เพลิงพราย (อรพิม)
ประหยัด: 225.00 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 2 รายการราคา 99.00 บาท - 179.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
เสียงที่จู่ ๆ ก็แผดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ท่าเอาร่างซึ่งกำลัง นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งโหยง เจ้าตัวลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง หายใจ หอบแรง ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง ปากเผยออ้าเตรียมเปล่งเสียงกรีด ร้องออกมาด้วยความตกใจ หากภาพห้องนอนสีครีมดุ้นตาที่ปรากฏอยู่ ตรงหน้าท่าให้ได้สตี เสียงนั้นจึงชะงักค้างอยู่แค่ริมฝีปาก
ฝันไปหรือนี่ !
ศมนผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งใจ หัวใจที่เต้นถี่ยิ่งกว่า
กลองรัวค่อย ๆ ลดความเร็วลงจนกลับมาเป็นปกติ แววตาตื่นตระหนก
คราแรกคลายลง เหลือไว้เพียงความสับสนไม่แน่ใจ
หญิงสาวยกมือลูบใบหน้า ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ
บนผิวหน้าและเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ผุดพรายเต็มหน้าผาก ทั้งที่ในห้องเปิด เครื่องปรับอากาศจนอุณหภูมิเย็นฉํ่า
คนบนเตียงถอนใจยาวอีกครั้ง นิ่วหน้าอย่างแปลกใจ
น่ากลัวจริง ๆ ทำไมถึงได้ฝันร้ายแบบนี้นะ...คิดพลางเลื่อนมือ
จากใบหน้าลงมายังล่าคอซึ่งยังมีอาการปวดแสบปวดร้อนยามเธอหายใจ
เข้าออกปรากฏให้รับรู้
แม้จะจำรายละเอียดในความฝืนไม่ได้มากนัก เพราะทุกอย่างดู
พร่าเลือนเหมือนมีม่านสีเทาปกคลุม หากเจ้าความรู้สึกหนาวเหน็บ...
อึดอัด...หายใจไม่ออก...ทรมานจนแทบขาดใจนั้น กลับแจ่มชัดอยู่ใน
ความทรงจ่าราวกับเป็นเรื่องจริง หาใช่ความฝืนตามที่เธอเข้าใจ
“ต้องเป็นเพราะมัวแต่พะวงคิดถึงพล็อตนิยายเรื่องใหม่ก่อนจะ นอนแน่เชียว ถึงได้เก็บมาฝืนเป็นตุเป็นตะอย่างนี้”
ศมนสรุปง่าย ๆ เอื้อมมือไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่ยังคงแผด
ร้องอย่างไม่เกรงใจใคร เหลือบมองเวลาบนหน้าปัด เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้า เท่านั้น แต่เธอหมดอารมณ์จะนอนต่อจึงสะบัดผ้าห่มนวมสีครีมที่เลื่อน ไปกองอยู่ตรงเอวออกจากตัว ลุกไปยังโต๊ะท่างานซึ่งตั้งอยู่ปลายเตียง
โต๊ะนั้นเป็นไม้สีน้ำตาลอ่อนตั้งเข้ามุม หันหน้าออกไปนอกห้อง
บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์หน้าจอ ๑๗ นิ้วตั้งไว้ตรงกลาง หนังลือกองโต
พร้อมกับเศษกระดาษที่เธอจดข้อมูลและรายชื่อตัวละครสำคัญ ๆ ใน
นิยายที่กำลังจะลงมือเขียนวางเกลื่อนอยู่ทางขวา ขณะที่ทางซ้ายมือมีถุง
มันฝรั่งทอดกรอบที่เปิดทิ้งไว้และจานกระเบื้องสีขาวใส่พิซซ่าที่กินเหลือ
ค้างไว้ชิ้นหนึ่ง บนโต๊ะจึงเต็มไปด้วยข้าวของจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่างให้วางอะไรได้อีก
หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้มีพนักบุด้วยเบาะผ้าเนื้อนุ่มสีแดงตรง
หน้าคอมพิวเตอร์ วางมือบนเมาส์สีชมพูหวานที่อยู่บนแผ่นรองสีฟ้า
สดใส ขยับเมาส์เล็กน้อยหวังให้หน้าจอที่ดับไปแล้วท่างานขึ้นอึกครั้ง
แล้วเธอก็ต้องแปลกใจ เมื่อเจ้าหน้าจอสี่เหลี่ยมยังคงดำมืด ไม่มีการ เคลื่อนไหวใดๆ ทิ้งสิ้น
เอ๊ะ...ก่อนนอนไม่ได้ปิดคอมพ์โม่ใช่เหรอ ?
