นวนิยายชุด ดวงดอกไม้ : สร้อยสะบันงา (อุมาริการ์)

นวนิยายชุด ดวงดอกไม้ : สร้อยสะบันงา (อุมาริการ์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160002986
ผู้แต่ง: อุมาริการ์
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 280.00 บาท 70.00 บาท
ประหยัด: 210.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

คืนนั้นมืดสนิทเพราะเป็นเดือนแรมแต่ท้องฟ้าเหนือจังหวัด

พระนครกลับไม่มีดวงดาวพร่างพราวเหมือนตาข่ายเพชรเช่นเคย ด้วยมี

แสงสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้นแทน

แสงนั้นเกิดจากดวงจันทร์กลมโตสีเหลืองนวลที่แขวนลอยอยู่กลางโค้งฟ้า

ดวงจันทร์ในคืนเดือนดับทำให้เด็กหญิงร่างเล็กบาง ผิวเหลืองลออตา

วัยประมาณสิบสองปียืนนิ่งราวกับถูกสะกดอยู่บนหัวบันไดไม้ที่ทอดยาว

ลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง

เหมือนขาของเธอได้แข็งกลายเป็นท่อนหินไปเสียแล้ว ขณะที่ดวงตา

กลมโตก็ขยายขึ้นด้วยความพิศวงและเบิกกว้างมากยิ่งขึ้นเมื่อกวาดสายตา

ไปรอบๆ แล้วพบว่าดวงจันทร์ที่เห็นในตอนแรกแท้จริงคือดวงไฟขนาด

ใหญ่ที่มีจำนวนกว่าสิบดวง ทำให้เมืองทั้งเมืองสว่างจนเกือบเหมือนกลางวัน

เลยทีเดียว

เมื่อเธอขยี้ตามองอีกครั้ง ก็เห็นว่าดวงไฟเหล่านั้นมีร่มชูชีพติดอยู่

ด้วย เลยลอยละล่องอยู่กลางอากาศราวกับพระจันทร์วันเพ็ญ และถ้าเดา

ไม่ผิดพวกมันคงถูกปล่อยลงมาจากท้องเครื่องบินรบขนาดใหญ่ที่ส่งเสียง

ครางกระหึ่มอยู่เหนือศีรษะ เพื่อทำหน้าที่เป็นตะเกียงส่องสว่างให้นักบิน

บนเครื่องบินรบเหล่านั้น ปล่อยระเบิดทำลายเป้าหมายได้ชัดเจนแม่นยำยิ่งขึ้น

ทั้งที่รู้ว่าภาพตรงหน้าเป็นความสวยงามที่มาพร้อมมฤตยูอัน

โหดร้าย ทว่าเด็กหญิงกลับไม่สามารถถอนสายตาออกมาได้ และคงจะยืน

มองดวงไฟเหล่านั้นต่อไปอีกนานถ้าเสียงสัญญาณภัยทางอากาศไม่กรีด

ผ่านโสตประสาทพร้อมกระชากรั้งสติของเธอให้กลับคืนมา

แล้วตอนนั้นเองที่เด็กหญิงพบว่ารอบๆ ตัวมีเพียงความว่างเปล่า

ความหนาวยะเยือกแล่นเข้าจับขั้วหัวใจ มือและเท้าเย็นเฉียบราวกับ

แช่น้ำมาทั้งวันเมื่อคิดว่าบิดา มารดา กับพี่ชาย คงรีบร้อนลงจากเรือนไป

เสียตั้งแต่ตอนแรกที่ได้ยินเสียงเตือนแล้ว พวกเขาคงคิดว่าเธอจะต้องรีบ

ตามไปติดๆ ไม่ใช่มัวยืนนิ่งเป็นหินเพราะภาพประหลาดแปลกตาตรงหน้าเช่นนี้

เท้าเล็กๆ เปลือยเปล่าจึงรีบซอยลงบันไดไม้เก่าคร่ำคร่าไปในอาการ

ที่เรียกว่ากระโจน ทว่ายังช้าไปกว่าเสียงกึกก้องที่ดังขึ้น

บรึ้ม!

