จับหัวใจใส่กุญแจ ( ซีรีส์นิยายชุด The Killer s Love ) (ฟองฟาง)

จับหัวใจใส่กุญแจ ( ซีรีส์นิยายชุด The Killer s Love ) (ฟองฟาง)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165000826
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 210.00 บาท 52.50 บาท
ประหยัด: 157.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เสียงกระดานลั่นจากฝีเท้าที่ย่ำไปมาบนบ้านทรงไทยประยุกต์ เจ้าตัวทำให้เกิดเสียงกำลังวุ่นวายอยู่กับการเดินหาของภายในห้องนอนของตัว เองจนกระทั่งมาหยุดลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือหนึ่งคว้าแปรงขึ้นมาสางผม ส่วนอีกมือก็หยิบผ้าผูกผมสีชมพูหวานขึ้นมาเพี่อรวบรัด นัยน์ตากลมโตมองกระจกเงาเพี่อสำรวจความเรียบร้อย

ใบหน้ารูปไข่หันซ้ายนิดหันขวาหน่อยเพี่อเช็กความสวยงามของใบหน้า และผมตามปกติก่อนจะเดินไปหยิบแฟ้มใส่ของ กระเป๋าสะพาย และเดินออกจากห้อง

หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูผ้าเนื้อบางเบาสะบัดพลิ้วยามเคลื่อนไหว ก้าวไปตามชานระเบียงอย่างรีบร้อน แต่เมื่อสายตาปะทะกับหญิงชราที่นั่งอยู่บน เก้าอี้โยกกลางหอนั่งก็รีบเข้าไปหาทันที

“คุณย่าขา ป่านไปทำงานแล้วนะคะ”

หญิงชราส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน มองหลานสาวแสนรักอย่างรู้สถานการณ์ ดี...แม่หลานสาวกำลังจะไปสายแน่ๆ ถ้าไม่รีบไปตอนนี้

“ไปเถอะจ้ะยายป่าน ชักช้าอืดอาดเดี๋ยวจะไปสอนเด็กๆ สาย เป็นครูน่ะไม่ควรสายรู้มั้ยจ๊ะ”

“ค่ะ สวัสดีค่ะคุณย่า” หล่อนรับคำแล้วพนมมือไหว้หญิงชราก่อนจะผละ จากไป ปล่อยให้คนเป็นย่าได้แต่ส่งยิ้มจางๆ มองตามหลังร่างที่เดินลับหายไป

คุณปรานีผู้เป็นย่า บุพการีที่แสนรักของป่านหรือปานชีวา ท่านเลี้ยงปานชีวามาตั้งแต่หล่อนยังเด็ก แทนพ่อกับแม่ของหล่อนที่ประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตทั้งคู่ เหลือเพียงปานชีวาที่รอดมาได้จากอุบัติเหตุในครั้งนั้น

แม้ท่านจะรู้สึกเสียใจที่สูญเสียลูกชายกับลูกสะใภ้ไป แต่ก็ยังดีที่โชคชะตาไม่ได้พรากเอาทายาทตัวน้อยคนนี้ไปจากท่านด้วย เพราะฉะนั้นแล้วความสุขและชีวิตที่เหลืออยู่ของผู้หญิงแก่วัยเกษียณคนนี้ ก็คือการได้เฝ้ามองหลานสาว รวมทั้งภาวนาให้อนาคตของหลานสาวเต็มไปด้วยความสดใส

ฝ่ายคนที่มองเห็นทางเดินแห่งอนาคตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบและโลกอัน แสนสวยงามสดใส ก็กำลังรีบเร่งขับรถยนต์ส่วนตัวเพี่อจะไปถึงโรงเรียนสอน ดนตรีทันเวลา หญิงสาวหน้างอหงิกเมื่อเจอกับสภาพการจราจรติดขัดอันแสนน่า เบื่อ มันเป็นเรื่องที่แก้ไม่หายสำหรับเมืองกรุงแห่งนี้ หล่อนยกนาฬีกาข้อมือขึ้นดู สลับกับมองสัญญาณไฟจราจรที่กำลังนับถอยหลัง

“โธ่ รถจ๋าเลิกติดทีเถิด เดี๋ยวฉันเข้าคลาสสายอายเด็กแย่เลย”

ปานชีวาบ่นพึม แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หญิงสาวเอื้อมมือ ควานหาเจ้าต้นกำเนิดเสียงจากกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ แล้วจึง หยิบมันออกมาก่อนจะเสียบหูฟังแบบไร้สายกับหูของตัวเอง เพราะว่าหล่อนยังอยู่ในรถและกฎหมายก็บอกไว้ด้วยว่าห้ามโทรศัพท์ระหว่างขับรถ แต่ถ้าจำเป็นมันก็คงต้องใช้วิธีนี้แหละน่า