คนเพิ่งตื่นขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
จำได้ว่ากลับจากซื้อของในซูเปอร์มาร์เกตใกล้ ๆ ก็มานั่งหน้า คอมพิวเตอร์คันหาข้อมูลเพื่อเตรียมรายละเอียดสำหรับนิยายเรื่องใหม่จนดึกดื่น
จากนั้นเธอก็เข้านอน?
ศมนคิดอย่างลังเล รู้สึกว่าตอนนี้สมองยังไม่แล่นเท่าที่ควร มัน
ยังมึนตื้อเหมือนถูกปกคลุมด้วยม่านควันสีเทาจาง ทำให้จำอะไรไม่ได้แม่นนัก
หญิงสาวส่ายหน้าถอนใจยาว ก่อนก้มลงกดสวิตช์ตรงตัวเครื่อง
ซึ่งวางหลบมุมอยู่ใต้โต๊ะทำงาน ระหว่างนั้นก็ทอดสายตาผ่านประตู
กระจกตรงหน้าที่สูงจากพื้นจรดเพดาน เปิดเป็นช่องว่างได้ไม่ถึง ๒ นิ้ว
ให้ลมพัดผ่านเข้ามาเท่านั้น ผนังห้องด้านนี้จึงเป็นเหม่อนหน้าต่างบาน
ใหญ่ สามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอกได้อย่างเต็มที่ ไม่มีสิ่งใดบดบังสายตา
ยามนี้แม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งทอดโค้งหายลับไปตรงปลายฟ้ากำลัง เรืองรองด้วยแสงสีทองของดวงตะวัน เรือลำเล็กสำน้อยแล่นสวนกัน
ขวักไขว่บนผืนน้ำ วิถีชีวิตสองผิงแม่น้ำดำเนินไปตามครรลองเฉกเช่น ทุกวัน
เจ้าของห้องกวาดสายตาไล่ไปตามบ้านเรือนริมน้ำอย่างไร้จุดหมาย ก่อนสะดุดเข้ากับบ้านทรงไทยหลังหนึ่ง
เรือนไทย !
ศมนกะพริบตา รู้สึกเหมือนมีบางอย่างติดอยู่ในใจ แล้วเจ้าตัวก็ ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อคิดได้ว่าเข้านี้เธอมีนัดกับเพื่อน จะไปดูบ้านเรือนไทยที่ต่างจังหวัดด้วยก้น
“ตายแล้วไอ้เดือน ทำไมแกถึงได้ขี้ลืมอย่างนี้นะ ขนาดตั้งนาฬิกา ปลุกไว้แล้วยังจำไม่ได้อีก”
คนขี้ลืมบ่น มองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงซึ่งบอกเวลาเจ็ดนาฬิกา
สิบห้านาที แล้วรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ หันหลังกลับวิ่งไปคว้าผ้าขนหนูที่
พาดอยู่บนราวไม้ข้างตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่อีกฟากของห้อง เดินหายเข้าไปในห้องน้ำซึ่งอยู่ติดกันทันที
ไม่ถึงสิบนาที เธอก็ออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าแจ่มใสซึ่งมีน้ำเกาะ พราว พันกายด้วยผ้าขนหนูสีขาวตัดกับร่างผิวสีแทนซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
หญิงสาวรีบเปิดตู้เสื้อผ้า คว้าเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาวกับกางเกงยีน
ตัวเก่งออกมาสวมอย่างรวดเร็ว กลัดกระดุมพลางเดินมายังโต๊ะเครื่อง
แป้งที่ตั้งอยู่ติดกัน พับแขนเสื้อขึ้นมาจนเหนือข้อศอกแล้วคว้าหวีมาหวี
ผมสั้นกุดของตัวเองอย่างลวก ๆ ตบแป้งเด็กทั่วใบหน้า มองกระจกและ