ความตกใจทำให้เด็กหญิงกรีดร้องอย่างขวัญเสีย และก้าวเท้าพลาด

จากขั้นบันไดถัดไป เธอหลับตาแน่นตอนร่างลอยละลิ่วกลางอากาศก่อน

หล่นลงพื้นในวินาทีต่อมา

คิดว่าจะต้องเจ็บปวดจากแรงกระแทกเสียแล้ว ทว่าสิ่งที่รองรับร่าง

เธออยู่ไม่ใช่บ่อล้างเท้าปูนซีเมนต์อย่างที่คิดไว้แต่กลับเป็นร่างอบอุ่น

แข็งแรงของใครบางคน เมื่อเงยหน้าขึ้น เด็กหญิงก็พบว่ากำลังจ้องลึก

เข้าไปในดวงตาคู่เรียวรีสีน้ำตาลอ่อนที่ล้อมกรอบด้วยขนตายาวหนาของ

เด็กหนุ่มแปลกหน้าซึ่งไม่เคยพบมาก่อน ผิวของเขาขาวจัดเสียจนเกือบ

เป็นเรืองแสงท่ามกลางความสว่างจ้าจากแรงระเบิด ขณะเดียวกันเสียงห้าว

ทุ้มของฝ่ายนั้นก็ดังขึ้นอย่างร้อนรนแกมวิตก พร้อมมืออุ่นจัดที่ลูบสะเปะ-

สะปะไปทั่วร่างเล็กบางด้วยความห่วงใย

“เป็นอะไรหรือเปล่าหมวย”

“จุก”

เด็กหญิงพึมพำพร้อมสูดปาก ขณะที่คนถามผ่อนลมหายใจคล้าย

โล่งใจที่คนตอบไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ก่อนจะฉุดแขนผอมบางของเธอ

ขึ้นอย่างว่องไวแล้วสั่งเสียงเฉียบขาดว่า

“ลุกเร็ว”

คนถูกสั่งพยักหน้ารับ แต่ต้องสูดปากอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพบว่าข้อเท้า

เจ็บแปลบอย่างคาดไม่ถึง

“เป็นอะไรอีก” ฝ่ายนั้นหันมาถาม เสียงเขาฉายแววกังวลอย่าง

เห็นได้ชัด

“สงสัยข้อเท้าจะแพลง”

เด็กหญิงตอบก่อนสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้

ดูเหมือนจะใกล้กว่าเดิม

“เรือบินมาอีกแล้ว” เขาบอก พร้อมแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่าง

ว้าวุ่นใจ แล้วตัดสินใจในฉับพลัน ด้วยการทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วหันหลังให้

“ขึ้นหลังเฮียเร็ว”

เด็กหญิงลังเลกับคำสั่งนั้น เธออายุสิบสองปีแล้ว ถึงจะไม่ได้ไว้

ผมจุกอย่างเด็กวัยเดียวกัน ทว่าก็เรียกได้ว่าใกล้วัยโกนจุกเต็มทีหรือพูด

ง่ายๆ ก็เกือบจะเป็นสาวแล้วนั่นเอง การจะให้ขึ้นขี่หลังเด็กหนุ่มแปลกหน้า

เลยเป็นเรื่องชวนตะขิดตะขวงใจไม่น้อย

“เร็วสิ เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดหรอก” ฝ่ายนั้นสั่งเสียงเข้ม ทำให้คน

ถูกสั่งกลั้นใจตอบ

“ไม่เป็นไร ฉันพอเดินได้”

แล้วก็รีบเดินเขยกออกไปทางคันนาหลังบ้าน แต่เหมือนเธอจะ

สาวเท้าไม่ทันใจอีกฝ่าย เพราะก้าวออกไปได้ไม่เกินสามก้าว ก็พบว่าถูกหิ้ว

ขึ้นจากพื้นจนตัวลอยหวือผ่านอากาศเสียแล้ว

“ว้าย!” เธออุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนเงื้อกำปั้นทุบ

แผ่นหลังของอีกฝ่ายแรงๆ “จะทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ”

“เงียบน่ะ!”

