มยุรมนตรา (อรพิม)

มยุรมนตรา (อรพิม)

1 รีวิว  1 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165001229
ของหมดถาวร (ต้องการสินค้า)
ราคา: 270.00 บาท 67.50 บาท
ประหยัด: 202.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำสนิทก้าวลงจากที่นั่งด้านหลังของรถยนต์สีดำ ซึ่งจอดอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง ผมดำยาวถึงกลางหลังของเขาถูกรวบไว้ด้วย หนังยางสีดำตรงท้ายทอย เผยให้เห็นใบหน้าที่มีโหนกแก้มสูงค่อนข้างซูบดูขาว ซีดกว่าปกติ ดวงตาได้รูปสวยเป็นประกายคมกล้ากวาดตามองผ่านประตูไม้

เข้าไปยังบ้านเรือนไทยใต้ถุนสูงอย่างสำรวจตรวจตรา

“ที่นี่งั้นรึ?” ชายหนุ่มถามโดยไม่ละลายตาจากบ้านทรงไทยตรงหน้า บ้าน ที่กินอาณาเขตเกือบไร่ รอบบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุมจนเห็นตัวเรือน ด้านในเพียงบางส่วน

“พ่ะย่ะค่ะ...ที่นี่คือที่อยู่ตามที่รับสั่งให้สืบหา” โภคิน...หนุ่มใหญ่ร่างกำยำ ในชุดสูทคล้ายก้นก้าวลงจากที่นึ่งคนขับ เดินอ้อมตัวรถมากล่าวตอบ ก่อน

จะเดินไปกดกริ่งหน้าประตูบ้าน และกลับมายืนเยื้องไปด้านหลังของผู้เป็นนาย

สักพักประตูไม้หน้าบ้านจึงเปิดออก หญิงกลางคนในชุดผ้าซิ่นกับ

เสื้อลูกไม้สีชมพูเยี่ยมหน้าออกมา นางมองแขกแปลกหน้าทั้งสองอย่างสงสัย

โภคินจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

“บ้านของคุณอุรวสีใช่มั้ย พวกเรามาขอพบคุณอุรวสีครับ”

 

แม้นํ้าเสียงผู้พูดจะฟังดูแปร่งๆ สูง ตํ่า และตวัดเสียงในตอนท้าย หาก

ท่าทีสุภาพของเขาก็ทำให้อาภาคลายใจ ลดความระวังลง หล่อนสบตาผู้พูดอย่าง เป็นมิตร ก่อนล่งยิ้มและเปิดประตูหน้าบ้านให้กว้าง พร้อมบอกด้วยนํ้าเสียง

สุภาพพอกันว่า

“เชิญเข้ามาในบ้านก่อนค่ะ ดิฉันจะไปเรียนคุณผู้หญิงว่ามีแขกมาขอพบ” ชายอ่อนวัยกว่าพยักหน้าให้ลูกน้องเดินนำเข้าไปก่อน ส่วนเขาเดินตาม

หลังไปช้าๆ ระหว่างนั้นสายตาก็สอดล่องไปยังสวนหน้าบ้านซึ่งมีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้น เต็มทั้งสองฟาก แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาตลอดทางเดิน อาภาเร่งฝีเท้าแซงขึ้นไป

นำทางอยู่หน้าโภคิน ก่อนหยุดรออยู่ตรงหน้าบันไดไม้ที่จะนำทางขึ้นสู่ตัวเรือน

คนรั้งท้ายมัวแต่เดินชมความร่มรี่นของสวนด้วยความสนใจ ทั้งต้นจำปี จำปา พิกุล ยี่โถ ตลอดจนไม้ผลอย่างมะละกอ มะม่วง และฝรั่ง จนไม่ทันได้