หญิงสาวมองชื่อที่ขึ้นหน้าจอแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ หล่อนกดปุ่มรับสายก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือไว้บนตักแล้วกรอกเสียงผ่านหูฟังแบบไร้สายกลับไป

“สวัสดีค่ะพี่เขต” หล่อนทักเสียงหวานกับปลายสาย

“สวัสดีครับน้องป่าน ทำอะไรอยู่เอ่ย”

ปานชีวาทำหน้ายุ่งนิดๆ ก่อนจะเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งเมื่อสัญญาณไฟ เขียว แต่สติในการขับรถและการสนทนาก็ยังดี

“ถ้าป่านบอก พี่เขตจะจับป่านหรือเปล่าล่ะคะ”

“ทำไมพี่ต้องจับป่านด้วยล่ะ”

เขาส่งเสียงทุ้มนุ่มลึกถามกลับมาเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ปานชีวาอมยิ้มทุก ครั้งที่ได้ยิน ในน้ำเสียงนั้นมีแววสงสัยอย่างมากว่าเจ้าหล่อนกำลังทำอะไรถึงคิดว่าเขาต้องจับหล่อน

“ก็ป่านกำลังขับรถอยู่นี่คะ แล้วก็ดันคุยโทรศัพท์กับพี่เขตด้วย แบบนี้จะ ไม่ให้โดนจับได้ยังไงล่ะคะ”

หล่อนบอกอย่างอารมณ์ดี เพราะรู้ว่าสุดเขตไม่มีทางจับหล่อนอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่อยากเสี่ยงให้หญิงสาวคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ

“งั้นเดี๋ยวอีกสักพักพี่โทร.หาป่านใหม่ก็ได้ครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่เขต ป่านใช้บลูทูธ”

“ไงก็หลบๆ สายตาตำรวจให้ดีๆ นะน้องป่าน”

“ค่ะ ป่านหลบดีแน่ เว้นแต่ตำรวจแถวนี้แหละค่ะที่ป่านหลบไม่ได้” หล่อนตอบอย่างอารมณ์ดีเมื่อพาดพิงไปถึงอาชีพของอีกฝ่ายที่เป็นตำรวจ

“พี่โทร. มาถามว่าเย็นนี้ป่านว่างมั้ย พี่จะชวนไปทานข้าวเย็นด้วยกันน่ะครับ”

“เย็นนี่เหรอคะ อืม...” หล่อนทำเสียงเหมือนครุ่นคิด “ว่างค่ะพี่เขต ป่าน สอนเสร็จตอนสี่โมงเย็นค่ะ”

“งั้นก็ดีเลย”

“แต่ป่านต้องบอกคุณย่าก่อนนะคะพี่เขต”

“พี่โทร. ขออนุญาตคุณย่าแล้ว ท่านว่าให้มาถามป่านว่ามีสอนถึงกี่โมง ถ้า ป่านตกลงก็ให้ป่านขับรถกลับบ้านก่อน แล้วให้พี่ไปรับที่บ้านจ้ะ”

ปานชีวายิ้มเมื่อรับรู้ว่าเขาเตรียมการพร้อมแล้ว แถมยังไปขออนุญาตคุณย่าของหล่อนอย่างเสร็จสรรพแล้วเสียด้วย

“แหม พี่เขตคะ นี่ถ้าป่านไม่ตกลง พี่เขตได้ทานแห้วกระป๋องแน่ๆ เลยค่ะ”

“นั่นน่ะสิ แต่น้องป่านไม่ให้พี่ทานแห้วใช่มั้ยละ” เขาถามกลับเชิงหยอก เย้า

“พี่เขตไม่ได้ทานแห้วหรอกค่ะ ป่านตกลงค่ะ”

“งั้นหกโมงเย็นเจอกันที่บ้านนะ ครับ พี่จะไปรับ”

“ค่ะพี่เขต”

หญิงสาวบอกและรอให้อีกฝ่ายวางสายไปก่อนหล่อนถึงวางสาย ใบหน้า รูปไข่มีแววของความสุขมากมายเมื่อได้คุยกับสุดเขต ผู้ชายที่เป็นคู่หมั้นของ หล่อนและกำลังจะเป็นสามีในอนาคตอันใกล้นี้

พี่เขตหรือร้อยตำรวจตรีสุดเขตกับหล่อนรู้จักกันมาเกือบห้าปีและเป็นคู่ หมั้นกันมาปีกว่าแล้ว หล่อนกับเขาเจอกันครั้งแรกที่บ้านของคุณย่าของเขา มัน เหมือนกับพรหมลิขิตที่ทำให้ทั้งสองคนได้เจอกัน เพราะโดยอาชีพของหล่อนและ เขา แทบไม่มีทางที่จะมาพบปะกันง่ายๆ เลย

ระหว่างครูสอนเปียโนกับนายตำรวจ!

