน้ากากดำหรือ

ยังไง”

“โจรชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าข้าไม่รู้จักหรอก” อาร์บัสพ่นเลือดซึ่งกบปาก

ใส่หน้าพวกมันเพื่อหยาม แต่กลับถูกพวกโจรกระชากผมจนหน้าหงาย

“ปากดีนัก เจ้าคงไม่เคยตายกระมัง” พูดจบพวกมันก็ชกอาร์บัส

อีกหลายหมัด ชายหนุ่มฝืนข่มความเจ็บและแค่นเสียงตอบ

“ถ้าพวกเจ้าแน่จริงก็สู้กับข้าตัวต่อตัวสิ ไม่ใช่เล่นหมาหมู่แบบนี้”

“ฮึ เรื่องอะไรพวกข้าจะต้องเสียเวลากับคนอย่างเจ้าด้วย”

พวกโจรแค่นหัวเราะ แทนที่จะปล่อย พวกมันกลับล็อกแขนอาร์บัส

ไว้ ส่วนอีกคนก็ชกเข้าที่ใบหน้าของชายหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนชายหนุ่ม

สะบักสะบอมอย่างที่สุด เลือดไหลออกจากจมูก ริมฝีปากแตก และนัยน์ตา

พร่าเลือนไปหมด ไม่ต่างอะไรกับอินทรีปีกหัก

“อยากเป็นพระเอกนักหรือไง ริจะช่วยคนแต่ไม่ดูให้ดีเสียก่อน”

โจรคนหนึ่งหันไปพยักพเยิดกับหญิงสาว อาร์บัสสะบัดศีรษะไล่

ความมึนงงและหันมองหญิงสาว เพราะเหตุใดนางถึงหันไปช่วยพวกโจร

หญิงสาวแสยะยิ้มและเฉลยให้

“เพราะว่าข้าไม่ใช่เชลยน่ะสิ ไอ้หน้าโง่ ข้าเป็นเมียของนายท่านผู้นี้

ต่างหาก”

อาร์บัสเพิ่งรู้ว่าเสียรู้ เขากัดกรามจนเป็นสันนูน จ้องมองจอมโจร

กับภรรยาอย่างอาฆาต เพราะความประมาททำให้หลงกลคนชั่วจนได้

เขาเชิดหน้าอย่างองอาจ

“จะฆ่าก็เชิญเลย ในเมื่อข้าตกเป็นเชลยของเจ้าแล้ว ไม่ต้องพูด

ให้มากความหรอก”

“ท้าหรือ” มือหนาจิกผมของอาร์บัสขึ้นแล้วชกซ้ำตรงดั้งจมูกและ

ปากจนเลือดไหลออกมา “เจ้าได้ตายแน่ๆ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ความตาย

คงสบายเกินไปสำหรับเจ้า ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสความทรมานต่างหาก เอ้า

ซ้อมมันอีก”

