ดุจอัปสร ซีรีส์ ดวงใจเทวพรหม (ณารา)

ดุจอัปสร ซีรีส์ ดวงใจเทวพรหม (ณารา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160022281
ผู้แต่ง: ณารา
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 360.00 บาท 90.00 บาท
ประหยัด: 270.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ร่างสูงโปร่งราวนางแบบของดุจอัปสรเดินเข้าไปในอาคารสูง

อันเป็นที่ตั้งของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังระดับประเทศ หลังจากเธอยื่น

ใบสมัครไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็โทร.มาเรียกให้เข้ามา

สัมภาษณ์ รอบแรกผ่านฉลุย รอบที่สองเธอจะถูกสัมภาษณ์โดยผู้จัดการ

ฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และอาจจะมีผู้บริหารระดับสูงของ

บริษัทเข้ามาร่วมสัมภาษณ์ด้วย เพราะหญิงสาวที่โทรศัพท์ไปหาเธอบอกเช่นนั้น

ดุจอัปสรไม่กังวลมากมายนัก เพราะผ่านการสัมภาษณ์มาแล้วหลาย

ครั้ง ตั้งแต่เรียนมาจนถึงเริ่มทำงาน การตอบด้วยความเชื่อมั่นและท่วงท่า

สบายๆ จะทำให้บรรยากาศการสัมภาษณ์ผ่อนคลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะถูก

สัมภาษณ์แบบโต๊ะกลม เธอยิ่งต้องทำตัวให้ผ่อนคลายเข้าไว้ ไม่อย่างนั้น

คงจะเกร็งจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว

วันนี้เธอสวมกระโปรงผ้าไหมญี่ปุ่นสีน้ำเงินเข้ม สั้นเหนือเข่าเล็กน้อย

ผ้าเนื้อดีพลิ้วไปตามเรียวขายาวสวยได้รูป ด้วยความที่เรือนร่างสูงจึงทำให้

เธอเลือกเครื่องแต่งกายได้ง่าย ไม่ว่าจะสวมชุดไหนก็ดูดีไปหมด

เธอเชื่อมั่นเรื่องความประทับใจแรกเสมอ เมื่อต้องการงานก็ควรจะ

สร้างความประทับใจให้ผู้พบเห็น จึงเลือกสวมเสื้อผ้าลูกไม้แขนกุดสีขาว

และทับด้วยสูทลำลองสีอ่อนกว่ากระโปรง สะพายกระเป๋าหนังเน้นการใช้งาน

และความเก๋ไก๋ ไม่ใช่ของแบรนด์เนม เพราะถึงเธอจะร่ำเรียนจบจาก

ต่างประเทศ แต่ก็ไม่ได้มาจากเงินตัวเอง และฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวย

จนสามารถใช้ของแพงขนาดนั้น

ประตูลิฟต์เปิดออก ดุจอัปสรสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะก้าวออก

ไปอย่างมั่นคง เธอแจ้งเจ้าหน้าที่หญิงที่นั่งอยู่ตรงหลังเคาน์เตอร์ด้านหน้า

ประตู ด้านหลังของเธอมีชื่อบริษัทขนาดใหญ่เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘JT

