ร้อยเล่ห์เสน่ห์มาร (เก้าแต้ม)

ร้อยเล่ห์เสน่ห์มาร (เก้าแต้ม)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165001953
ผู้แต่ง: เก้าแต้ม
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 230.00 บาท 57.50 บาท
ประหยัด: 172.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ถนนสายนี้เป็นจุดเริ่มต้นของย่านเมืองเก่าที่เรียกกันว่า กัมลาสตัน หรือโอลด์ซิตี หลังจากเยี่ยมชมเมืองซิกทูนาแล้วรถก็พาคณะทัวร์ไปเยี่ยมชม พระราชวังฤดูร้อน ประวัติความเป็นมาชองกษัตริย์สวีเดนต่างจากประเทศอื่น เพราะผู้นำชองประเทศต่างผ่านการรบมาอย่างโชกโชน จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. ๑๙๑๔ กษัตริย์ชองประเทศสวีเดนจึงมีพระราชประสงค์ให้ยุติการรบและ

หันมาอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมชองประเทศ บัดนี้สวีเดนจึงกลายเป็นประเทศ อุตสาหกรรมที่รํ่ารวยและมีระบบสวัสดิการดีที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

ตึกทั้งหมดบนถนนสายนี้สร้างชื้นเมื่อสามร้อยปีก่อน อาคารเก่าสีสัน สดใสได้อิทธิพลมาจากศิลปะเยอรมันตอนเหนือ เมื่อเมืองหลวงอย่าง สตอกโฮล์มฃยายตัวชื้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจึงถูกแทนที่ด้วยร้านชายของ

ที่ระลึก ตึกสีแดงส้มและสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์นั้นคล้ายกับสิ่งปลูกสร้าง

ในประเทศอิตาลีจนได้สมญานามว่าเวนิสแห่งยุโรปเหนือ แต่ชาวสวีเดน

ไม่ชอบและขนานนามตัวเองว่าเมืองอันงดงามบนผืนนั้า หรือ Beauty on the Water

ภาพตรอกซอกซอยแคบเล็กลาดตํ่าลงและถนนหนทางที่ปูด้วยหินก้อน เล็กๆ เรียงรายกันเป็นลวดลายทั้งสี่เหลี่ยมและวงกลมดูสะดุดตา หาก นักท่องเที่ยวเดินไปเรื่อยๆ จะผ่านพระราชวังใหญ่ซึ่งคณะมีโปรแกรมจะมา

เยี่ยมชมในวันพรุ่งนี้ มัคคุเทศก์ปล่อยให้ลูกทัวร์เดินเลือกซื้อหาจับจ่ายชอง

ที่ระลึกโดยนัดพบกันที่ลานหน้าพระราชวังเพื่อดูการสวนสนามชองทหารตอน บ่ายโมงครึ่ง

สองสาวก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบซื้อชอง แต่ติดที่ว่าเงินในกระเป๋างวดลง

ทุกทีเพราะหมดไปกับน้ำดื่มและมัฟฟินชิ้นโตซึ่งน่ารับประทานแต่ราคาก็ชวน กระเป๋าแฟบไปด้วย

“แกจะซื้ออะไรไปฝากพ่อหรือเปล่า”

พัณชิตาเอ่ยขึ้นและหันไปหาเพื่อนสาวซึ่งกำลังเดินไปตามถนน แม้จะ เป็นเวลาเที่ยงแต่แดดกลับไม่ร้อนเหมือนเมืองไทยแถมเมื่อครู่ยังมีฝนปรอย

ลงมาอีก แต่ฝนที่สวีเดนตกปรอยๆ พอให้เย็น เมื่อผนวกกับลมที่พัดมาก็พอที่จะท่าให้สองสาวต้องเดินกอดอกเพื่อเพิ่มไออุ่น

“ยังไม่รู้เลย แม่เหล็กติดตู้เย็นก็มีเยอะแล้ว จะเอาเข็มกลัดพ่อก็คง

ไม่ชอบ ถ้าเป็นโปสต์การ์ดก็มีหวังโดนบ่นยับว่าซื้อขยะไปเพิ่มที่บ้าน”

“งั้นซื้อของแปลกๆ สิ เผื่อพ่อแกจะชอบ พ่อแกชอบชองเก่าไม่ใช่หรือต้า”