พวกมันสะบัดร่างที่ตอนนี้เปรียบเหมือนผ้าขี้ริ้วไร้ค่าลงบนพื้น

อาร์บัสไม่มีแรงยืนเสียด้วยซ้ำ แขนของเขาถูกจับไพล่หลังและพันธนาการ

ด้วยเชือกเส้นโต ขณะที่สมุนโจรหลายต่อหลายคนเวียนกันเข้าไประบาย

ความโกรธด้วยการเตะ บ้างก็กระชากเขาขึ้นมาเป็นเป้าซ้อม อาร์บัส

กล้ำกลืนฝืนทนต่อความเจ็บ สุดท้ายก็หมดสติไป

กลางคืนช่างยาวนานเหลือเกินในความคิด ชายหนุ่มจำไม่ได้ด้วยซ้ำ

ว่าหมดสติไปกี่ครั้งเพราะความเจ็บปวดที่ไม่ต่างอะไรกับการถูกฉีกร่าง

ออกเป็นชิ้นๆ ดวงอาทิตย์เพิ่งจะทอแสงแตะขอบฟ้า แต่ความทรมานของ

ชายหนุ่มยังไม่สิ้นสุด

เขาถูกชายคนหนึ่งฉุดกระชากไปตามพื้นทราย ชายคนนั้นปักหมุด

ขนาดใหญ่ลงบนพื้น ก่อนจะล่ามมือและเท้าทั้งสองข้างของเขาไว้กับ

หมุดในท่ากากบาท จอมโจรใจโฉดทรุดตัวลงข้างๆ และจิกผมอาร์บัสขึ้น

ก่อยถุยน้ำลายใส่หน้าชายหนุ่ม

“เตรียมตัวลิ้มรสชาติความตายได้แล้ว เจ้าต้องอดน้ำอยู่กลาง

ทะเลทรายจนกว่าเลือดในตัวจะกลายเป็นผง และทันทีที่เจ้าหมดลม

สัตว์ป่าจะมาฉีกทึ้งร่างของเจ้า ฮ่าๆๆ”

กองโจรขี่ม้าจากไปจนฝุ่นตลบ ทิ้งเอาไว้เพียงร่างสะบักสะบอม

ที่เต็มไปด้วยเลือดแห้งกรังบนพื้น ลมพัดทรายเม็ดเล็กๆ ขึ้นสู่อากาศ

เช่นเดียวกับสติสัมปชัญญะของอาร์บัสที่หลุดลอยตามไปด้วย หรือว่านี่คือ

วันสุดท้ายในชีวิตของอินทรีทะเลทราย

 

ซาริมฝัน...

เขาจำได้ว่านิมิตแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว นับตั้งแต่ออก

เดินทางจากเผ่านาเซีย ภาพของผืนทรายสีทองคุ้นตา เนินทรายที่ลดหลั่น

กันเป็นทอดๆ คล้ายกับภาพวาดของจิตรกร สุดปลายสายตามีเสียงของ

ใครบางคนร้องเรียกอยู่

แดดแรงกว่าทุกวัน ซาริมรู้สึกได้ถึงความร้อนอบอ้าว ท่ามกลาง

ความเงียบมีเสียงลมหายใจแผ่วของใครบางคน เสียงหัวใจเต้นอย่าง

อ่อนล้า ราวกับว่าผู้เป็นเจ้าของต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการ

รักษาชีวิตเอาไว้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นป้องตาเมื่อแสงส่องเข้ามาจนมองภาพ

ไม่เห็น ในความเจิดจ้านั่นเอง เขาก็ได้เห็นบางอย่าง

ร่างที่ดูคล้ายกับมนุษย์ถูกผูกมือและเท้าทั้งสองข้างติดอยู่กับหมุด

โลหะขนาดใหญ่ในลักษณะแยกขาและแขนออกจากกัน ผิวกลายเป็น

สีคล้ำจัดจนลอกเพราะถูกแดดแผดเผาเป็นเวลานาน ในความเวิ้งว้าง

นั่นเอง ซาริมเหมือนได้ยินชายหนุ่มกำลังท่องคัมภีร์อัลกุรอาน

‘ใคร’

คำถามผุดขึ้นในหัว เพราะเหตุใดเขาถึงเห็นภาพเหล่านี้ ซาริมจำ

ได้ว่าตนเองกำลังเดินทางออกตามหาค่ายของกองโจรหน้ากากดำ เมื่อ

ตัวอักษรคำว่าโอเอซิสไนโลฟาร์ปรากฏขึ้นในคัมภีร์หนัง เขาก็ดั้นด้นมา

จนถึงที่นี่ พรุ่งนี้ก็จะเดินทางเข้าเขตของโอเอซิส เป็นการสิ้นสุดการเดินทาง

เสียที

                “นั่นคือคนที่เจ้าต้องช่วย”