Property Group’ ซึ่งทุกคนที่รู้จักบริษัทนี้ดี ก็จะรู้ว่าเป็นอักษรย่อของ

ตระกูลใหญ่และเก่าแก่ตระกูลหนึ่งของเมืองไทย

หญิงสาวถูกพาไปนั่งในห้องรับรองแขกที่มีหญิงสาวและชายหนุ่มอีก

สองคนนั่งรออยู่ คงเป็นคู่แข่งของเธอสินะ

ดุจอัปสรยิ้มให้ทั้งสอง แค่ทักทายให้เกียรติ ไม่มากไม่น้อยเกินไปจน

ดูไร้ความจริงใจ เธอไม่ได้เริ่มต้นการสนทนา ขณะที่ชายหนุ่มคนเดียวในห้อง

แนะนำตัวว่าชื่อพีรชัย เขาชวนคุยเพื่อลดความตึงเครียด ดูเป็นกันเอง

ขณะที่เธอตอบบ้างเล็กน้อย ส่วนหญิงสาวอีกนางคอยเชิดหน้าขึ้นฟ้า ไม่คุย

ไม่ตอบโต้ใดๆ เลย

แล้วการสัมภาษณ์ก็เริ่มต้น ชายหนุ่มถูกเรียกเข้าไปคนแรก เมื่อ

เหลือสองสาว ดุจอัปสรก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวคู่แข่ง แต่แล้วอีกฝ่าย

กลับเริ่มต้น

“งานนี้มีการล็อกตัวไว้แล้ว คุณรู้ไหม”

“คะ?”

“ฉันบอกว่าเขาสัมภาษณ์พอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ให้น่าเกลียด”

“แล้วคุณรู้หรือคะว่าใคร”

“แน่นอนสิ” หญิงสาวผู้มีใบหน้าสะสวยพ่นเสียงออกจมูก

“ที่จริง ถ้าคุณไม่อยากเสียเวลา ก็กลับไปเลยก็ได้นะ”

“อ้อ...คุณสินะ”

“ฉลาดดีนี่”

ดุจอัปสรหัวเราะเบาๆ กวาดสายตาไปทั่วตัวของเธอผู้นั้นอย่างไม่เกรงใจ

“ขอบคุณที่บอกค่ะ แต่ฉันคงจะทำตามที่คุณแนะนำไม่ได้ เพราะ

มันจะเป็นประวัติด่างพร้อยในการสมัครงานของฉัน”

“ก็ตามใจ แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” เธอย่นจมูกใส่หน้า ดุจอัปสร

ไม่สนใจ หยิบนิตยสารขึ้นมาอ่าน สักพักประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับ

หญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานก้าวเข้ามา

“หนูมีนาใช่ไหมคะ”

“คุณน้ากัลยา สวัสดีค่า” เสียงที่ตอบไปนั้นหวานจ๋อย “ไม่เจอกันหลาย

ปี คุณน้ายังสวยเหมือนเดิมเลยนะค้า”

“แต่หนูโตขึ้นจนน้าจำไม่ได้เลย สวยเหมือนแม่เลยนะ”

“ขอบคุณค่ะคุณน้า” หญิงสาวพนมมือไหว้อ่อนช้อย ปรายตาส่งมา

ให้คนที่นั่งในห้องเดียวกันเล็กน้อยคล้ายเย้ยหยัน แต่ดุจอัปสรก็ทำเป็นไม่รู้

ไม่ชี้ ก้มหน้าก้มตาอ่านนิตยสารต่อไป แต่ในใจก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้หน้าไหว้

หลังหลอกจริงๆ

“เดี๋ยว ผอ. คุณเพชรจะเข้าสัมภาษณ์ด้วยนะ” กัลยาบอก คราวนี้

ดุจอัปสรหูผึ่ง “เห็นบอกว่าเป็นกรณีพิเศษจริงๆ”

“แต่คุณน้า...” หญิงสาวเกาะแขนอ้อน “...เอ่อ จัดการให้แล้วใช่ไหมคะ”

กัลยาจุปาก ไม่อยากให้คนอื่นสงสัยเลยกลบเกลื่อน

“ทำให้ดีที่สุดนะมีนา ไม่ต้องตื่นเต้น”

“ค่ะคุณน้า ถ้างั้น พอสัมภาษณ์เสร็จ แม่จองโต๊ะจีนไว้แล้วค่ะ”

