เปลวไฟกลางสายธาร

เปลวไฟกลางสายธาร

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160009008
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 140.00 บาท 35.00 บาท
ประหยัด: 105.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ปัจจุบันขณะ

๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒

 

การมาครั้งนี้ได้ขอร้องให้พวกเราเอาอะไรมาให้น้อยที่สุด เพื่อจะได้

สัมผัสชีวิตที่เปล่าเปลือย มีสมบัติชิ้นเดียวคือสติรู้ตัว พอเพียงไหมที่

เราจะตระหนักชัดถึงความหมายของการดำรงชีวิตตลอดเวลาที่แล้วมา

เราอิงบนระบบ อิงบนเงิน แม้แต่บัตรประชาชนก็เป็นที่พึ่งของเรา

เมื่อตำรวจจะจับเราก็ยื่นให้แล้วบอกว่า ผมมีทะเบียน นี่เป็นความ

หวาดกลัวใช่ไหม สมมติว่าบัตรประชาชนหาย หรือว่าอะไรหายสัก

อย่าง เรารู้สึกว่าเราขาดความเป็นตัวของตัวเองไปหรือเปล่า?

 

การที่เรามารวมกันมากๆ เป็นกลุ่มหรือเป็นชุมชน ส่วนหนึ่งมัน

ให้สวัสดิการแก่เรา แต่ส่วนหนึ่งมันให้การคิดเปรียบเทียบแล้วส่งผล

เนื่องเป็นความหวาดกลัว ตัวความหวาดกลัวก็เป็นตัวกำหนด

พฤติกรรมของเรา ให้เราต้องกระทำกรรมคล้อยตามคนอื่รโดยไม่กล้า

คัดค้านต้านทานใดๆ หมายความว่าเราไม่กล้าที่จะให้ชีวิตอิสระ เช่น

จะไปนั่งเงียบคนเดียวก็รู้สึกหวาดเสียว มันกลัว เพราะเคยอิงกัน

เหมือนกับสัตว์เซลล์เดียวเล็กๆ ถูกอัดอยู่ในที่เดียวกัน มันก็เกิดความ

พิการ เดี๋ยวนี้เราอาจจะพิการแล้วโดยไม่รู้สึกตัว การที่เราเชื่อครูบา-

อาจารย์หรือยึดถือในแนวคิดทฤษฎีอันหนึ่งอันใด บางทีเป็นเครื่องหมาย

ของความพิการทางจิต เพราะถ้าหากเราไม่เชื่ออะไรสักสิ่งหนึ่ง เราคง

คิดว่าเราน่าจะอยู่ไม่ได้ เราจะต้องตายเสียแน่แท้ ดังนั้นเราต้องอ้าง

ชื่ออาจารย์ของเราหรืออ้างความเป็นชาวพุทธ ชาวคริสต์ อะไรทั้งหลาย

ซึ่งอาจจะแสดงถึงความบกพร่องของวิญญาณ พวกเรานั้นจึงไม่กล้าพอที่

จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากลัทธิ ค่ายของลัทธิที่เกิดขึ้นแล้วนั่นเองดึงดูดให้เรา

แสวงหาเสถียรภาพ มันเป็นเสมือนแหล่งที่สัตว์ต่างๆ วิ่ง

เข้าไปฝังหัวลัทธิความเชื่อนั้น เหมือนกับฝักบัวซึ่งลูกบัวทุกลูกอยู่ใน

นั้น แล้วเราพยายามที่จะให้มันอัดกันอยู่เช่นนั้น ทีนี้พอไม่เหมือน เรา

ก็คลางแคลงและร้อนใจไปต่างๆ นานา แม้ว่าบางทีการที่ไม่เหมือนนี้

เราอาจจะดีกว่าหรือตกต่ำกว่า ก็เป็นได้ทั้งสองทาง

 

การเรียนรู้ถึงความล้มเหลวของมนุษย์ไม่ว่าในส่วนตัว หรือการดำรงอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน ก็คือการเรียนรู้ถึงปัญหาของอหังการ์ของมนุษย์

อหังการ์ที่จัดสรรชีวิต ออกแบบชีวิตอย่างโน้นอย่างนี้ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ แล้วพบแต่ปัญหาหมักหมมเข้าทุกที เหมือนกับเราเดินไปข้างหน้าแล้วตัน

ในที่สุดเราเฉลียวใจในภาวะเดิมของเรา เมื่อคิดว่าทุกทิศทางที่เราตีฝ่าไปแล้วนั้นไร้สาระ ดังนั้นก็เหลืออีกสิ่งเดียวเท่านั้น เมื่อจิตเราปรุงไปหลายทิศทางแล้ว

เราค้นพบว่าเราไม่ได้อะไรในการคิดนึกปรุงแต่งไป มันจะไปถึงจุดเกิดเอือมระอา อย่ากลัวต่อความเอือมระอาเช่นนั้นเหมือนกับเรากินสารพิษเข้าไปแล้วอาเจียนออกมา

