จากศัตรู สู่หัวใจ (ศตรัสมิ์)

จากศัตรู สู่หัวใจ (ศตรัสมิ์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165000635
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 240.00 บาท 60.00 บาท
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

โภคินก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วหยุดยืนมองร่างเล็กของลูกสาว คนโตที่เดินออกมาจากครัว ตามด้วยสำลีแม่บ้านวัยกลางคนที่ถือตะกร้าหวาย เดินรั้งท้ายมาติดๆ โสภิตาส่งยิ้มให้บิดา หันไปสั่งคนที่อยู่ข้างหลังให้ล่วงหน้าเอาของไปใส่ไว้ในรถ ส่วนหล่อนเดินเข้าไปสวมกอดโภคินเบาๆ

“อรุณสวัสดิ์ค่ะพ่อ น้าสุไปไหนล่ะคะ?” หล่อนถามถึงสุภัทราภรรยาคนใหม่ของพ่อที่เข้ามาอยู่ร่วมบ้านกันนานเกือบเจ็ดปีแล้ว เมื่อแรกเจอทั้งโภคินและสุภัทราต่างก็มีหัวอกเดียวกัน คือเจ็บช้ำกับความรักมา ต่างฝ่ายต่างมองเห็นแผลใจของกันและกัน จึงก่อเกิดความรักความผูกพันตามมาเป็นลำดับขั้น โกคินเห็นว่าสุภัทราไม่เหลือญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว กอปรกับระยะนั้นการก่อตั้ง อัณธำรงวู้ดแลนด์รุดหน้าไปได้ด้วยดี ทำให้ฐานะของเขาเริ่มมั่นคงมากขึ้น จึงตัดสินใจชวนนางมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพี่อเยียวยาความทุกข์และสร้างครอบครัวที่อบอุ่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

แน่นอนว่าลูกสาวทั้งสองคนของโภคินไม่มีใครขัดข้อง ออกจะเห็นใจในชะตากรรมของนางด้วยซ้ำ ทว่าขณะเดียวกันก็ไม่มีใครใจกว้างมากพอจะยกให้นางเป็น ‘แม่’ หรือปฏิบัติต่อนางเยี่ยงปฏิบัติต่อมารดาบังเกิดเกล้าได้ โดยเฉพาะโสภิตา...หล่อนรู้เห็นทุกสิ่งที่แม่แท้ๆ ได้ทำกับพ่อเอาไว้ และรู้ดีว่าคำว่าแม่ จะทำร้ายเราอย่างแสนสาหัส หากใช้เรียกคนที่ไม่ได้หวังดีและรักเราอย่างแท้จริง

ดังนั้นสุภัทราจึงเป็นได้อย่างดีก็แค่ ‘ผู้หญิงที่พ่อรัก’ ...เป็นคนที่อยู่ร่วม บ้านกันได้อย่างสันติและมีความสุข

“เห็นบ่นว่าปวดหัว พ่อเลยบอกให้นอนพักไปก่อน”

หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ สอบถามถึงอาการของแม่เลี้ยงอีกสองสามข้อ แล้วจึงเอ่ยไปอีกเรื่อง

“ตาจะออกไปทำบุญครบรอบสามปีให้ยายรินไปด้วยกันนะคะพ่อ”

โภคินพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มเศร้า ก่อนถามไปถึงว่าที่ลูกเขย “แล้วนี่ รวินไม่ได้มารับลูกเหรอ?”

“วินติดงานค่ะพ่อ เราไปกันสองคนก็พอแล้วค่ะ...ยายรินคงจะดีใจมาก” สองพ่อลูกยิ้มให้กัน หากเป็นรอยยิ้มที่ดูดซับคราบน้ำตาไว้ภายใน คลื่นระลอกใหญ่ที่ชื่อว่า ‘อดีต’ ไม่เคยหยุดซัดสาดเข้ามากระทบหัวใจสองดวงนี้ เวลาอาจทำให้หายขาดจากความเจ็บปวด ทว่ารอยแผลจะยังคงอยู่ ...ทุกครั้งที่มองเห็นมัน จึงมักระลึกถึงความรู้สึกเจ็บปวดครั้งเก่าก่อนได้ชัดเจน

คนเราไม่ได้ทรมานเพราะบาดแผลที่ตกสะเก็ดแล้ว แต่ทรมานเพราะยังจำความรู้สึกเจ็บเมื่อครั้งที่แผลยังสดใหม่ได้แม่นยำต่างหาก!