ส่งยิ้มให้ตัวเองอย่างภูมิใจ
“เก่งมากไอ้เดือน...ไม่ถึงสิบห้านาทีก็อาบนํ้าแต่งตัวเรียบร้อย ทีนี้
ก็เหลือ แต่บึ่งรถไปให้ทันเวลาเท่านั้น”
บอกตัวเองแล้วเจ้าหล่อนก็หยิบนาฬิกาข้อมือบนโต๊ะเครื่องแป้ง
ขึ้นสวม ฉวยกระเป๋าหนังสิดำใบโตที่วางทิ้งไว้บนพื้นขึ้นสะพายบ่า ก่อน
จะเดินลิ่ว ๆ ออกจากห้องนอน ผ่านห้องรับแขกด้านนอกไปคว้าหมวก
กันน็อกที่วางอยู่บนตู้เก็บรองเท้าข้างประตูเป็นอย่างสุดท้ายแล้วออกจาก ห้องพักไป
ศมนขี่มอเตอร์ไซค์เครื่อง ๑๕๐ ชีชีสีดำคันโปรดซิกแซ็กไป
ตามช่องว่างระหว่างรถยนต์ที่ติดกันเป็นแพยาวบนถนนสายหลักในตัว
เมืองอยู่เกือบยี่สิบนาที กว่าถนนที่มุ่งสู่ปลายทางจะเริ่มโล่ง เปิดโอกาส
ให้เธอบิดคันเร่งเพิ่มความเร็วได้เต็มที่ กระทั่งขับผ่านประตูหมู่บ้าน
จัดสรรแถบชานเมืองจึงได้ชะลอความเร็วลง และหยุดอยู่หน้าบ้านทรง วิกตอเรียสองชั้นสิชมพูค่อนข้างใหม่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากป้อมยามเท่าใด นัก
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ดับเครื่องเพื่อไปกดกริ่ง หญิงสาวร่างเล็กคน หนึ่งก็เปิดประตูกระจกหน้าบ้านวิ่งออกมาเปิดประตูรั้วเหล็กดัดสีขาว นวลให้เสียก่อน ราวกับเจ้าหล่อนกำลังเฝ้ามองการมาของเธออยู่
ศมนจึงขับมอเตอร์ไซด์เข้าไปจอดข้างรถยนต์สีบรอนซ์เงิน ถอด หมวกกันน็อกสีดำออกคล้องไว้กับแฮนด์มอเตอร์ไซด์แล้วลงจากรถ เดิน ไปหาเจ้าของบ้านซึ่งปิดประตูรั้วเรียบร้อยแล้วยืนรอเธออยู่ตรงบันได เตี้ย ๆ สองชั้นที่ทอดสู่ประตูกระจกใสของตัวบ้าน
“ขอโทษที มาสายไปหน่อย พอดิฉันลืม นึกได้ก็เจ็ดโมงกว่าเข้า ไปแล้ว แถมออกมายังเจอรถติดอีก หลุดมาได้ก็รีบซึ่งมาแทบตาย” คน
มาสายบอกพลางยิ้มหวานประจบ
“ช่างเถอะ อุ๋มชินแล้วละ เพราะนัดกันทีไรเดือนก็มาสายทุกที” อุมาพรตอบเสียงอ่อน
“แหม...ก็ไม่ถึงกับทุกทีหรอกน่า แค่บางครั้งเท่านั้นเอง” ศมนยัง ไม่วายแก้ตัว
“จ้ะ...บางครั้งก็บางครั้ง ยังไงอุ๋มก็รออยู่บ้านอยู่แล้ว ไม่เดือด ร้อนหรอกจ้ะ” เจ้าของบ้านบอกง่าย ๆ ดวงตากลมโตออกแววหวานบน ใบหน้ารูปหัวใจของหล่อนสบตาเธอ ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มน้อยๆ อย่าง รู้นิสัยของผู้เป็นเพื่อนดี
“ว่าแต่ตื่นสายอย่างนี้แล้วได้กินข้าวเช้ามารึยัง อุ๋มทำอาหารเผื่อ เดือนด้วยนะ ยังไงเดือนกินข้าวก่อน แล้วเราค่อยไปก็ได้”
“ฉันยังไม่ได้กินอะไรมาหรอก แต่ไม่ต้องห่วง ปกติฉันไม่ค่อยได้ กินข้าวเข้าอยู่แล้ว” ศมนบอกง่าย ๆ ไม่พิถีพิถันกับเรื่องกินสักเท่าไร กวาดตามองเพื่อนในชุดกางเกงผ้าสีเทากับเสื้อเชิ้ตเข้ารูปแขนสั้นสีชมพู หวานขับผิวขาวผ่องของเจ้าหล่อนแล้วพูดต่อ