ถึงมันจะเรียกว่าไม่ใช่อาชีพที่สวนทางกัน แต่ตำรวจก็คงไม่มีธุระกับครูสอนเปียโน และครูสอนเปียโนเองก็คงไม่มีธุระกับตำรวจสักเท่าไร

ดังนั้นมันก็คง เรียกได้ว่า... เป็นพรหมลิขิตที่ทำให้หล่อนกับเขาได้พบกัน วันนั้นคุณย่าปรานีของหล่อนแวะไปเยี่ยมเยียนคุณย่าสุดใจซึ่งเป็นเพี่อนเก่าของท่าน และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่หลานชายกับหลานสาวของทั้งสองฝ่ายได้เจอกัน

หลังจากที่ได้พบกันที่บ้านของคุณย่า เขาก็เริ่มแจกขนมจีบหล่อนตั้งแต่วันนั้น แต่เป็นไปอย่างอบอุ่น น่ารัก ไม่รุกเร้าเกินงามจนหล่อนตกลงใจคบกับเขา

โดยตลอดเวลาที่คบกันมา เขาไม่เคยล่วงเกินหล่อนเลยสักครั้ง เวลาที่ เขาว่างก็จะมารับหล่อนไปกินข้าวและพาหล่อนกลับมาส่งบ้านก่อนสองทุ่มเพื่อ ไม่ให้คุณย่าเป็นห่วง แถมเขายังดูแลเอาใจใส่หล่อนเป็นอย่างดี จนในที่สุดเขาก็ขอหมั้นกับหล่อน

ถ้าถามว่าทำไมหล่อนถึงรักผู้ชายคนนี้ก็คงเป็นเพราะความเป็นสุภาพบุรุษ และความรู้สึกอันแสนอบอุ่นอ่อนโยนที่เขามีให้ อีกอย่างก็คงเป็นเพราะพี่เขตเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีทีเดียวในสายตาของหล่อน แถมเขาก็เป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกหล่อนมากมาย คอยเป็นห่วงเป็นใยเสมอแต่ว่าหน้าที่การงานของสุดเขตบางครั้งก็ทำให้ไม่ได้เจอกัน ยิ่งช่วงไหนที่เขาทำคดี งานยุ่ง ก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลยเป็นเดือนๆ แต่กระนั้นสุดเขตก็ยังไม่ลืมที่จะส่งดอกไม้หรือส่งข้อความทางโทรศัพท์มาให้รู้ว่าเขาเองก็คิดถึงหล่อนเหมือนกัน

ส่วนปานชีวาเองก็เข้าใจงานของเขาดี แค่เขาคิดถึงหล่อนและไม่ลืมกันก็พอ การเป็นคนรักกันแค่คิดถึง แค่คอยห่วงใยแค่นี้มันก็มากกว่าการบอกรักกันวันละร้อยครั้งพันครั้งแล้ว

หญิงสาวเลี้ยวรถเข้าลานจอดรถด้านหน้าอาคารให้เช่าสูงเจ็ดชั้น ชั้นล่าง สุดของอาคารเป็นพื้นที่ของร้านอาหารที่รองรับผู้มาใช้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็น เด็กนักเรียนและผู้ปกครองที่พาลูกหลานมาเรียนพิเศษ

พื้นที่ให้เช่าของอาคารแห่งนี้ เต็มไปด้วยโรงเรียนสอนพิเศษและกวดวิชา หลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ศิลปะป้องกันตัว หรือแม้แต่ติวเข้มทางวิชาการ

เด็กบางคนวิ่งออกจากโรงเรียนนี้เข้าโรงเรียนนั้น หมดวิชานี้ก็ไปต่ออีก วิชา วันๆ มีชีวิตอยู่ในอาคารแห่งนี้ รู้จักแต่คำว่าเรียนกับเรียน จนกว่าผู้ปกครองจะมารับนั่นแหละ

ปานชีวาก้าวลงจากรถแล้วจึงกดรีโมตล็อกประตูก่อนจะก้าวยาวๆ ข้าม ทางเดินรถด้านหน้าขึ้นบันไดตรงเข้าไปสู่ตัวอาคาร หญิงสาวเดินแกมวิ่งไปพลาง ยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาไปพลาง จนกระทั่งมาหยุดยืนหน้าประตูลิฟต์ที่เต็มไปด้วยบรรดาเด็กนักเรียนและผู้ปกครองที่มารอส่งบุตรหลาน