“จ้ะ น้าต้องไปทำงานก่อนละ แล้วคุยกัน” กัลยาตัดบทแล้วออกจากห้องไป

ดุจอัปสรไม่รู้ว่าจะขำหรือหมั่นไส้ดี เหมือนกับผู้หญิงคนนี้จะไม่เข้าใจ

เลยหรือไรว่า ของแบบนี้จะพูดออกไปโต้งๆ ไม่ได้ มันจะเสียถึงหน้าที่

การงานของคนฝากฝัง และเธอก็แอบคิดในใจว่าหากบริษัทนี้โชคดีพอ คงจะ

ไม่ต้องรับผู้หญิงตรงหน้าเข้าทำงาน

ไม่ถึงสิบนาที ชายหนุ่มผู้มีอัธยาศัยดีก็ออกจากห้อง ก่อนกลับเขา

ก็แวะมาร่ำลา และอวยพรให้พวกเธอโชคดี เธอยิ้มรับและคิดว่าเขามีน้ำใจ

เป็นนักกีฬาดี ต่างจากผู้หญิงสมองกลวงตรงข้ามลิบลับ

เธอรออีกราวยี่สิบนาที ผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกจากห้องสัมภาษณ์

ด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น มั่นอกมั่นใจนักหนา และแน่นอนว่าไม่แวะมาร่ำลา

เหมือนคนก่อนหน้า แต่เธอก็ไม่แคร์ ตั้งใจทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด

หากเธอสามารถทำงานที่นี่ได้ ก็จะทำให้มารดาพอใจ ถือว่าเธอได้ทำหน้าที่

ลูกที่ดีแล้ว

เธอเดินเข้าไปในห้องประชุมเล็ก ตามเสียงเรียกของพนักงานสาว

สายตากวาดไปรอบห้องทันที ก็เห็นคนสัมภาษณ์มีสามคนด้วยกัน คนแรก

เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่เคยเจอเมื่อคราวก่อน ท่าทางใจดี อายุราวกลาง

สี่สิบ เช่นเดียวกับหญิงร่างท้วมอีกคนที่นั่งตรงข้าม

ตรงหัวโต๊ะเป็นชายหนุ่มที่เธอเคยเห็นในนิตยสารและข่าวสังคมอยู่

หลายครั้ง เขาคือ พันตรี หม่อมหลวงอศิร จุฑาเทพ บุตรชายคนเดียวของ

หม่อมราชวงศ์ธราธร จุฑาเทพ ผู้เป็นประธานกรรมการบริษัทเจที พร็อพ-

เพอร์ตี้กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็น

อันดับต้นๆ ของประเทศ

เขาช่างต่างไปจากครั้งนั้นที่เจอกันโดยสิ้นเชิง สองปีแล้วสินะ เขาคง

จะลืมเธอไปแล้วว่าเคยช่วยเหลือเธอเอาไว้

การสัมภาษณ์เริ่มต้นด้วยการให้เธอแนะนำตัวเป็นภาษาไทยและ

ภาษาอังกฤษ พร้อมกับบอกเป้าหมายของการมาสมัครงาน เป็นคำถาม

ที่เธอเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว แต่เธอไม่อยากสร้างภาพให้ดูเว่อร์อลังการ

เกินไป จึงตอบหลังแนะนำตัวว่า

เธอต้องการทำในสิ่งที่คิดว่าแปลกใหม่และท้าทายสำหรับผู้หญิง

ที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตการทำงานอย่างแท้จริง หลังจากร่ำเรียนมาอย่างหนัก

ติดต่อกันมาหลายปี ผลการเรียนอันยอดเยี่ยม เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