สังเกตว่ามีใครบางคนนั่งอยู่บนกิ่งของต้นมะม่วงต้นที่เขากำลังเดินผ่าน กระทั่ง มะม่วงลูกหนึ่งหล่นมากระทบศีรษะเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย...” ชายหนุ่มร้อง ยกมือกุมศีรษะหน้านิ่วพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมอง ที่มาของมะม่วง พบว่าบนต้นไม้มีเด็กสาวหน้าตามอมแมมนั่งอยู่คนหนึ่ง เจ้า หล่อนท่าตาโต จ้องหน้าเขาอย่างตื่นตกใจ

“ขอโทษค่ะ...ขอโทษ...บัวไม่ได้ตั้งใจ คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”

เจ้าของเสียงใสไม่พูดเปล่า ยกมือไหว้ ร้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ก่อนกระโดดจากต้นมะม่วงลงมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างคล่องแคล่วราวกับ

นักยิมนาสติกกระโดดลงจากบาร์เดี่ยว ท่าเอาคนถูกลอบประทุษร้ายตกใจ ผงะ ถอยหลังจนเกือบล้ม ดีที่ตั้งตัวได้ทัน จึงได้แต่ยืนนึ่ง ขมวดคิ้วมองเจ้าหล่อน

ด้วยสายตาดุๆ

“ตายแล้ว...คุณบัว ท่าอะไรคะ ท่าไมปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้อย่างนั้น คุณแม่ สั่งแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้ปีนต้นไม้อีก นี่ถ้าคุณแม่รู้เข้า คุณต้องถูกท่าโทษอีกแน่”

เสียงร้องโวยวายของอาภาที่รีบวิ่งจากบันไดหน้าบ้านมายืนอยู่ตรงหน้า สาวน้อยหน้าแฉล้ม ท่าให้ใบหน้ากระด้างของชายหนุ่มคลายลง อารมณ์กรุ่นที่ขุ่น เป็นตะกอนในอกถูกเก็บกักเอาไว้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เขาถอนใจยาว หันไป ส่งสายตาปรามโภคินที่รีบเดินกลับมายืนประกบอยู่ข้างกายเขาเอาไร้ ไม่ให้ต่อว่า สาวน้อยตรงหน้าที่บังอาจมาล่วงเกินเขา จากนั้นเจ้าของดวงตาคมจึงหันกลับมา พิจารณาหญิงสาวที่สูงเสยบ่าเขามานิดเดียวอีกครั้ง

วงหน้ารูปไข่คลํ้าแดดประกอบด้วยเครื่องหน้าที่รับกันอย่างเหมาะเจาะ

ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมโต จมูกเชิดรั้นหรือริมฝีปากอิ่มได้รูป แม้จะมีคราบดำ

เปื้อนอยู่สองข้างแก้ม ผมเผ้าที่มัดเป็นหางม้าแลยุ่งเหยิง หากไม่อาจบดบังความ งามผุดผาดของเจ้าหล่อนได้

ชายหนุ่มมองรอยยิ้มประจบที่ประดับอยู่บนใบหน้าเจ้าหล่อนยามเกาะ แขนสตรีสูงวัยด้วยแววตาครุ่นคิด ใบหน้างามที่มีเค้าหน้าละม้ายสตรีที่เขา

อุตส่าห์ดั้นด้นมาพบ ทำให้พอคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับสตรี

เจ้าของบ้านได้ไม่ยาก

“ป้าภาอย่าบอกคุณแม่นะ ไม่รั้นบัวโดนจับนั่งสมาธิอีกหนึ่งเดือนแน่ๆ เลย” นลินตะล่อม มองแม่บ้านวัยกลางคนตาปรอย

อาภาแกล้งปันหน้าดุ ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ถึงจะไม่อยากให้สาว น้อยตรงหน้าถูกทำโทษ แต่นางก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ใจ

นลินหน้าจ๋อย ต้องรีบจํ้าตามหลังแม่บ้านที่หันไปเชื้อเชิญแขกทั้งสอง

ให้เข้าบ้าน และเดินน่าทางไปโดยไม่สนใจหล่อนอีก

นลินซอยเท้าขึ้นบันไดไปบนเรือน เดินตัดลานกว้าง ตรงไปยังเรือน รับรองทางขวามือ เห็นผู้เป็นมารดานั่งพิงหมอนขวานอ่านหนังสืออยู่ลำพังจึงได้ ชะลอฝีเท้า เดินไปบนพื้นไม้เรียบลื่นด้วยทำทางเรียบร้อยกว่าเดิมอีกสิบเท่า