คนตัวโตกว่าดุ ขณะแบกเธอขึ้นบ่าแล้ววิ่งพรวดๆ เข้าไปยังทุ่งนา

หลังบ้าน พร้อมๆ กับที่เด็กหญิงได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้ว

ฝ่ายนั้นก็พาเธอพุ่งลงไปยังคูข้างบ้านที่ล้อมรอบไปด้วยกอไผ่ ปกติแล้ว

คูแห่งนี้เป็นที่ที่ครอบครัวของเธอใช้แทนหลุมหลบภัย ถึงขนาดเอาเสื่อและ

ฟางข้าวมาปูรอไว้ในช่วงเดือนหงายที่เครื่องบินชอบมาทิ้งระเบิดเสียด้วยซ้ำ

ทว่าคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดแต่เครื่องบินเหล่านั้นกลับไม่หยุดทิ้งระเบิด

อย่างเช่นเคย ทุกคนเลยแตกตื่นหนีกันไปหมด

คูน้ำที่แห้งผากเพราะรอฝนแรกเลยมีเพียงเธอกับเขาแค่สองคน

ความหวาดกลัวทำให้คนตัวเล็กกว่าจับสาบเสื้อคนตัวโตแน่น และ

ซุกหน้าเข้าหาแผ่นอกแข็งตึงเหมือนลูกนกซุกเข้าหาไออุ่นจากอกแม่ กลิ่นดิน

และฟางข้าวรวยรินเข้าจมูก ผสมกับกลิ่นเหงื่อบางๆ ของเด็กหนุ่มแปลกหน้า

เด็กหญิงเลยรู้สึกเหมือนในทรวงอกมีกลองเพลตีรัวพร้อมกันหลายใบ

ซ้ำเสียงกลองในอกดูเหมือนจะดังกว่าเสียงระเบิดที่กึกก้องเมื่อครู่เสียอีก

แต่แทนที่เธอจะหวาดกลัวกลับรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด โดยเฉพาะเมื่อ

ฝ่ามืออุ่นจัดของอีกฝ่ายลูบหลังให้อย่างปลอบประโลม พร้อมเสียงห้าว

กระซิบที่ข้างหูว่า

“ไม่ต้องกลัวนะ เฮียอยู่นี่แล้ว”

ศีรษะเล็กผงกรับคำ แต่ไม่โต้ตอบออกมา ในใจเฝ้าสงสัยว่าเด็กหนุ่ม

แปลกหน้าที่ช่วยเธอเอาไว้เป็นใคร เพราะในละแวกคลองแสนแสบแห่งนี้

มีคนจีนอยู่ไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นชาวนาหรือไม่ก็เป็นพวกพระน้ำ

พระยากับคหบดีที่ย้ายหนีภัยสงครามจากเขตอำเภอชั้นในเสียละมากกว่า

แต่คนเหล่านั้นไม่แทนตัวว่า ‘เฮีย’ และเรียกเธอว่า ‘หมวย’ แน่นอน

ยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับครอบครัวของเด็กหญิงเลยด้วยซ้ำ

ก็ใครกันเล่าจะอยากจะสนิทสนมกับพวกลูกหลานกบฏอย่างพวกเธอ

จริงอยู่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นนับได้สิบเอ็ดปีแล้ว แต่

ดูเหมือนไม่มีใครยอมลืมเรื่องนี้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อปู่ของเธอคือ พลโท

พระยาราชไกรสีห์สงคราม หรือ ขจร วงศ์โกสุม กับ จิก ลูกชายคนโตของ

ท่าน หรือพันโทพระกำราบศึกจำนน ได้เข้าร่วมกับคณะกู้บ้านกู้เมือง

ของพระองค์เจ้าบวรเดชจนเกิดการสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลอยู่สองสัปดาห์