“ไหนๆ แกก็พร้อมแล้ว ฉันว่าเรารีบออกเดินทางกันดีกว่า ส่วน อาหารเข้าก็เอาใส่กล่องไปกินในรถ ไม่งั้นกว่าจะไปกว่าจะกลับจะคํ่าเสีย ก่อน”
“เอางั้นเหรอ...บ้านมันไม่ไกลเท่าไหร่หรอกนะ ขับรถไปแค่สาม ชั่วโมงก็ถึง ไม่ต้องรีบมากก็ได้” เจ้าของธุระท้วงเสียงอ่อน รู้สึกเกรงใจ
ผู้เป็นเพื่อนอยู่เหมือนกัน
สาเหตุเป็นเพราะจู่ ๆ เธอก็ได้รับมรดกจากเพื่อนสนิทของคุณปู่
เป็นบ้านเรือนไทยเก่าแก่หลังหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา ทำให้ต้องเดิน
ทางไปดูสภาพบ้านก่อนตัดสินใจว่าจะจัดการกับมันต่อไปอย่างไร ทีแรก ตั้งใจจะรอพลภัทรผู้เป็นสามี แต่เขายังยุ่งกับการก่ายละคร ไม่มีคิวว่าง
เสียที แถมตอนนี้ก็ไม่อยู่บ้าน เพราะติดก่ายละครที่ภูเก็ต อีกสัปดาห์
กว่าจะกลับ เธอจึงต้องชวนศมนไปแทน
“สามชั่วโมงน่ะฉันขับ ถ้าแกขับ...ฉันว่าคงสักสี่ชั่วโมงเป็นอย่าง
น้อย” สาวนักชิ่งแย้งยิ้มๆ แล้วเสริมว่า “แกไม่ต้องมาทำเสียงเกรงใจฉัน
หรอก ฉันเองอยากไปดูบ้านเรือนไทยเก่า ๆ อยู่แล้ว เพราะตอนนี้ฉัน
กำลังวางพล็อตสำหรับนิยายเรื่องใหม่อยู่ เผื่อชอบใจยังไงจะได้เก็บเอา
มาใช้เป็นฉากในนิยายซะเลย”
อุมาพรส่ายหน้า...เพื่อนสนิทของเธอคนนี้ ดูภายนอกออกจะห้าว
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอารมณ์โรแมนติกและจินตนาการบรรเจิดจนผันตัวเอง
จากครูสอนพละมาเป็นนักเขียนนิยายรักหวานซึ้งกับเขาได้
“เรื่องเก่าส่งต้นฉบับไปแล้วเหรอ ถึงได้เริ่มคิดพล็อตเรื่องใหม่อีก แล้ว” หญิงสาวถาม พลางเดินนำเช้าไปในบ้าน ผ่านห้องรับแขกชิ่งมีชุด
โซฟารับแขกสีน้ำเงินเข้มไปยังโต๊ะอาหารที่เธอเตรียมอาหารเช้าเอาไว้
“อืม...ก็อยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เขียนไปเรื่อย ตั้งเป้าไว้ว่าจะ
เขียนนิยายให้ได้ปีละหกเรื่องเลยต้องขยันหน่อย แต่ฉันเขียนเรื่อง
หวาน ๆ มาหลายเรื่องชักเริ่มเบื่อ เลยกะว่าเรื่องใหม่จะเขียนให้ต่างจากเรื่องก่อนๆ”
นักเขียนสาวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งตรงโต๊ะอาหาร มองเพื่อน ใช้ช้อนตักไข่ดาว หมูแฮม และไส้กรอก ตามด้วยขนมปังปิ้ง จัดใส่กล่อง พลาสติกให้เธออย่างสวยงาม
“แต่แฟนนิยายของเดือนชอบอ่านเรื่องหวานๆ ไม่ใช่เหรอ เดือน ถึงได้เขียนแต่นิยายรักโรแมนติก หวานบ้าง กุ๊กกิ๊กบ้าง มาตลอด”