อาการอาเจียนเป็นการสำรอกทุกๆ สิ่งออกมาได้ เมื่อเราเจริญสติถึงระดับหนึ่งแล้ว เราจะเกิดความรู้สึกออกมาจากข้างในว่าเบื่อ ซึ่งต่อจากนั้นบุคลิกภาพจะเปลี่ยนแปลง

คือเริ่มมีความเป็นอยู่อย่างจริงใจและจริงแท้

 

ปกตินั้น เรามักใช้ภาษาสนองมายาของเรา สมมติว่าเราอยากให้ทุกคนชอบใจก็พูดให้หวานจับใจคนอื่น เราเรียนรู้มายาอันนี้ตั้งแต่เล็ก

เมื่อเราต้องการทานขนมจากแม่ เราก็ทำเป็นกอด เอามือแม่มาทาบที่ข้างแก้ม เดี๋ยวเราก็ได้ขนม การณ์เช่นนี้เราเป็นอยู่และเราเรียนรู้มันทุกวัน ซึ่งเรียกว่ามารยาท

และมารยาทก็คือมารยานั่นเอง แต่เมื่อใดที่เรากลับมายังใจของเรา ‘รู้ตัว’ มันจะเริ่มเอียนต่อการเสแสร้งแกล้งทำ และทีนี้ เราจะเริ่มพูดความจริง

การงานของเราจะเริ่มสะท้อนออกจากความจริงใจ ใจของเราเริ่มแสดงออก ไม่ใช่มายาภาพ

 

ช่างโบราณนั้น เขาแกะสลักบานประตูหน้าต่างได้งดงามเป็น

อัศจรรย์ เมื่อเราเห็นบานประตูหน้าต่าง เราเห็น ‘ใจ’ ของเขาได้ทันที

มันสะท้อนออกตรงๆ หมายความว่า การมีชีวิตอยู่อย่างชัดเจน

นั่นเองเป็นตัวกำหนดผลงาน การพูด การเขียน การคิด การกระทำ

การคบมิตรก็ชัดเจน ในที่สุดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีเมื่อมายาภาพ

สลายลง ธรรมชาติแท้จริงของชีวิตก็ปรากฏแทน เหมือนเมฆหมอกที่

จางไป การเห็นประจักษ์ก็เกิดขึ้น มันมีลำดับว่า เมื่อมายาภาพสลาย

ลงความจริงแท้ก็ปรากฏ แต่ความจริงแท้ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นจนถึง

ความจริงสูงสุด คือความจริงเรื่องมีอยู่-ไม่มีอยู่ของธรรม ความจริง

เรื่องความเป็นสญู-สุญตาเรื่องนี้เราคงไว้พูดกันวันหลังให้ละเอียดต่อความหมายของคำว่าความเป็นสูญ คือเราจะมาถึงสภาพที่มีชีวิตอยู่ที่เป็นสูญ

ซึ่งในสภาพของความสูญเช่นนี้ เป็นสภาพที่เห็นแจ้งทุกสิ่งตามที่เป็นจริงอยู่แล้ว

 

ต่อจากนี้ก็ลองมาทำสมาธิ ไม่อยากใช้คำว่าสมาธิ เราใช้กันจนชินแล้ว พอบอกว่า เอาละ นั่งสมาธิ! เอากันใหญ่เลย เกร็งจะให้สมาธิเกิดออกมาให้ได้

ซึ่งเป็นเรื่องผิดพลาด ทำอย่างนั้นเป็นการขับไล่สมาธิออกไปให้พ้นจากตัวเรา แล้วครู่เดียวจะพบกับความขัดแย้ง ไม่มีสมาธิใดเกิดขึ้น และถ้ามันเกิดจากการบีบบังคับ สมาธิเช่นนั้นก็เป็นสิ่ง

ชั่วคราว เพียงนั่งตามสบาย นั่งเหมือนเรารอให้พระอาทิตย์ขึ้น ไม่เร่ง

รีบ ปล่อยให้กระบวนการของชีวิตไหลต่อเนื่องเหมือนลำธาร ถ้าเราขุดร่องน้ำให้มีความลาดเอียง น้ำจะไหลไปตามลำดับ ไม่ต้องไปบังคับ

ขู่เข็ญอะไรมัน ดังนั้น นั่งลงในท่าที่สบาย แล้วเฝ้าดู อย่ายึดอย่าถือสิ่งใดๆ ในโลก

 