บิดาของรมิตาเป็นนักสะสมชองเก่าตัวยง อีกทั้งยังชอบพวกงานศิลปะ

อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นดาบโบราณ ตู้หรือไม้แกะสลัก ถ้วยโถโอชามที่เรียงรายอยู่ในตู้เนื่องจากเคยเดินทางไปหลายประเทศรณชัยจึงชอบสะสมชองท่านองนี้ “ฉันรู้แล้วว่าจะซื้ออะไร”

รมิตาหันไปทางตู้กระจกที่มีของวางประดับอยู่ ภายในนั้นเต็มไปด้วย ของที่ระลึกเกี่ยวกับไวกิง ทั้งรูปวาด หุ่นโลหะ ไม้แกะสลัก และแก้วน้ำ

สิ่งที่หญิงสาวจ้องอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ของทั่วๆ ไป แต่เป็นวัตถุสีเทาซึ่งจัด

วางเด่นเป็นสง่าอยู่กลางตู้ต่างหาก พัณชิตาเบิกตากว้างจ้องมองเพื่อนสาว

อย่างไม่เชื่อก่อนจะโพล่งขึ้นเสียงดัง

“ล้อเล่นใช่ไหมต้า แกคงไม่คิดจะซื้อไอ้นี่จริงๆ หรอกนะ มัน...”

“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ พ่อต้องชอบแน่เลย แล้วของแบบนี้ยังไม่มีแน่ๆ” “ตะ...แต่มัน ดูจะใหญ่ไปหน่อยไหม จะถือกลับกรุงเทพฯ ยังไง”

“ก็ไม่เห็นยากนี่ แกอย่าลืมนะว่าฉันมีบัตรทองของการบินไทย แล้วฉัน

ก็นั่งบิสซิเนสคลาสกลับด้วย ถ้าไม่ให้ถือขึ้นเครื่องฉันก็โหลดไปไม่เห็นจะยาก เลย ให้ที่สนามบินห่อกันกระแทกให้สบายมาก”

พัณชิตากลืนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนจะก้าวเท้าตามเพื่อนเข้าไปในร้าน ของฝากขึ้นนี้ไม่เหมือนใครเพราะมันคือหมวกนักรบไวกิงที่ดูครํ่าคร่า สีโลหะ

เจือสนิมบ่งถึงอายุที่น่าจะหลายร้อยปีและไม่น่าจะเป็นของปลอม เมื่อหญิง

สาวลองลูบดูก็พบว่าผิวของมันเย็นเฉียบ ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่าน

ผ่านปลายนิ้วเข้าสู่ร่างกายจนรมิตาถึงกับขนลุกซู่ ภาพนิมิตบางอย่างผุดขึ้นในห้วงความคิด

“หมวกใบนี้ขายหรือเปล่าคะ”

รมิตาเอ่ยขึ้นเมื่อเจ้าของร้านซึ่งเป็นชายแก่หลังค่อมผมสีขาวโพลนหมด ทั้งศีรษะเดินมาต้อนรับ เขาล่งยิ้มให้พร้อมกับทักทายด้วยคำว่า เฮย์ ซึ่งเป็นภาษาสวีเดนแปลว่า สวัสดี

“หนูอยากได้หรือ”

“ค่ะ เท่าไหร่หรือคะ”

“ต้องแล้วแต่ว่าหนูจะมีบุญได้มันไปหรือเปล่า”

หญิงสาวคลี่ยิ้ม เขาเป็นชายอายุราวหกสิบแต่ยังมีท่าทางสง่า แม้

ใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นแต่ก็ท่าทางอารมณ์ดี

“แล้วจะทราบได้ยังไงคะว่ามีบุญไหม”

เจ้าของร้านยักไหล่ คลี่ยิ้ม ดวงตาสีควันบุหรี่เป็นประกายเมื่อเอ่ยตอบ “หนูลองจับดูแล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”

รมิตานิ่ง หล่อนบรรยายความรู้สึกไม่ถูก รู้เพียงแต่ว่ามีความเย็นวาบ

แล่นขึ้นมาที่ปลายนิ้ว ก่อนจะอุ่นซ่านไปทั่วทั้งมือเหมือนมีอะไรบางอย่างตอบ

รับสัมผัสจากหล่อน ยิ่งเมื่อยกขึ้นมาก็ยิ่งรู้สึกอยากได้หมวกใบนี้

“หนู'ชอบ'หมวก,นี้ค่ะ อยากเอาไปฝากคุณพ่อ”