“มันก็ใช่...แต่ฉันว่าเขียนไปเขียนมามันก็อีหรอบเดิมนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่พระเอกตกหลุมรักนางเอกจนต้องตามจีบกันให้หวานหยดทั้งเรื่อง ก็อาจจะเป็นประเภทเมียรับจ้างเมียจำเป็นแล้วตอนหลังก็กลายเป็นเมีย จริงๆ หรือไม่นางเอกก็ถูกพระเอกจับไปเป็นเชลยเพื่อแก้แค้น...” เจ้าตัว สาธยายตามเรื่องราวในนิยายที่เคยเขียน
“อีกพล็อตที่ดูจะฮิตอยู่เหมือนกันก็พวกคู่กัด ทะเลาะกันทั้งเรื่อง
ให้คนอ่านตามลุ้น กว่าจะมาลงเอยรักกันได้ตอนจบ...” พูดแล้วเจ้าตัวก็
ส่ายหน้า แสดงความคิดเห็นต่อ
“ฉันละไม่เช้าใจจริงๆ เลยว่าไอ้ประเภทที่ทะเลาะกันแบบไม่ชอบ ขี้หน้ากันตั้งแต่แรกเห็นเหมือนในนิยายอย่างนี้ แล้วตอนหลังมันจะมา รักกันได้ยังไง”
คนฟังหัวเราะชอบใจ สบตาคนช่างค่อนขอดขัน ๆ เอากล่อง
อาหารเช้ารวมกับพวกขนมขบเคี้ยวที่เตรียมไวใส่ลงตะกร้าปิกนิกสีฟ้า
แล้วเดินนำอีกฝ่ายออกจากห้องอาหาร
“อ้าว...ก็เขียนมากับมือเองไม1ใช่เหรอ เรื่องล่าสุดที่เอามาให้อุ๋ม
อ่าน พระเอกทะเลาะกับนางเอกทั้งเรื่อง แต่ตอนหลังก็รักกันจนได้”
อุมาพรหันมาแซวระหว่างล็อกประตูบ้าน ก่อนเดินมา ยัง'รถส่วนตัวของเธอ
“ก็มันนิยายนี่'นา อยากเขียนให้เป็นยังไงก็ได้ทั้งนั้น...แต่ชีวิตจริง มันคงไม่ เป็นอย่างงั้นหรอก” คนเขียนยักไหล่ ทำหน้าเหมือนกับว่าเรื่อง
มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เธอจะทำอะไรได้ “เรื่องใหม่ฉันถึงอยาก
เขียนอะไรที่มันฉีกออกไปจากเดิมไง”
ศมนบอกพลางเดินออกไปเปิดประตูรั้ว ยืนรอเพื่อนเก็บตะกร้า
ไว้บนเบาะหลังและขึ้นประจำที่นี่คนขับจนถอยรถออกจากบ้านเรียบร้อย
จึงได้ปิดประตูลงกลอน ก่อนเปิดประตูรถ ก้าวขึ้นมานั่งช้างคนขับ
“ที่ว่าฉีก...จะฉีกยังไงเหรอ” สาวร่างเล็กถามยิ้ม ๆ
“ฉันว่าจะลองหันมาเขียนแนวลึกลับดูบ้าง แก'ว่า'น่าสนใจมั้ย”
คนพูดตาเป็นประกาย สีหน้ากระตือรือร้น
“แนวลึกลับ ? ลึกลับแค่ไหนล่ะ ถ้าแบบผีหลอกวิญญาณหลอน
ละก็ไม่ต้องเอามาให้ช่วยอ่านนะ อุ๋มกลัว” อุมาพรรีบบอก เพราะศมน
ชอบเอานิยายที่เขียนเสร็จแล้วมาให้เธออ่านเพื่อถามความเห็นเป็นประจำ ก่อนจะขัดเกลาและนำไปล่งให้บรรณาธิการ ด้งนั้นถ้าเจ้าตัวเปลี่ยนแนว
การเขียนแล้วเธอต้องอ่านเรื่องสยองขวัญให้อีกฝ่ายด้วย เธอคงต้อง
ขวัญหนีดีฝ่อแน่ๆ ทีเดียว
“นั่นแหละ ฉันว่าจะเขียนแนวนั้นเลย ท่าทางน่าสนุกดีออก”
นักเขียนสาวหัวเราะ มองเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่อนุบาล
ตาเป็นประกาย ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นโรคกลัวผีขึ้นสมอง ขนาดแค่รูป
โปสเตอร์โฆษณาหน้าตาน่ากลัวตามโรงภาพยนตร์ยังไม่กล้ามองเลย
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)