ก่อนจะคลานเข่าเข้าไปนั่งข้างกายมารดา ตรงข้ามกับแขกแปลกหน้าสองคน

อุรวสีเงยหน้าจากหนังสือ มองหน้าแขกที่มาเยือนทั้งสองคนก่อนคลี่ยิ้ม และเอ่ยปากทัก โดยไม่ต้องรอให้อาภารายงาน

“เดินทางมาไกลคงเหนื่อยสินะ อาภาจ๊ะ บอกเด็กๆ ยกน้ำมะตูมมา

รับแขกหน่อยจ้ะ” สั่งแล้วก็ไม่สนใจแม่บ้านที่เดินเลี่ยงออกไป หันมาทางลูกสาว

ที่นั่งปันยิ้มประจบอยู่ข้างตัวบ้าง

“บัวไปอาบน้ำอาบทำก่อนเถอะ ไม่ต้องนั่งเผ้า กลัวว่าอาภาจะรายงาน อะไรแม่หรอก แม่จะคุยธุระกับพี่เขาลักหน่อย”

ถึงจะถูกผู้เป็นแม่ดักคอ หากพอได้ยินว่าอีกฝ่ายลำดับญาติกับชายหนุ่ม ตรงหน้า คนถูกสั่งให้อาบน้ำก็ตาลุก หันขวับไปจ้องหน้าหนุ่มแปลกหน้าด้วย ความสนใจมากกว่าเดิม

ตั้งแต่จำความได้ หล่อนอาศัยอยู่กับมารดาที่บ้านแห่งนี้ตามลำพัง จะมีก็ เพียงอาภาและเด็กในบ้านอีกสองคนคอยรับใช้เท่านั้น ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเลย

ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องที่มารดาบอกว่าเสียชีวิตไปหมดแล้ว หรือแขกแปลกหน้า สักคน แม้แต่เพื่อนในมหาวิทยาลัยของหล่อนที่ตั้งท่าว่าจะแวะมาเยี่ยมหล่อนที่ บ้านหลายครั้งก็ยังมีเหตุให้พลาดกันไปได้ทุกครั้ง ทว่าวันนี้กลับมีคนแปลกหน้า มาเยี่ยมถึงบ้าน แถมมารดาท่าท่าว่ารู้มาก่อนล่วงหน้าและยังลำดับนับญาติด้วย ท่าให้หล่อนนึกสงสัย อยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน

พอเห็นบุตรสาวไม่มีทีท่าว่าจะขยับ อุรวสีก็ส่ายหน้า ขยับตัวลุกขึ้น

พลางเอ่ยปากกับชายหนุ่มผมยาวที่นั่งอยู่ติดกับนาง

“เข้ามาคุยกันในห้องดิกว่า...” สั่งแล้วนางก็เดินนำอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง ด้านใน ทิ้งให้บุตรสาวนั่งอยู่กับโภคินเพียงลำพัง

นลินนิ่วหน้า มองตามหลังมารดาไป ก่อนหันกลับมาให้ความสนใจกับ คนที่เหลืออยู่

“พวกคุณรู้จักแม่ด้วยเหรอคะ นัดกันไว้ก่อนรึเปล่า ทำไมมาที่บ้านนี้ถูก

ได้ล่ะ แล้วจะพักค้างคืนด้วยมั้ย บัวจะได้สั่งเด็กจัดห้องไว้ให้...” หญิงสาวถาม

เป็นชุด

 

บ้านของหล่อนตั้งห่างจากบ้านคนอื่นอยู่หลายร้อยเมตร รอบบ้านเป็น สวนรกร้าง ยิ่งถนนหน้าบ้านเป็นเพียงถนนลูกรังสายแคบที่คดเคี้ยว ไม่มีเสาไฟ