จน`ลุงของเธอเสียชีวิตระหว่างการปะทะ และปู่ของเธอต้องลี้ภัยไปอยู่อินโดจีน

ส่วนโกสนบิดาของเธอหรือร้อยเอกหลวงชัยณรงค์ภักดีนั้นภายหลัง

ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับการที่ท่านผู้นำประเทศถูกลอบทำร้าย

เธอไม่รู้ว่าท่านทำอย่างนั้นจริงหรือเปล่า แต่ยังจำภาพผู้บังเกิดเกล้า

ที่ซมซานกลับมาบ้านในค่ำคืนหนึ่งได้ติดตา

เนื้อตัวบิดาเต็มไปด้วยริ้วรอยขีดข่วน และมีบาดแผลฉกรรจ์

ที่ต้นขา ทำให้เจ็บเพ้อไข้ขึ้นอยู่หลายคืน ตอนนั้นพี่ชายกระซิบว่าบิดา

โดนยิง ขณะที่มารดาไม่ได้พูดอะไร เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำแผลให้สามี

แทนที่จะตามหมอพื้นบ้านมารักษาอย่างที่ควรจะเป็น

เรื่องนี้แม้แต่พวกลาวเวียงจันทน์จากบ้านแถวในละแวกใกล้เคียงที่

มารับจ้างทำนาในเขตที่ดินของบิดาก็ยังไม่รู้ พวกเขาคิดว่าโกสนติดไข้ป่า

มาจากการเดินทางครั้งล่าสุด

ทว่าทุกคนในบ้านก็ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดในข้อนี้ โชคดีเรื่องนี้

เกิดขึ้นก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพาจะอุบัติขึ้น และตอนนั้นเขตคลอง

แสนแสบที่พวกเธอพักอยู่ยังคงเป็นทุ่งนาเปลี่ยว จะพูดว่าไกลปืนเที่ยง

ก็ไม่ผิดนัก เพื่อนบ้านที่ตั้งบ้านเรือนใกล้ที่สุด ก็อยู่ห่างออกไปอีกคุ้งน้ำ

ซ้ำผู้ใหญ่บ้านก็แต่งงานกับคนรับใช้สนิทของครอบครัวซึ่งติดสอยห้อย

ตามมารดามาจากเชียงใหม่ เรื่องไข้ป่าที่แปลกประหลาดจนลามไปถึงขา

ของโกสนเลยไม่มีใครใส่ใจมากนัก

หลังจากนั้นอีกหลายเดือนต่อมาบิดาของเธอก็ถูกคนของทางการ

มาตามตัวไปในเขตพระนครหลายครั้ง บางครั้งก็หายไปหลายวัน ที่นาน

ที่สุดกินเวลาถึงสองเดือน เด็กหญิงมารู้ภายหลังว่าท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่

รัฐบาลลงความเห็นว่าทำผิดคิดร้ายต่อแผ่นดิน เลยถูกนำไปขังที่สันติบาล

ปทุมวัน เพื่อสอบปากคำเกี่ยวกับเรื่องกบฏที่เกิดขึ้นหลังเปลี่ยนแปลง

การปกครองรวมไปถึงการลอบทำร้ายนายกรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นหลายครั้ง

แต่โกสนก็รอดกลับมาได้ หลังจากนั้นร่างกายผู้บังเกิดเกล้าก็เริ่ม

อ่อนแอลงเรื่อยๆ ท่านจำกัดตัวเองอยู่แต่เฉพาะในเขตที่ดิน ยิ่งมีพวก

ผู้ลากมากดีจากอำเภอชั้นในพระนครย้ายมาอยู่ริมคลองแสนแสบมากขึ้น

เท่าไร โกสนก็ยิ่งเก็บตัวหนักขึ้นเท่านั้น ซ้ำยังสั่งไม่ให้เธอกับพี่ชายเข้าไป

ข้องเกี่ยวกับคนพวกนั้นด้วย

พวกที่โกสนลงความเห็นว่าเป็นพวกผู้ดีใหม่ นามสกุลเกิด

เมื่อวานซืน หรือมิฉะนั้นก็เป็นพวกขุนนางหัวสมัยกับเจ๊กอวดรวย

สงสัยเหลือเกินว่าถ้าผู้บังเกิดเกล้ารู้ว่าคืนนี้บุตรสาวถูกบุตรชาย

เจ๊กอวดรวยคนหนึ่งช่วยชีวิตเอาไว้ ท่านจะว่าอย่างไร

แล้วความคิดของเธอก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงท้องร้องดัง