ทั้งปริญญาตรีและโท รวมถึงสอบชิงทุนมหาวิทยาลัยไปเรียนจนสำเร็จ

ถือเป็นคะแนนบวกให้เธอพอสมควร

หญิงทั้งสองช่วยกันซักอยู่นานเกือบสิบนาที เธอก็ตอบทุกคำถาม

อย่างฉะฉาน สายตาคอยแลไปทางคนหัวโต๊ะ ก็เห็นเขานั่งกอดอกพิงพนัก

ด้วยท่วงท่าสบาย หากเธอเคยคิดว่าชุดทหารเหมาะกับเขาแค่ไหน ชุดทำงาน

แบบเสื้อเชิ้ตและเนกไทก็ดูเหมาะบนเรือนร่างกำยำของเขามากแค่นั้น เขา

ตัดผมรองทรงสั้น คงติดมาจากการเป็นทหาร คางเหลี่ยมบึกบึน ใบหน้า

คล้ำแดด คงมาจากเชื้อสายไทยแท้และจากการตากแดดเป็นเวลานาน ดวงตา

คมกริบมองเธอตลอดเวลา แต่ไม่บ่งบอกอารมณ์ ดูคล้ายกำลังวัด ชั่ง ตวง

อย่างหนัก

หญิงทั้งสองคนถามจนไม่รู้จะถามอะไรแล้ว เจ้านายก็ไม่เริ่มถาม

เสียที จนกระทั่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลต้องสะกิด

“ท่าน ผอ. มีอะไรจะถามไหมคะ”

“มีครับ” อศิรขยับนั่งตัวตรงและถาม “คุณมีแฟนหรือยัง”

กรามของเธอตกลงมาทันที ใบหน้าร้อนวูบวาบ แต่ยังข่มความอาย

ตอบกลับ เพราะคิดว่าเขาอาจจะลองใจเธอบางอย่าง

“ยังไม่มีค่ะ ฉันสนใจเรื่องเรียนมากกว่า เพราะคุณพ่อของฉัน

เสียชีวิตไปตั้งแต่ฉันยังเด็ก ฉันเหลือคุณแม่คนเดียว ไม่อยากให้ท่านต้อง

กังวล ตอนไปเรียนปริญญาโท ฉันก็จะต้องเรียนให้จบตามที่ทุนกำหนด จึง

ไม่มีเวลาและไม่ได้สนใจเรื่องแฟน คิดว่าถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมจึงค่อยคิดค่ะ”

“แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับที่ว่าเหมาะสม”

สองสาวใหญ่จ้องตากันด้วยท่าทางตกใจกับคำถามชุดนี้ของเจ้านาย

แต่นั่นแหละ อศิรไม่เคยปฏิบัติตามกฎข้อไหนทั้งสิ้นของบริษัท ดังนั้นพวก

หล่อนจึงไม่ควรจะแปลกใจ

“ก็เมื่อฉันพร้อม มีหน้าที่การงานที่ดี มีรายได้ประจำมอบให้คุณแม่

โดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อน ถึงเวลานั้น ฉันก็จะเริ่มเปิดโอกาสให้ตัวเองค่ะ”

“ถ้างั้น...ผมรับคุณเข้าทำงาน” เขาสรุป ก่อนจะปิดแฟ้มลง โดย

ไม่สนใจหญิงอีกสองคนในห้อง

ผู้จัดการฝ่ายบุคคลทำหน้าเลิ่กลั่ก “เดี๋ยวค่ะ ผอ. รับเลยเหรอคะ

ไม่ต้องปรึกษากันแล้วโทร. ไปแจ้งเหรอคะ”

อศิรหันมองคนพูด สายตาคมกริบราวกับมีดโกนตวัดฉับ จนแทบ

ทำให้ใบหน้าของคนถามเหวอะหวะ

“ทำไมต้องปรึกษา หรือคุณรับคนอื่นมาก่อนหน้า หรือว่าการตัดสินใจ

ครั้งนี้ไม่ใช่ของผม”

“เอ่อ...ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” หล่อนรีบปฏิเสธและยังอ้าง “ปกติเราจะทำ

ตามขั้นตอน”

“เสียเวลา เอาละ พวกคุณไปได้แล้ว แต่คุณฟ้า คุณอยู่ที่นี่ก่อน”