ริมทาง กลางคืนจึงมีดมีดและเปลี่ยวร้าง ไม่เหมาะกับการเดินทาง และตอนนี้

เย็นฉ่ำแล้ว ทิ้งยังเป็นหน้าหนาวด้วย ดวงอาทิตย์ตกเร็วกว่าปกติ หล่อนจึง ไม่แน่ใจว่าแขกลองคนจะค้างคืนด้วยหรือไม่

“ผมไม่ทราบครับ” โภคินตอบอย่างสุภาพ ก่อนยกแก้วน้ำมะตูมที่เด็ก

รับใช้ยกมาเสิร์ฟขึ้นดื่มดับกระหาย และนั่งสำรวมเงียบๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไร อีก

คนชวนคุยจึงกร่อย หมดอารมณ์จะล้วงความลับต่อ หล่อนถอนใจเฮือก แล้วเอ่ยปากขอตัว ก่อนกลับเข้าห้องส่วนตัวเพี่ออาบน้ำผลัดผ้าตามคำสั่งมารดา

 

อย่างเซ็งๆ

อุรวสีนั่งพับเพียบลงบนพื้นข้างโต๊ะไม้ตัวเตี้ยที่วางหนังสือและตำรา ประวัติศาสตร์ที่นางชอบศึกษา ก่อนมองชายหนุ่มร่างผอมเพรียวทรุดตัวลงนั่ง

พับเพียบอยู่ตรงหน้าและยกมือทำความเคารพนางด้วยแววตาสงบนิ่ง ใบหน้า

งามระบายยิ้มน้อยๆ

“ไม่ได้เจอเจ้าเสียนาน โตเป็นหนุ่มแล้วนะ บดีศร”

“เจ้าน้าจำช้าได้?” เจ้าชายบดีศรทรงถามอย่างแปลกใจ ริมฝีปากบางบน ใบหน้าซูบคลี่ยิ้มน้อยๆ ดวงตาอ่อนแสงลง ฉายแววจริงใจ ผิดกับแววตาหมาง

เมินและใบหน้าเฉยชาที่แสดงออกอยู่เป็นนิตย์

“เหตุใดน้าจะจำเจ้าไม่ได้ สมัยเด็ก เจ้ามักมาวิ่งเล่นที่ตำหนัก คอยเป็น เพื่อนเล่นกับอุษาวดีอยู่เสมอ” เจ้าชองบ้านเท้าความ ทอดสายตามองชายหนุ่ม

อย่างอ่อนโยนไร้รอยขึ้งเคียดเกลียดชังอย่างที่เขากริ่งเกรง

“เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หากเจ้าน้ายังคงเมตตาต่อช้าไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่แม้แต่จะถือโทษโกรธเคืองเรื่องที่เจ้าพ่อทำกับเจ้าอาแม้แต่น้อย...”

“สิ่งที่เกิดขึ้นเจ้าไม่ได้รู้เห็น จะให้น้าโกรธเคืองเจ้าได้อย่างไร แม้แต่พ่อ เจ้าก็เช่นกัน ถึงเขาจะเป็นผู้ลงมือช่วงชิง ลงมือประหัตประหารเจ้าอาชองเจ้า แต่ เราทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใด” อุรวลีบอก ใบหน้าสงบนิ่ง

“ถึงกระนั้นช้าก็ยังละอายใจ หากเจ้าพ่อไม่ก่อการช่วงชิงบัลลังก์ชอง

เจ้าอา ตอนนี้เจ้าน้าและน้องหญิงคงไม่ต้องมาตกระกำล่าบากอยู่ในเมืองไทย เช่นนี้”

“น้ากับลูกไม่ได้ล่าบากอย่างที่เจ้าคิดหรอก...” อุรวลีแย้งเลียงเรียบ ดวงหน้ายังแย้มยิ้ม