สำหรับเด็กหญิงแล้ว เสียงนั้นดังพอๆ กับเสียงระเบิดที่ทิ้งในเขต

พระนครเลยทีเดียว และคนที่เธอนั่งอิงแอบอยู่ก็คงได้ยินด้วยเหมือนกัน

เพราะเขาก้มหน้าลงมาหาเธอแทบจะทันที

“หิวหรือ”

“เปล่า” ตอบทั้งๆ ที่แก้มร้อนผ่าว แล้วรีบหลับตาหนีสายตาคมกริบของอีกฝ่าย

ไม่ต้องการสบตาฝ่ายนั้น จะได้ไม่ต้องถูกตั้งคำถามที่ชวนอึดอัดใจอีก

แล้วเด็กหญิงก็ผล็อยหลับไปในที่สุด มารู้สึกตัวอีกที เมื่อร่างกาย

คล้ายถูกโยนเป็นจังหวะ และพอปรือตาขึ้นก็พบว่าเรือนไม้หลังใหญ่ของ

บิดาตั้งอยู่ตรงหน้าท่ามกลางแสงสว่างของรุ่งอรุณที่ส่องให้เห็นบริเวณโดย

รอบอย่างเลือนราง

เด็กหนุ่มแปลกหน้าคงอุ้มเธอกลับมาส่งที่บ้านหลังจากที่เขา

แน่ใจว่าเครื่องบินรบเหล่านั้นบินจากไปหมดแล้ว

ใบหน้าขาวจัดแต่ไม่จืดตาอย่างลูกคนจีนทั่วไปเพราะมีไรเคราเขียวๆ

ที่ข้างแก้มและเหนือเรียวปาก ก้มลงมองเธออย่างเอ็นดู ทำให้เด็กหญิง

เพิ่งเห็นว่าจมูกฝ่ายนั้นโด่งขึ้นสันแข็งแรงรับกับปลายงุ้มนิดๆ คล้ายจมูก

เหยี่ยว ขณะคิ้วของเขาหนาเป็นสีดำขลับและตวัดสู่ขมับ เหมือนใครแกล้ง

ตวัดพู่กันขึ้นเฉียง ริมฝีปากกว้างได้รูปอย่างคนใจดีคลี่ยิ้มนิดๆ ท่ามกลาง

แสงสีเงินสีทองของเช้าวันใหม่ เมื่อได้ยินเธอส่งเสียงหาวออกมาเบาๆ

“ถึงบ้านแล้ว”

ฝ่ายนั้นบอก ก่อนปล่อยเธอลงจากอ้อมแขนให้ยืนอยู่ใต้ซุ้มกระดังงา

แล้วขบริมฝีปากคล้ายครุ่นคิด ขณะทอดสายตาขึ้นไปบนเรือนไม้หลังใหญ่

ที่ยกพื้นสูงทางด้านหลัง จากนั้นถึงอุทานออกมาว่า

“อพิโธ่! นึกแล้วไม่ผิด ว่านี่ต้องเป็นบ้านสาละแน่ๆ”

“พี่มีธุระอะไรกับคุณพี่”

เด็กหญิงถามก่อนปิดปากหาว ทำให้รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้า

ขาวเหมือนหยกสลักอีกครั้ง คราวนี้สายตาของเขาทอดมองมาที่เธออย่าง

พิจารณามากขึ้น และไม่ได้ตอบคำถามนั้น ทว่ากลับตั้งคำถามขึ้นเสียเอง

“เธอเป็นน้องสาวของสาละหรือ”

“จ้ะ”