“พ่อหนูคงไม่ชอบหรอก นี่มันหมวกของนักรบที่คร่าชีวิตคนมามาก

คนบริสุทธิ์มากกว่าห้าร้อยชีวิตต้องตายเพราะเจ้าของหมวกใบนี้ มันเป็นอาวุธ เปื้อนเลือด”

เมื่อจบประโยคพัณชิตาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็สะกิดเพื่อนสาวยิกๆ

“อย่าเอาเลยต้า ประวัติน่ากลัวจัง หมวกผีสิงหรือเปล่าไม่รู้ ฉันว่าไป ร้านอื่นดีกว่า ลุงคนขายก็เหมือนกัน พูดเสียงเย็นๆ น่ากลัวออก”

ใบหน้าของสาวร่างอวบที่ขาวอยู่แล้วดูซีดกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ศีรษะ

ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มๆ สั่นดิกๆ พยายามดิงเพื่อนรักออกจากร้าน แต่

รมิตาไม่ใช่คนขวัญอ่อน ตั้งแต่โตมาก็ไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผีและวิญญาณ

ที่สำคัญหล่อนมั่นใจว่าหมวกใบนี้เป็นของเก่า ไม่ใช่ของย้อมแมวขายแน่นอน

“โธ่ตู่...กลัวไปได้ ฉันว่าลุงแกก็แค1แซวเล่นๆ”

“เขาจะแซวทำไมล่ะต้า ของซื้อของขายต้องรีบขายให้เราถึงจะถูก ฉันว่า หมวกใบนี้ต้องมีอาถรรพณ์แน่ๆ เชื่อฉันสิ อย่าเอาเลย ไปดูร้านอื่นเถอะ”

แทนที่จะตอบ รมิตากลับหันไปล่งยิ้มให้ชายชราเจ้าของร้าน

“เท่าไหร่คะคุณลุง พ่อหนูชอบสะสมของเก่า หนูว่าพ่อน่าจะชอบ”

“ก็ลุงบอกแล้วไงว่าหมวกใบนี้ไม1เหมาะกับพ่อหนูหรอก”

เมื่อเห็นท่าทีปฏิเสธอย่างแข็งขันรมิตาก็เริ่มหงุดหงิด เพราะอะไรลุง เจ้าของร้านถึงมีทีท่าว่าไม่อยากขาย เท่าที่ผ่านมาหญิงสาวเห็นนักท่องเที่ยว หลายคนเดินเข้ามาดูของที่ระลึกแล้วก็กลับออกไป ดูเหมือนวันนี้คงขาดทุน

“ทำไมลุงต้องปฏิเสธด้วยคะ หรือว่าลุงไม่อยากขาย ถ้างั้นเอามาตั้งโชว์ทำไม”

พอจบประโยคใบหน้าชายชราก็เปลี่ยนสี'ไป'โน'ทันที ก่อนจะละลํ่าละลักตอบ

“ขายสิ...ของทุกอย่างในร้านนี้มีไว้ขาย รวมทั้งเจ้าหมวกนี่ด้วย มันตั้ง

อยู่ที่นี่มานานแล้ว แต่เอ่อ...เจ้าของเขาบอกว่าให้ขายให้คนที่ต้องการซื้อจริงๆ”

“ถ้างั้นเท่าไหร่ล่ะคะ หนูต้องการซื้อ”

“มันประเมินราคาไม่ได้หรอก ต้องแล้วแต่ว่าหนูมีวาสนากับมันหรือ

เปล่า ถ้ามี ฉันขายให้ร้อยโครน

พอได้ยินราคา รมิตาก็ตาโตเลยทีเดียวเพราะว่าถูกมาก ตัวหมวก

น่าจะทำจากโลหะชั้นดีและคงอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี แต่ส่วนที่แปลกคือเขายาว

ที่ประดับอยู่สองข้างซึ่งทำจากวัสดุใหม่เอี่ยมราวกับติดเพิ่มลงไป แต่เพราะ

ความตื่นเต้นที่จะได้ของฝาก หญิงสาวจึงไม่ได้เอ่ยถามที่มา

“ตกลงค่ะ หนูเอาตู่...ดูนี่สิสวยดีออกฉันใส่แล้วจะเท่ไหมนะ”