การนั่งสมาธิ ถือศีลเป็นประจำ ทำให้นางรู้จักปล่อยวาง คิด'ว่าสิงที่เกิดขึ้น เป็นไปตามกรรมชองแต่ละคน จึงไม่ได้ทุกข์ร้อน หรือผูกจิตอาฆาตพยาบาท

แต่อย่างใด กับผู้กระทำผิด...นางได้อโหสิกรรมให้ตามคำสั่งเลียชองผู้เป็นบิดา หัวใจจึงมีแต่ความสุข ไร้ความทรมานอย่างที่อีกฝายกังวล

“เจ้าต่างหาก อยู่ในวังใหญ่โต กลับไม่มีความสุข...”

คนพูดเอื้อมไปกุมมือหลานชายไว้ มือเล็กบางบีบมือหยาบกระด้างของ ชายหนุ่มเบาๆ กระแสความรู้สึกตลอดจนภัยมืดที่คุกคามชายตรงหน้าซึมซับเข้า

ขณะที่เจ้าชายบดีศรกลับทรงรู้สึกว่ามีความอบอุ่นทุ่งผ่านจากอุ้งมือ แผ่ กระจายไปทั่วร่าง ทำให้ความเจ็บปวดทรมานที่สั่งสมมานานหลายปีเบาบางลง ร่างกายที่อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงกลับมีพละกำลังมากขึ้น พระองค์ทรงเหลือบ พระเนตรมองสตรีตรงหน้าอย่างตกตะลึง หากใบหน้ารูปไข่ยังคงสงบนิ่ง เปล่ง ประกายบริสุทธิ์ไม่ได้แสดงทำทีผิดปกติอันใด

“เจ้าอุตส่าห์เดินทางรอนแรมมาไกล คงไม่ได้ต้องการมาเยี่ยมเยียนน้า เท่านั้น เจ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรต้องการให้น้าช่วย ขอจงบอกมาเถิด” เจ้าชอง

บ้านพูด น้ำเสียงปรานี

ตลอดการเดินทางมาที่นี่ พระองค์ทรงลังเลมาตลอดว่าอีกผ่ายจะช่วย พระองค์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้จริงหรือ ในเมื่อนางเป็นเพียงสตรี

สูงศักดิ์ผู้นิราศจากแผ่นดินเถิดเท่านั้น ทว่าพอถูกอีกผ่ายสัมผัส ความคิด

ดังกล่าวก็สลายไป เถิดความเชื่อมั่นว่าสตรีตรงหน้าจะต้องช่วยพระองค์ให้หลุด พ้นจากอำนาจมนตร์ดำได้อย่างแน่นอน

แต่กระนั้น พระองค์ก็ยังทรงล่าบากพระทัย ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากขอความ ช่วยเหลือจากอีกผ่ายอย่างไร ในเมื่อพระบิดาชองพระองค์เป็นผู้ประหาร พระสวามีชองนาง ชิงบัลลังก์มาเป็นชองตน ทำให้นางและลูกต้องระหกระเหิน จากแผ่นดินเถิดมาอาศัยอยู่ในบ้านเล็กๆ ในจังหวัดเชียงรายเพียงลำพัง แม้นาง จะแสดงตัวว่าไม่ถือโทษโกรธเคือง ทั้งยังออกปากว่าจะช่วยอย่างเต็มใจ หาก พระองค์ยังทรงรู้สึกละอายกับความผิดชองพระบิดาเกินกว่าจะออกปาก

พอเห็นหลานชายเงียบไป อุรวสีจึงเป็นผ่ายพูดต่อเสียเอง

“เจ้าคงอยากให้น้าช่วยถอนคุณไสยในตัวเจ้ากระมัง” พูดแล้วเจ้าตัว

ก็ถอนใจยาว ตบหลังมืออีกผ่ายเบาๆ ก่อนดึงมือตัวเองกลับมาประสานกันไว้

บนตัก

“น้ารู้ว่าเจ้าทรมานกับความเจ็บปวดมานานนับสิบปี แต่วิธีที่จะถอน

คุณไสยนี้ทำได้ไม่ง่ายนัก นอกจากจะต้องหาหุ่นแทนตัวเจ้าให้พบและประกอบ พิธีในโพธยาแล้ว หากไม่ให้ผู้ทำคุณไสยถอนมนตราออกเอง จะต้องใช้คนที่มี สายเลือดเดียวกับผู้ทำจึงจะทำลายอำนาจมนตร์ดำนั้นได้”