บรรยากาศตอนสิบโมงครึ่งภายในวัดใกล้บ้านค่อนข้างเงียบสงบ โสภิตา และบิดาช่วยกันจัดดอกไม้ธูปเทียน สำรับอาหารคาวหวาน รวมถึงซองปัจจัยให้พร้อมสำหรับถวายเพล เสร็จพิธีกรรมการทำบุญกรวดน้ำสองพ่อลูกก็เดินไปยังโบสถ์ โสภิตาจุดธูปส่งให้บิดาหนึ่งดอกสำหรับไหว้ดวงวิญญาณเจ้าของอัฐิ... สรารินทำให้พี่สาวและพ่อเข้าวัดเข้าวาบ่อยขึ้น นับตั้งแต่หล่อนตัดสินใจลาจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียงยี่สิบสี่ปี

น้องสาวคนเดียวของหล่อนครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส สุขภาพ จิตดี จนกระทั่งเมื่อแม่จากไปพร้อมชายชู้ สรารินก็กลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ ไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่พูดไม่จากับใคร ร้อนถึงคนเป็นพ่อและพี่สาวต้องช่วยกันทำทุกทางเพี่อเยียวยา ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ดั่งสวรรค์ยังมีเมตตาอยู่บ้างราวสามปีต่อมาสรารินเริ่มกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง ทำกิจกรรมทุกอย่างและออกไป สัมผัสโลกภายนอกเหมือนคนทั่วไป...แต่ก็ไม่ใช่เด็กช่างพูดคนเดิมอีกแล้ว บาง ครั้งถามไปสิบคำ จะตอบกลับมาสักคำก็ยังยากเย็น

ใครต่อใครชอบหาว่าลูกสาวคนเล็กของโภคินเป็นใบ้ แต่ผู้เป็นพ่อไม่เคย โกรธเคืองหรืออับอาย เขาใช้ ‘การเขียน’ เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างตนเองกับลูกสาวคนเล็กเพี่อให้สื่อสารกันได้แนบชิดมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าโสภิตาก็ร่วมแจมด้วย...ไม่ช้าไม่นานบ้านทั้งบ้านก็เต็มไปด้วยกระดาษโน้ตและจดหมายระหว่างพ่อลูก สมุดบันทึกหรือกระดาษเปล่าและปากกาดูจะเป็นของสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับทั้งสามคน...ไม่มีวันไหนเลยที่โภคินจะหยิบเอกสารบนโต๊ะ ทำงานขึ้นมาอ่านโดยที่ยังไม่ได้เปิดจดหมายของลูกๆ สำหรับเขา โสกิตาและสรารินคือยอดดวงใจที่ไม่มีสิ่งใดสูงค่าพอจะเทียบเทียมกันได้

พี่มาเยี่ยมแล้วนะริน...โสภิตาทำเพียงแค่พูดในใจเพราะลำคอตีบตันสองมือที่ประกบกันสั่นเทาและอ่อนล้าจนแทบจะรั้งธูปแค่ดอกเดียวไว้ไม่อยู่ หากไม่ใช่เพราะผู้ชายชั่วช้าไร้ความรับผิดชอบ น้องสาวของหล่อนก็คงไม่ต้องจบชีวิตลงแบบนี้

โสภิตายังจำภาพการตายของน้องสาวได้ติดตา มันเหมือนเงาตามตัว ปรากฏอยู่ทุกที่ที่หล่อนไป...คืนนั้นมีเพียงพวกหล่อนสองพี่น้องอยู่ในบ้าน ส่วนโภคินและสุภัทราต้องบินไปเจรจาเรื่องธุรกิจที่ต่างประเทศ หล่อนไปเคาะประตู ห้องของสรารินพร้อมนมสดอุ่นๆ แก้วหนึ่ง เนื่องจากเป็นห่วงที่น้องสาวเอาแต่ เก็บตัวเงียบไม่ยอมลงไปกินข้าวกินปลา เมื่อไม่มีการตอบรับใดๆ จากคนในห้อง หล่อนจึงถือวิสาสะใช้กุญแจไขเข้าไป ...สรารินนอนน้ำลายฟูมปากอยู่บนเตียง นอน ดวงตาคู่นั้นเหลือกลานเหลือเพียงเนื้อตาสีขาว ร่างนิ่งเกร็งกระตุกซ้ำหลาย ครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลายหลังผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความทรมานทุรนทุราย ล่วงเข้าสู่ครึ่งทางของความตาย เปลือกตาทั้งสองกำลังจะหยุดเคลื่อนไหวไม่มี ปฏิกิริยาใดๆ ต่อสิ่งเร้ารอบกาย ชุดแส็กสีขาวสะอ้านที่หล่อนสวมเปรอะเปื้อน ไปด้วยคราบเลือดที่ไหลออกมาจากช่องคลอด เลอะลามไปถึงเครื่องนอนบนเตียง...สรารินฆ่าตัวตายหลังจากการทำแท้งที่คลินิกเถื่อนล้มเหลว

ตายโดยที่ไม่ยอมบอกว่าใครคือพ่อของก้อนเลือดในมดลูกที่ถูกขูดออกไป!