สองสาวใหญ่อ้าปากค้าง สองคนนั้นไม่มีใครชื่อฟ้า แล้วจะเป็นใคร

ไปได้อีกเล่า

“ผมบอกว่าไปได้แล้วไงล่ะ”

“เอ่อ...ค่ะๆ” สองสาวใหญ่รีบหอบแฟ้มแล้วเดินไปยังประตู

ดุจอัปสรยังงงๆ ที่จู่ๆ ก็ได้งานโดยไม่คาดฝัน ประตูห้องประชุม

เปิดออก ร่างทั้งสองก้าวออกไป อศิรลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา

“คุณจำผมได้ไหม เราเคยเจอกันมาก่อน”

“เอ่อ...จำไม่ค่อยได้ค่ะ” เธอปด ไม่บอกเขาหรอกว่าเคยเห็นเขามา

ก่อนในนิตยสาร แม้ตอนนั้นจะไม่เห็นใบหน้าของเขาชัดเจน แต่หลังจากนั้น

เธอก็เที่ยวค้นหาหนังสือเกี่ยวกับเขามากมาย ขืนบอก เขาก็รู้สิว่าเธอสนใจ

อยากรู้เรื่องของเขา

“เราเคยเจอกันที่ถนนราชดำเนิน คุณให้ที่ซ่อนแก่พวกนักศึกษา ผม

เป็นทหารชุดพรางในตอนนั้น”

 ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้ม

“ตอนนั้นคุณพรางหน้า”

“ใช่ แต่ผมจำคุณได้ ดุจอัปสร แม่นางฟ้าตัวน้อย”

แก้มของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แล้วเขาก็เอ่ยชวน

“ไปดื่มกาแฟกันเถอะ ผมขี้เกียจเข้าประชุม จะได้คุยเรื่องงานด้วย”

“เอ่อ...ฉันไม่ควรจะเริ่มงานกลางเดือนหรือต้นเดือนเหรอคะ”

“ก็ได้” เขายักไหล่ “แต่วันนี้ ถือว่าเพื่อนเก่ามาเจอกัน ให้ผมเลี้ยง

กาแฟคุณนะ ตกลงไหม”

“เอ่อ...ก็ได้ค่ะ” เธอสะพายกระเป๋า ลุกตามเขาที่เปิดประตูรอ พอ

เดินออกไป ก็เห็นกัลยากำลังคุยกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลหน้าตาเครียด อศิร

เท้าสะเอวแล้วถามทันที

“มีอะไรหรือคุณจุ๋ม คุณกัลยา”

“ปละ...เปล่าค่ะ ไม่มี้ ไม่มี” คุณจุ๋มหรือจุไรรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล

รีบโบกไม้โบกมือ สายตาของเขาตวัดไปทางกัลยา ก่อนจะเดาอะไรบางอย่าง ได้

“ไม่มีก็แล้วไป” เขาบอก กำลังจะออกเดิน แต่ก็เปลี่ยนใจหันไปทาง

หญิงทั้งสองอีกหน “แต่เพื่อความสบายใจของพวกคุณ ผมบอกตรงนี้ให้

เคลียร์เลยดีกว่าว่า แผนกผมไม่ต้องการคนตอแหล พูดแค่นี้ คงจะเข้าใจ นะ”

สองคนอ้าปากค้าง ขณะที่อศิรแตะข้อศอกของหญิงสาวให้เดินออก

จากประตูบริษัท พอลับร่างทั้งสองพนักงานรอบข้างก็กรูกันเข้ามาถาม

จุไรรัตน์ทันที แต่ทั้งหมดที่พวกเขาได้ก็มีเพียงแค่ชื่อและนามสกุลของ

พนักงานคนใหม่เท่านั้น

เธอเลือกกาแฟที่ต้องการแล้วก็พับเมนูยื่นคืนบริกรไป แต่อศิรสั่ง

ขนมเค้กเผื่อเธอด้วยหนึ่งชิ้น เธอก็พึมพำบอก

“ฉันไม่ค่อยทานของหวานเท่าไหร่”