เจ้าชายบดีศรทรงถอนพระทัย พระพักตร์เคร่งเครียด เรื่องนี้พระองค์ ทรงทราบอยู่แล้ว ถึงได้เสด็จมาไกลถึงที่นี่เพี่อขอร้องให้สตรีตรงหน้าช่วย

“เจ้าน้าโปรดช่วยช้าให้รอดพันจากภัยคุกคามครั้งนี้ด้วยเถิด และต่อไป

ไม่ว่าเจ้าน้าจะประสงค์สิ่งใด ช้ายินดีทำตามทุกประการ” เจ้าของใบหน้าซูบให้ คำมั่นหนักแน่น หากคนพิงกลับส่ายหน้า

“น้าไม่สามารถทำได้ เพราะตามชะตา ถ้าน้ากลับไปยังโพธยา แผ่นดินจะ เถิดการนองเลือด ผู้คนมากมายจะล้มตาย” อุรวสีปฏิเสธ ดับความหวังของ ชายตรงหน้า ทำเอาพระพักตร์คนพิงหมองลง

“แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ถึงแม้น้าจะไม่สามารถกลับไปโพธยาเพี่อถอน

คุณไสยให้เจ้าได้ แต่อุษาวดีทำได้”

เจ้าชายบดีศรทรงขมวดพระขนง คิดถึงสาวน้อยหน้าตามอมแมมที่ทรง พบก่อนหน้า

เด็กสาวคนนั้นน่ะเหรอจะช่วยพระองค์ได้ ก็แค่เด็กกะโปโลคนหนึ่งเท่านั้น

อีกฝ่ายคงจะเดาความคิดของพระองค์ได้ นางหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ ด้วยใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ

“ถึงบัวจะไม่ค่อยสนใจเรียนรู้มนตราสักเท่าไร หากความรู้เท่าที่นางมีอยู่ ตอนนี้ คิดว่าคงพอจะช่วยเจ้าได้ นอกจากนี้ดวงชะตาของนางจะช่วยส่งเสริม

และเกื้อหนุนเจ้าด้วย ขอเพียงมีนางอยู่เคียงช้าง เจ้าจะปลอดภัย คลาดแคล้ว

จากภัยอันตราย”

“เจ้าน้าหมายความว่าจะให้น้องหญิงเดินทางไปโพธยากับข้า?” คนมาขอ ความช่วยเหลือรับสิ่งถามเสียงขรึม แววพระเนตรเคร่งขึ้น

อุรวสีพยักหน้า พูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า

“แต่เจ้าคงรู้ใช่มั้ยว่าตามประเพณีของโพธยา หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่อาจเดินทางกับชายหนุ่มเพียงลำพัง ทั้งยังไม่อาจอยู่ร่วมชายคาเดียวกับ

ชายหนุ่มได้...”

เจ้าชายบดีศรทรงพยักหน้าริบ ประเพณีในโพธยาเคร่งครัดนัก หญิงสาว

 

ทุกคนจะต้องมีผู้คุ้มครอง หญิงโสดจะต้องอยู่ในความดูแลของครอบครัว

จนกว่าจะออกเรือน ถ้าแต่งงานแล้วจะอยู่ในความดูแลของสามี เมื่อใดที่พวก

นางต้องการจะเดินทางต้องมีคนในครอบครัวหรือสามีติดตามไปด้วยเสมอ นอกจากนี้ตามกฎของโพธยายังห้ามไม่ให้ชายหญิงที่ไม่ใช่สามีภรรยาเดินทาง ด้วยกันตามลำพัง ดังนั้นหากพระองค์ต้องเดินทางกลับโพธยากับอุษาวดี

พระองค์จะต้องหาแก้ไขปัญหานี้ให้ได้เสียก่อน

และ วิธีแก่ไขคงมีเพียงวิธีเดียว...