เสียงคุ้นเคยดังขึ้นในความมืด ซาริมเหลียวมองไปรอบๆ น่าแปลก

ที่ช่วงนี้เขาไม่ได้ฝันเห็นมารดามานานแล้ว เหมือนมีพลังบางอย่างปิดกั้น

การรับรู้ และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ ยิ่งเดินทางเข้าใกล้จุดหมายมาก

เท่าไหร่ ร่างกายเขาก็ดูจะอ่อนแรงลงเท่านั้น

ร่างสูงลืมตาขึ้น เหมือนภาพความฝันซ้อนทับกับเรื่องจริงเมื่อ

มองฟ้าเบื้องบน ท่ามกลางความมืดมิดเขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลัง

นอนมองท้องฟ้าในยามเที่ยงวัน เงาของสัตว์ปีกที่กางปีกร่อนกลางฟากฟ้า

ความองอาจที่ซาริมจะไม่มีวันลืม เมื่อชายหนุ่มกะพริบตาภาพก็หายไป

ในสำนึกสุดท้ายเขาก็นึกได้ว่าคืออะไร

‘อินทรีทะเลทราย’

ฝันนี้หมายถึงอะไรกันแน่ นั่นคือสิ่งที่ซาริมต้องหาคำตอบ

 

ตลาดสดในวันนี้คึกคักเหมือนเช่นทุกวัน บรรดาพ่อค้าและแม่ค้า

ต่างนำสินค้ามาวางขายกันให้แน่นขนัดไปหมด ความวุ่นวายในการค้าขาย

ไม่ได้รบกวนสมาธิของซาริม เขาตั้งใจว่าจะต้องสืบข่าวเกี่ยวกับกองโจร

หน้ากากดำให้ได้โดยเร็วที่สุด

นิมิตเมื่อคืนบอกว่าเขาเหลือเวลาไม่มากนัก ยิ่งเข้าใกล้ค่ายของ

พวกมันเท่าไหร่ อาการอ่อนเพลียก็ดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยัง

ภาพความทุกข์ทรมานของชายปริศนาทำให้ซาริมต้องรีบ

เนื่องจากชาวมุสลิมมีข้อห้ามทางศาสนาไม่ให้ดื่มสุรา เขาจึงต้อง

เลือกสถานที่ซึ่งมีคนพลุกพล่านและสัญจรไปมามากที่สุด นั่นก็คือร้าน

ขายอาหารเก่าแก่ในตลาด ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะสืบข่าวได้จาก

ใคร ในยุคที่คนของทางการอยู่ห่างไกล พวกโจรออกอาละวาดปล้นฆ่า

ไปทั่ว ชาวบ้านต่างก็หวาดกลัวจนไม่กล้าให้เบาะแสกองโจรหน้ากากดำ

ในยุคที่ทหารไม่สามารถให้ความปลอดภัยได้ ทุกคนจึงต้องเอาตัวรอด

 

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

อาร์บัส อินทรีหนุ่มรูปงามผู้มีน้ำใจ เขากับราชสีห์แห่งทะเลทรายต้องแฝงตัวเข้าไปในค่ายโจรหน้ากากดำเพื่อทำภารกิจตามหาพลอยสีเหลือง อินทรีหนุ่มได้พบกับนีฮาห์ นางโจรสาวผู้เย่อหยิ่ง นางเห็นว่าเขาเป็นศัตรูแถมยังเป็นไส้ศึกที่ต้องจับตามอง เหตุการณ์พลิกผันเมื่อทั้งคู่ต้องแต่งงานกันด้วยความไม่เต็มใจ 
ความคลางแคลงนำมาซึ่งความขัดแย้ง แต่สุดท้ายเพลิงปรารถนาที่ลุกโชนก็ทำให้ทั้งสองหนีหัวใจตัวเองไม่พ้น 
นวนิยายชุด เจ้าทะเลทราย มี 3 เล่มจบชุด คือ จิ้งจอกราตรี อินทรีเหินเวหา ราชบนผืนทราย 

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024