“ทำไมล่ะ ไม่ชอบรึ มิน่าถึงได้ผอมแห้งแบบนี้” เขาวิจารณ์ “หรือว่า

รักษาหุ่นเหมือนสาวๆ ทั่วไป”

“เปล่าค่ะ ที่บ้าน คุณแม่ไม่ค่อยชอบ เลยไม่ซื้อเข้าไป”

“ท่าทางคุณจะติดแม่นะเนี่ย”

“ไม่ค่อยติดหรอกค่ะ แต่เรามีกันอยู่แค่สองคน ญาติคนอื่นๆ ก็...

ไม่ค่อยได้มายุ่งเกี่ยวกันสักเท่าไหร่ ท่านมีแต่ฉันคนเดียว ฉันก็เลยไม่อยาก

ทำให้ท่านเสียใจ”

“งั้นรึ” เขาพึมพำ “แล้ววันนั้นแม่คุณว่าไงบ้าง ที่คุณพาคนเข้าไปหลบ

เยอะแยะขนาดนั้น”

“นั่นเป็นบ้านของคุณอาค่ะ บ้านของเราอยู่แม่ริม เชียงใหม่โน่นค่ะ”

“อ้าว ถ้าคุณเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วแม่ของคุณจะทำยังไงล่ะ”

“คุณแม่จะย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ค่ะ ถึงให้ฉันมาสมัครงานที่นี่

ท่านบอกว่าหากได้งานมั่นคงแล้วก็จะย้ายตามมา”

“อ้อ” เขาพยักหน้ารับ “มิน่าล่ะ ผมผ่านไปแถวนั้นอีกหลายครั้ง เห็น

อาคุณขายขนมไทย ยังสงสัยว่าไม่ชอบทานขนมได้ยังไง ที่แท้ก็เป็นบ้าน

ของอานั่นเอง”

“ค่ะ” เธอยิ้ม ตอนนั้นเองที่ทั้งสองมองไปที่ลานจอดรถด้านหน้าตึก

เห็นหญิงสาวนางหนึ่งก้าวลงจากรถเบนซ์สีเงิน ซึ่งดุจอัปสรจำได้ทันที อศิร

หยุดคุย มองตามสายตาของเธอไปที่ประตูอาคารที่กัลยาเดินออกมาด้วย

ท่าทางร้อนรน ก่อนจะเดินเคียงข้างกันขึ้นรถเบนซ์ออกไปจากที่นั่น เธอจึงบอก

                        (ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

ดุจอัปสร เทวพรหม หมายมั่นปั้นมือว่า
ต้องแก้แค้นแทนผู้เป็นมารดา
จึงมาสมัครงานที่บริษัทเจที พร็อพเพอร์ตี้
เพื่อหาทางใกล้ชิดกับทายาทของหม่อมราชวงศ์รณพีร์
ทว่าคนที่เธอพบกลับเป็น พันตรี หม่อมหลวงอศิร จุฑาเทพ
บุตรชายคนโตของหม่อมราชวงศ์ธราธร ซึ่งเคยช่วยชีวิตเธอไว้
ทั้งยังเป็นคนที่เธอมอบหัวใจให้
แต่เขาไม่ใช่คนที่มารดาของเธอต้องการ
อศิรจดจำดุจอัปสรได้ 
ความสวยและความกล้าหาญของเธอในครานั้น 
ทำให้เขาประทับใจไม่รู้ลืม
ชายหนุ่มเฝ้ารอหญิงสาวมาหลายปี จนในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง
แม้ความรักของทั้งคู่มีความเกลียดชังของมารดาเธอเป็นกำแพงขวางกั้น
แต่เมื่อคู่กันแล้ว ย่อมไม่แคล้วคลาด
ด้วยพระพรหมลิขิตไว้...
ว่าอศิรคือหนึ่งใน...ดวงใจเทวพรหม

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024