“ถ้าเจ้าน้าไม่รังเกียจ ข้าจะขอเป็นผู้ดูแลน้องหญิงเอง”

เจ้าชายทรงตัดสินพระทัย กล่าวเป็นนัยว่าพระองค์ยินดีจะอภิเษกสมรส กับอุษาวดี เพราะการแต่งงานจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น พระองค์สามารถดูแล หญิงสาวอย่างใกล้ชิด ให้หล่อนพำนักอยู่ในตำหนักเดียวกับพระองค์ได้โดย

ไม่ต้องกลัวคำครหา

“แล้วคู่หมายของเจ้าล่ะ เจ้าจะทำเช่นไร” อุรวสีถาม

แม้จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย และไม่ได้ข่าวคราวจากบ้านเกิดมานาน หาก ตามดวงของชายหนุ่ม ตอนนี้เขามีพันธะผูกพันอยู่กับหญิงอื่นซึ่งน่าจะเป็นแค่ คู่หมั้นอยู่ก่อนแล้ว

“หากข้าแต่งงานกับน้องหญิงแล้ว พันธะหมั้นหมายระหว่างข้ากับเวธกา

ก็จะเลิกล้มไปเอง เวธกาคงดีใจมาก เพราะนางไม่ได้พิศวาสคนเจ็บออดๆ แอดๆ เช่นข้าลักเท่าไหร่ นางยอมหมั้นตามคำสั่งท่านเสนาบดีทุติยะ...บิดาของนาง เท่านั้น” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งเสียงเรียบ ช่อนความแปลกพระทัยไว้มิดชิด

คนฟังพยักหน้าเข้าใจ

“ถ้าเช่นนั้น น้าจะให้อาภาพาเจ้าไปรออยู่ในห้องพระ ส่วนน้าจะไปอธิบาย เรื่องนี้กับอุษาวดี และจัดการพิธีการต่างๆ ที่จำเป็นให้เรียบร้อย อุษาวดีจะ

ได้เดินทางกลับโพธยาพร้อมกับเจ้าได้ทันที” อุรวสีสรุป ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้อง

เจ้าชายบดีศรทอดพระเนตรตามหลังนางไปด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม หากดวงเนตรกลับเป็นประกาย เปี่ยมไปด้วยความหวัง...

 

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

โพธยา ดินแดนที่ถูกครอบงำอยู่ด้วยไสยศาสตร์และมนตร์ดำ 
จากพระชายา เจ้านางอมราวตี ผู้มีวิชาอาคมแกร่งกล้า ควบคุมไพร่พลโหงพรายเป็นกองทัพ 
และกำกับให้ เจ้าหลวงศรวัณ องค์กษัตริย์อยู่ใต้อาณัติได้ 
... 
กระทั่ง นลิน สาวน้อยนางหนึ่งปรากฏกายขึ้นพร้อมกับ เหรียญมยุระ 
ด้วยวิชาอาคมที่นางได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดา 
นางจึงได้รับเลือกให้ปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่ 
แฝงตัวเข้าไปช่วยกอบกู้ราชบัลลังก์และช่วยเหลือให้โพธยาพ้นจากอำนาจแห่งเวทมนตร์ 
โดยต่อสู้เคียงคู่กับ เจ้าชายบดีศร หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ 
ผู้เป็นทั้งสหายร่วมชะตากรรม และบุรุษผู้ทำให้นางได้สัมผัสรักแท้...