ประตูลิฟต์เปิดออก คนข้างในทยอยออกมาจนหมดหล่อนจึงก้าวเข้าไป และกดชั้นที่ต้องการก่อนจะหันมาถามกับผู้ร่วมเดินทางในลิฟต์

“ชั้นไหนคะ”

หล่อนกดปุ่มตัวเลขตามที่มีเสียงบอกมาจนแผงหน้าปัดของลิฟต์ซึ่ง บ่งบอกตัวเลขชั้นก็ขึ้นแสงไฟเกือบจะทุกชั้นเลยก็ว่าได้

หญิงสาวเผลอนึกในใจอย่างขบขันนิดๆ เมื่อมองตัวเลขบนแผงหน้าปัด ตรงหน้า

“ดีนะที่เราไม่ได้อยู่ชั้นเจ็ด ไม่อย่างนั้นกว่าจะขึ้นไปถึงได้รากงอกแน่” ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงชั้นที่สี่ หญิงสาวก้าวออกจากประตูลิฟต์พร้อมกับเดินดิ่งไปยังโรงเรียนสอนดนตรีที่ตนเองทำงานอยู่

ปานชีวาผลักบานประตูกระจกเข้ามาก่อนจะเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ ประชาสัมพันธ์พร้อมกับที่สาวประชาสัมพันธ์เงยหน้าขึ้นยิ้มส่งมาให้

“สวัสดีค่ะครูป่าน”

“สวัสดีค่ะมุ้ย”

หล่อนบอกพลางเปิดแฟ้มตารางการสอนที่วางไว้สำหรับให้ครูผู้สอนลงชื่อ แล้วจึงรีบบอกสาวประชาสัมพันธ์ด้วยเสียงเร็วๆ

“ขอตัวก่อนนะคะ วันนี้สายแล้ว เดี๋ยวสอนเสร็จค่อยคุยกันนะจ๊ะ”

ปานชีวาบอกแค่นั้นก็ก้าวยาวๆ เข้าไปตามทางเดินเล็กด้านหลังโต๊ะ ประชาสัมพันธ์ สองข้างทางเดินนั้นถูกแบ่งออกเป็นห้องย่อยเล็กๆ ซึ่งเป็นห้องเรียนแบบตัวต่อตัวสำหรับครูสอนเปียโนและเด็กนักเรียน

หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปในห้องหนึ่งแล้วก็ให้โล่งใจเมื่อนักเรียนของ หล่อนยังไม่มา หล่อนลงนั่งหน้าเปียโนไฟฟ้าแล้วเริ่มเช็กเสียงเปียโน จากนั้นก็หันไปเตรียมหนังสือประกอบการสอน ครู่ถัดมาเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับที่เด็กหญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง

“สวัสดีค่ะคุณครู”

“สวัสดีจ้ะน้องมิ้นท์”

ปานชีวากล่าวทักทายพลางส่งยิ้มให้ รอยยิ้มของหล่อนนั้นเป็นเอกลักษณ์ จนนักเรียนรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนสอนดนตรีหลายคนต่างให้ฉายาว่า

‘ครูป่านยิ้มหวาน’

ถ้านึกถึงครูสอนดนตรีที่ยิ้มหวานที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้ ก็ไม่พ้นต้องเป็น ปานชีวาไปอย่างแน่นอน เพราะในโรงเรียนแห่งนี้ไม่มีใครจะยิ้มหวานได้เท่า หล่อนอีกแล้ว

ปานชีวาชวนนักเรียนคุยเป็นการเปิดโอกาสให้ได้พักเหนื่อยก่อนจะเข้าสู่ กระบวนการสอนที่แท้จริง หล่อนสอบถามนักเรียนว่าได้กลับบ้านไปซ้อมและทำการบ้านตามที่สั่งไว้หรือเปล่า และอึดใจต่อมาการทดสอบว่านักเรียนได้ฝึกซ้อมหรือไม่ก็เริ่มขึ้น...ติดตามต่อในฉบับ...

 

 

 

 

 

รายละเอียด

กฆ่ากับตำรวจ คนสองคนที่ยืนอยู่คนละข้าง ใช้ชีวิตอยู่คนละขั้ว แต่สองใจกลับเกี่ยวพันกันแน่นหนา .......... ระหว่างปานชีวา นักฆ่าสาวแห่งองค์กรลับแพนโดร่า กับร้อยตำรวจตรีสุดเขต ใครคนใดคนหนึ่งต้องเป็นฝ่ายเลือก เลือกที่จะหันหลังให้รัก เพื่อยืนหยัดในหน้าที่ หรือหันหลังให้หน้าที่ เพื่อให้รักได้ดำเนินต่อไป


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024