เมื่อนอนในที่สบาย เราต้องตั้งสติ แล้วก็เลี่ยงจากที่สบายมาก

จนไม่อาจตั้งสติได้ อันนี้ต้องเลี่ยงไปเลย ต้องวิรัติบางส่วน ต้องสังวร

บางส่วน สังวรหมายถึงตั้งสติ ยกตัวอย่างเรื่องกาม กามวิรัตินั้นเรื่อง

หนึ่ง กามสังวรนั้นเรื่องหนึ่ง นักบวชต้องวิรัติ—เว้นจากการมุ่งเสพเสวย

กาม คฤหัสถ์เพียงตั้งสติสังวรสำรวมในกาม

เสื้อผ้าอาภรณ์ บ้านช่อง รูปแบบมาตรฐานบางชนิดต้องสังวร

เพราะมันไม่อาจวิรัติได้ ในส่วนที่เราต้องสังวร เช่น อาหารที่ติดอก

ติดใจเรานั้นต้องสังวร ต้องรู้สึกตัว สถานเริงรมย์บางแห่งต้องวิรัติ คือ

จะพูดว่า ผมไปฝึกสติในบาร์ ก็ต้องสังวร ต้องระวัง มันจะเป็นเรื่อง

ลวงตัวเองไป สถานที่อย่างนั้นต้องวิรัติ (เว้น) สิ่งที่ต้องสังวร เช่นเราต้องกินอาหาร

สวมเสื้อผ้า ต้องพูดคุยกับผู้คน นี้ต้องสังวร มีสติ ส่วนวิรัติ เช่น เรื่องการคบคนพาล

คนพาลนั้นถ้าเราสติไม่ดีพอแล้ว มักชักให้เสีย ดังนั้นอันนี้ต้องรู้ ต้องเป็นผู้ที่ปกป้องตัวเองเป็น ถ้าไม่รู้ เราก็

จะวิ่งเข้าไปหาความสะดวกสบาย ในที่สุดมันก็ทำลายเรา คือกลาย

เป็นคนที่ไม่อาจมีอิสระโดดเด่นได้ จะไปไหนก็ต้องเต็มไปด้วยเครื่อง

ปรนเปรอ จำนวนหีบห่อสัมภาระก็จะบอกถึงความอิสระ หรือความตกเป็นทาสของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น

เครื่องสำอาง ว่ากันจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็น แล้วก็อารมณ์บางชนิด เช่น การพูดเล่นบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูด เราไปเสียเวลา ไปทำลายสมาธิ

ทำลายกำลังภายในของเรา เมื่อเราคุยกับเพื่อน หัวเราะกันบ้างนี้ต้อง

สังวร และการสนทนาบางเรื่องก็ต้องเว้นเลย

 

เราไม่สามารถเจริญสติได้ในบางที่ ในโอกาสหรือกับบุคคลหรือในอารมณ์เช่นนั้น เพราะมันแรง นี่ต้องเว้น เรื่องวิรัติ เรื่องสังวรนี่ มัน

เป็นธรรมชาติของชีวิต ปลาทุกตัวมันจะรู้ที่อยู่ของมัน มันวิรัติบางที่

ปลาบางชนดิ มนั ไม่เข้าไปในกระแสน้ำเชี่ยวที่เชี่ยวกราก มันรู้ มันต้องตายแน่ๆ มันก็เลี่ยงมาอยู่ที่น้ำไหลช้าๆ มันเว้นบางที่ และก็สำรวม

ระวังอยู่ ไม่ใช่ว่ามันคิดเป็น แต่ว่าโดยสัญชาตญาณของการดำรงชีวิตเป็นเช่นนั้น ทีนี้มนุษย์เรามีสติและปัญญา พร้อมๆ กันนั้น เรา

มีความเพลินในอารมณืด้วย ความเพลิดเพลินคืออาการที่เราติด บางทีเราติดเพื่อน หรือไม่ได้คุยกับเพื่อน เรารู้สึกเหมือนว่าจะอยู่ไม่ได้

การติดเช่นนี้ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว นับว่าเป็นอุปสรรคทีเดียว การที่ต้องฝากชีวิตไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถือว่าเป็นการสูญสิ้นอิสรภาพ

ไม่ว่าอิงอยู่บนแม่หรือพ่อหรือว่าอาจารย์ การปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นหรืออิสระนั้นต้อง

ย้อนมาพึ่งธรรมชาติล้วนๆ ของชีวิต ธรรมชาติล้วนๆ นั้นคืออันใด?

เมื่อหิวโหยอย่าคร่ำครวญ ไม่ต้องออดอ้อนใครเมื่อหิว ให้พึ่งความหิวนั่นเอง ฟังเช่นนี้รู้สึกว่าจะลำบาก เพราะคนทั่วไปนั้นมักต้องการจะพึ่ง

 

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

“รากฐานของการศึกษาก็คือชีวิต และจุดหมายปลายทางของการศึกษาก็เพื่อชีวิต ชีวิตที่เป็นอยู่ขณะนี้ยิ่งใหญ่กว่าอดีต จริงแท้กว่าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ สำคัญยิ่งกว่าชีวิตในช่วงขณะข้างหน้า ชีวิตไม่อาจเป็นเพียงแสงสะท้อน ไม่อาจเป็นความทรงจำเก่าๆ หรือคาดคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ชีวิตเป็นสิ่งซึ่งทรงอยู่ในขณะนี้”


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024