รีวิว (1)

เขียนรีวิว

อทิตยา | 1 รีวิว
08/07/2014

มยุรมนตรา ของนักเขียนนามว่า อรพิม ทางเดียวที่เจ้าชายบดีศรจะพ้นจากมนตร์ดำเพื่อได้ชีวิตและบัลลังก์กลับคืนมา คือต้องได้รับความช่วยเหลือจากสายเลือดแห่งราชวงศ์เดียวกันกับพระองค์เท่านั้น เจ้าชายจึงตามหานลินผู้ที่มีสายเลือดเดียวกับพระองค์ จึงทำให้เธอต้องมาร่วมชะตากรรมกับเจ้าชาย และต้องช่วยเหลือพระองค์โดยอยู่ในฐานะพระชายา ทว่าเธอไม่สามารถรับความเปลี่ยนแปลงเพียงเวลาชั่วข้ามคืน แต่เธอก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ เธอจึงกลับมาสู่แผ่นดินที่เธอจากไปเพราะเวทย์มนของผู้ที่ต้องการปลิดชีวิตเธอกับเจ้าชาย และทุกคน เพียงอ้อมกอดของนลินก็สามารถทำให้อาการที่ทรมานของเจ้าชายบดีขึ้น แต่อะไรก็ตามก็จังไม่เท่าที่พระองค์ได้รับอ้อมกอดที่มีแต่ความห่วงใจของนลิน และยิ่งค้นหาวิธีรักษาเจ้าชายเธอก็ได้พบกับความลับที่ทำให้เธอเจ็บปวดแต่เธอก็ต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีต่อไป เพื่อช่วยเหลือสามีของเธอ นลินมีความลับที่เธอไม่สามารถบอกให้เจ้าชายบดีศรซึ่งเป็นสามีของเธอให้รู้ได้ แม้มันจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายแค่ไหนก็ตามแต่ด้วยเพราะความรักมากกว่าความแค้น นลินจึงเห็นว่าสิ่งเลวร้ายนั้นไม่สำคัญไปกว่าการที่เธอจะช่วยให้สามีของเธอดีขึ้น เพราะสิ่งที่เธอต้องการคือความรู้สึกที่ดีที่มีต่อกันเพียงเท่านั้นเอง เจ้าชายบดีศรรู้สึกว่าพระองค์แสนจะโชคดีที่เพราะพระองค์ได้นลินมาเป็นคู่ครอง เธอเป็นหญิงสาวที่คอยอยู่เคียงข้างกับพระองค์ในยามที่พระองค์ต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายในตอนนี้ “ จากที่อ่านเนื้อเรื่องแล้วนะค่ะรู้สึกว่าเป็นเรื่องราวของไศยศาสตร์ แต่ถึงจะเป็นเรื่องราวที่ชวนขนลุกอยู่บ้าง ถ้าต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกับตัวละคร ต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมาน และความสูญเสียต่างๆ ที่ตัวละครได้รับคงแย่แน่ เพราะหากต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนั้นจริงๆ และไม่สามารถหาคนที่จะมาช่วยเราด้วยใจจริงรองนึกดูนะค่ะว่าจะเป็นเช่นไร ถือว่าเจ้าชายบดีศรโชคดีมากๆ เลยนะคะที่ได้คนพบนลิน สาวที่มีสายเลือดเดียวกับพระองค์และพร้อมที่จะสละทั้งชีวิตเพื่อพระองค์ ยอมที่จะต้องเผชิญปัญหาและความน่ากลัวที่เธอเองก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะทุกวันนี้การที่จะมีคนที่รักเราและพร้อมจะห่วงใย ดูแลทุกข์แสนสาหัสหาได้ยากมาก หายใครได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ทัศนคติให้เรื่องของความรักและการเสียสละ อาจจะดีขึ้นนะค่ะเพราะดิฉันอ่านแล้วยังรู้สึกเช่นนี้เลยว่า ถ้าเรารักใครอย่ามองว่าการเสียสละเป็นการถูกเอาเปรียบ อย่ามองว่าการให้คือการการเสียเปรียบคนอื่น อย่ามองจุดที่ไม่ดีมากกว่าจุดดีและความรักที่มีต่อกันจะยาวนานค่ะ ”

สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024