“มิน่า รูปร่างหน้าตาไม่ผิดกันเลย” ฝ่ายนั้นวิจารณ์ ก่อนพูดต่อว่า

“งั้นเฮียฝากเงินนี่ให้เขาด้วย บอกเขาว่าเป็นเงินที่เขาจะมาตกข้าวกับเฮีย”

พูดจบก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขายาวที่สวมอยู่ แล้วหยิบ

ธนบัตรใบละยี่สิบบาทฟ่อนหนึ่งมายัดใส่มือเธอว่องไว ขณะที่เด็กหญิง

ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก

รู้แต่ว่าการตกข้าวที่ว่าคือการที่สาละพี่ชายของเธอไปขอยืมเงิน

อีกฝ่ายมาก่อน พอเก็บเกี่ยวในนาเสร็จก็จะใช้หนี้ด้วยข้าวเปลือกตาม

จำนวนที่ตกลงเอาไว้

แต่...

การไปตกข้าวครั้งนี้ บิดารู้หรือยัง

เด็กหญิงครุ่นคิดเลยไม่ทันได้กล่าวขอบคุณหรือล่ำลาอีกฝ่าย มา

รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงห้าวทุ้มบอกลาแว่วๆ ว่า

“ไปก่อนนะหมวย”

พยักหน้ารับ ค่อยตาสว่างขึ้นมาบ้าง พลันนึกอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาได้

เลยรีบตะโกนถามอีกฝ่ายออกไป

“เดี๋ยว...พี่ชื่ออะไรน่ะ”

เสียงถามของเธอทำให้ร่างสูงเก้งก้างของฝ่ายนั้นชะงักไปนิดหนึ่ง

ก่อนตอบว่า

“เทียน...เทียน แซ่ลี้ แล้วหมวยล่ะ” ดวงตาเรียวรีของคนถามหันมา

มองอย่างสนใจ

เด็กหญิงกระแอมในลำคอนิดหนึ่ง เพราะรู้มาตั้งแต่จำความได้แล้ว

ว่าเธอแตกต่างจากเด็กหญิงคนอื่นๆ ในละแวกคลองแสนแสบแห่งนี้

มากนัก

เริ่มกันตั้งแต่ทรงผมเลยทีเดียว จริงอยู่ที่เด็กหญิงในแถบนี้ไม่ค่อย

มีใครเกล้าผมจุกอย่างในแผ่นดินก่อนกันแล้ว ทว่าก็หาคนที่ไว้ผมยาวถึง

                            (ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

ยิ่งดิ้นรนแสวงหา สิ่งที่ไขว่คว้ากลับยิ่งหลุดลอย แต่ความรักอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลือในมือเธอ เมืองไทยยุคหลังสงครามโลก ผู้คนไม่ว่าสูงส่งหรือต่ำศักดิ์ล้วนได้รับแรงกระทบ ?สร้อยสะบันงา? ต้องเผชิญความยากแค้นเพราะผลพวงของสงคราม พ่อผู้หยิ่งทะนงในความเป็นขุนนางเก่ากดดันให้เธอต้องพุ่งทะยานไปสู่ชีวิตบนวิมานที่ครอบครัวเคยร่วงลงมา แต่ไม่ว่ายามหิวโหย ไร้แม้ข้าวสักเม็ดจะกรอกหม้อที่บ้านริมคลอง หรือยามอิ่มสุขเมื่ออยู่ในวังกับญาติผู้ดีมีตระกูล เธอก็มี ?เทียน? หนุ่มลูกเจ๊กข้างบ้านที่ใครๆ หยามเหยียดคอยดูแลเคียงข้างอยู่เสมอ เธอรุ่มร้อนมุ่งมั่น...เขาอบอุ่นเหมือนแสงตะวัน... ระหว่างพี่ชายที่แสนดีกับน้องสาวผู้ไม่เคยหยุดไขว่คว้า ท้ายที่สุดแล้ว สองหัวใจต้องพิสูจน์ว่าทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกันหรือไม่


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024