หญิงสาวยกหมวกเหล็กขึ้นสวมทันทีไม่เพียงแต่พัณชิตาที่ตกใจ เจ้าของ ร้านก็หน้าซีดเผือดตามไปด้วย รมิตาหันไปคลี่ยิ้มกับกระจกบานใหญ่ ภาพ

หญิงสาวในชุดเสื้อสีเข้มทับด้วยเสื้อกันหนาวที่สวมหมวกไวกิงดูแปลกตา

แม้ หมวกจะไม่เข้ากับเสื้อผ้าที่สวมอยู่เลยสักนิดแต่ความรู้สึกบางอย่างกลับทำให้ รมิตาไม่อาจปล่อยมือได้ หล่อนขยับหมวกให้เข้าที่และล่องกระจก

“ตกลงนะคะคุณลุง ขายให้หนู”

“หนูแน่ใจนะว่าอยากได้จริงๆ ไม่เอามาคืนจริงๆ นะ”

“แน่ใจสิคะ หนูมาจากเมืองไทย ถึงอยากเอามาคืนก็ทำไมได้หรอกค่ะ” หญิงสาวพูดติดตลก “ตกลงร้อยโครน ห้ามกลับค่านะคะ”

 

หล่อนควักเงินในกระเป๋าส่งให้ ส่วนพัณชิตาถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นว่า เพื่อนรักเอาจริง

“แกจะเอาไปทำไมหมวกเก่าๆ แบบนี้ น่ากลัวนะต้าไม่เอา คืนเขาไปเถอะ อีตาลุงนี่ก็เหลือเกิน เห็นแกเป็นหมูชัดๆ หมวกก็เก่าขายตั้งร้อยโครน มาทำ

พูดนู่นพูดนี่ สงสัยอยากโก่งราคาละสิ”

“เอาน่า...ฉันชอบนะตู่ ไม่เหมือนใครดี เดินมาหลายร้านแล้วไม่มีอย่าง อื่นถูกใจเลย รับรองว่าพ่อต้องชอบแน่ ฉันจะเอาไปตั้งโชว์ที่ห้องรับแขก”

พัณชิตามองเพื่อนรักอย่างสับสน เมื่อรู้ว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้

จึงได้แต่ถามเสียงอ่อย

“แล้วแกไม่ใส่ถุงหน่อยหรือ ขืนเดินถือออกไปโท่งๆ แบบนี้คนมองกัน

ตาถลน,พอดี เขาแหลมเฟี้ยวขนาดนั้นล้าเกิดไปทิ่มตาคนอื่นจะยิ่งยุ่งนะ”

“จริงด้วย ใส่ถุงหน่อยก็ดีเหมือนกัน ลุงคะลุง อ้าว...หายไปไหนแล้ว”

รมิตาหันไปหาเจ้าของร้านแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เงินค่าหมวก

ก็ยังวางอยู่บนตู้กระจก ทั้งสองเดินไปเคาะประตูบานพับไม้ซึ่งกั้นระหว่าง ด้านหน้ากับหลังร้านและร้องเรียกซํ้าๆ แต่ก็ไม่มีคนตอบ สุดท้ายจึงตัดสินใจ

หยิบถุงผ้าที่แขวนอยู่ด้านข้าง

“ใส่ถุงนี่ก็แล้วกัน ไม่รู้ไปไหนของเขา รีบไปกันเถอะ ปานนี้พี่สมพิศไปรอแล้ว”

สองสาวเดินออกจากร้านขายของที่ระลึกผ่านกระจกเงาบานใหญ่

ใบหน้าแต้มยิ้ม ทั้งคู่ไม่ท้นสังเกตด้วยซํ้าว่านอกจากพวกหล่อนสองคนแล้ว

ในกระจกนั้นยังมีเงาของนักรบไวกิงในชุดเต็มยศเดินตามไปด้วย!

สองสาวพักอยู่ด้วยกันในหอพักของมหาวิทยาลัยซึ่งพัณชิตาเช่าอยู่กับ เพื่อนนักศึกษาอีกคน ห้องขนาดลี่สิบตารางเมตรมีห้องนอน ห้องรับแขกตรง

กลาง และมีครัวเล็กๆ ปกติแล้วนักศึกษาที่มาเรียนที่นี่มักจะทำอาหารกินเอง

เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย บ้างก็กินขนมปังกับเนยแข็งเป็นอาหารเช้า หากหรู

หน่อยก็จะผัดบะหมี่แบ่งกันและหารค่าของสดคนละครึ่ง

“แกไปอาบนํ้าได้แล้วตู่ นั่งแช่เป็นชั่วโมงแล้ว”

“ก็มันหนาวนี่ คิดแล้วอยากดองเค็มชะมัดเลย ทำไมอากาศถึงได้เย็น อย่างนี้ นี่ข,นาดเพิ่งเช้าหน้าหนาวเองนะเนี่ย”

สาวร่างอวบซุกตัวเช้ากับผ้าห่ม นับตั้งแต่กลับมาพัณชิตาก็เอาแต่

นั่งขดตัวราวกับดักแด้ซุกตัวอยู่ในรังไหม ไม่ว่ารมิตาจะชักชวนยังไงก็ยังไม่ยอมอาบน้ำ

“มีเครื่องทำน้ำอุ่นจะกลัวอะไร แป๊บเดียวก็หายหนาวแล้ว ยิ่งดึกจะยิ่ง

เย็นกว่านี้นะ เมื่อกี้ฉันก็แข็งใจอาบ เสร็จแล้วสบายตัวขึ้นเยอะเลย เดินเที่ยวมาทั้งวันเหม็นเหงื่อจะแย่”

รมิตาอาบน้ำเสร็จก็สวมชุดนอนผ้ายืดนุ่มสบายและสวมเสื้อกันหนาวทับอีกชัน

“ใครจะเหมือนอย่างแกล่ะ ก็ฉันไม่ชอบอากาศหนาวนี่นา”

“ไม่ชอบแต่ก็ต้องทำตัวให้ชิน แกเป็นคนเลือกเองนะว่าจะมาเรียนต่อ

ที่นี่”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาบน้ำล่ะ”

รมิตาเท้าสะเอวส่ายหน้ามองเพื่อนรักอย่างระอา

“นี่อย่าบอกนะว่าแกจะไมยอมอาบน้ำเลยตลอดสองปี”

“แหมต้าก็ ฉันแค่ขออู้นิดๆ หน่อยๆ เอง เล้า...อาบก็ได้ แก'นี่มันขี้บ่น เหมือนแม่ฉันไม่มีผิด”

หญิงสาวคลี่ยิ้มก่อนพูดกลั้วหัวเราะ

“ถ้าแม่แกน่ะคงบ่นยิ่งกว่านี้ด้วยซํ้า รีบไปเสีย แล้วก็อาบให้เร็วๆ ด้วย

จะได้มานอนคุยกัน มะรืนนี้ฉันก็ต้องกลับเมืองไทยแล้ว เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน

เอง ฉันอยากคุยกับแกให้หายคิดถึง”

“แกนี่มันปากหวานจริงๆ เลยนะต้า ล้าฉันเป็นผู้ชายแล้วได้แกเป็น

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

"ร้อยเล่ห์เสน่ห์มาร" นำเสนอเรื่องราวของ "รมิตา" ผู้ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ตนเองจะได้พบกับ "เฮนดริช" วิญญาณนักรบรูปหล่อ จอมเผด็จการ เขาต้องการทำให้หญิงสาวทำภารกิจอย่างให้... งานที่ต้องเกี่ยวข้องกับ มาร อย่างอันเดรช ทำให้หญิงสาวจากเมืองไทยต้องวุ่นวายหัวใจ...สอง มาร รูปหล่อ แต่มีหัวใจเดียวกัน มารตนหนึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อเก้าร้อยปีก่อน แต่อีกคนก็ทำให้หัวใจของเธอต้องปั่นป่วนสุดกำลัง โดยทั้ง 2 มีเดิมพัน นั่นคือความรัก ที่ต่างจงใจหว่านเสน่ห์ ใช้ทั้งเล่ห์ทั้งกลเพื่อเป็นผู้ชนะแล้วหัวใจของผู้หญิงเดินดินอย่างรมิตาจะมอบให้ใคร !! แล้วเรื่องราวจะดำเนินต่อไป และมีบทสรุปอย่างไร !? ขอเชิญคุณผู้อ่านมาติดตามร่วมกันในนิยาย  "ร้อยเล่ห์เสน่ห์มาร" เล่มนี้

เขียนโดย "เก้าแต้ม"

 

344 หน้า


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024