คืนนั้นหล่อนพาร่างไร้ลมหายใจของน้องสาวไปส่งโรงพยาบาล ด้วยความหวังจะยื้อชีวิตแข่งกับมัจจุราช หากนายแพทย์สุชาติ หรือที่หล่อนกับน้องสาวเรียกจนติดปากว่า ‘อาหมอ’ เพื่อนรุ่นน้องของพ่อยืนยันว่าสรารินเสียชีวิตแล้ว ตั้งแต่ก่อนมาถึงโรงพยาบาล...ความคิดวูบแรกในหัวหล่อนคือจะยอมให้โภคิน รู้เรื่องการทำแท้งของสรารินไม่ได้...ให้ใครรู้ไม่ได้ทั้งนั้น!

หญิงสาวขอร้องอาหมอให้เก็บเรื่องทุกอย่างไว้เป็นความลับและช่วยเป็น กำลังจัดแจงงานศพอีกแรง ซึ่งฝ่ายนั้นก็ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างด้วยความเต็มใจ รับปากว่าจะไม่บอกเรื่องการทำแท้งของสรารินให้ใครรู้ แม้กระทั่งพ่อบังเกิดเกล้าของผู้ตาย!

แน่นอน...โสภิตารู้ดีว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องสราริน ช่วงนั้นหล่อน เพิ่งสำเร็จปริญญาโทจากต่างประเทศ พอกลับมาจึงรู้ว่าน้องสาวกำลังคบหาดูใจอยู่กับชายหนุ่มชื่อเจตน์ โสภิตาเป็นห่วงน้องมากเพราะสรารินยังเป็นสาวแรกรุ่น อ่อนต่อโลก หล่อนจึงลองสืบประวัติของเจตน์ดู พบว่าก่อนจะมารู้จักกับสราริน เขาเคยติดคุกในคดีฆ่าคนตายมาแล้ว แม้จะเป็นลูกผู้ดีมีชาติตระกูลคนหนึ่ง ทว่า พฤติกรรมเยี่ยงเดนสังคมทำให้เจตน์ถูกครอบครัวลอยแพ ไม่มีใครยินดียินร้าย ตอนที่รู้ว่าชายหนุ่มพ้นโทษ

โสภิตาพยายามเตือนสรารินทุกวิถีทาง และเมื่อน้องสาวไม่ยอมฟังหล่อน จึงทิ้งไม้อ่อน หยิบไม้แข็งขึ้นมาหวังฟาดฟันความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ขาด สะบั้น หากจนแล้วจนรอดก็ไม่อาจยับยั้งทั้งสองคนได้

จนกระทั่งเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น...

“ถ้ายายรินยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็อายุเต็มยี่สิบเจ็ดแล้วนะคะพ่อ” รอยยิ้มของหล่อนหาความชุ่มชื่นไม่เจอ เช่นเดียวกับคนข้างตัวที่แววตามีเพียงความแห้งแล้ง

“และถ้าตาพูดเรื่องอายุ ยายรินก็จะลืมตัว ทนเงียบต่อไปไม่ไหว ต้องร้อง โอดครวญออกมาทุกทีว่ารินไม่อยากแก่เลยพี่ตา...ถ้ารินแก่ขึ้น ทุกคนก็ต้องแก่ ตาม มันแปลว่าเราสามคนพ่อลูกจะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงเรื่อยๆ” หล่อนเพียงขยับเปลือกตาเบาๆน้ำตาก็ไหลลงมากระทบแก้ม...ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้นโสภิตามักจะยิ้ม เข้าใจว่าถ้าไม่มีหล่อนกับพ่ออยู่ด้วยแล้ว ชีวิตที่เหลือของน้องสาวคงหงอยเหงา การที่สรารินกลับมายิ้มแย้ม และยอมพูดอีกครั้งคือบทพิสูจน์ที่สะท้อนให้เห็นว่ากำลังใจจากคนในครอบครัวมีค่ามากขนาดไหน

แต่ใครเลยจะรู้...คนที่พร่ำบอกว่าไม่อยากให้ทุกคนจากตนไป สุดท้ายจะชิงจากไปก่อน!

“กลับกันดีกว่า ยืนตากแดดนานๆ เดี๋ยวจะไม่สบาย” โภคินพูดพลางแตะต้นแขนของลูกสาวให้เดินไปด้วยกัน ปล่อยให้ควันธูปสองดอกที่ปักอยู่ในกระถางหน้าช่องเก็บอัฐิลอยอวลส่งสารไปบอกดวงวิญญาณของสราริน... ว่าความตายไม่เคยลดทอนเวลาที่สามพ่อลูกจะได้มีร่วมกันในชาตินี้ให้ลดน้อยลงได้เลย

ธูปดอกที่สามถูกปักลงหลังจากพ่อลูกตระกูลอัณธำรงคล้อยหลังไปไม่นาน มือหนาทาบลงบนแผ่นหินอ่อนปิดหน้าช่องเก็บอัฐิที่สลักชื่อของผู้ล่วงลับ ราวกับจะส่งความระลึกถึงทั้งมวลไปให้ ดวงตาคมสีนิลมีประกายอ่อนโยนยามหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เขาและสรารินเคยมีร่วมกัน

แปดเดือน...ไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานสำหรับการคบหาดูใจของคนคู่หนึ่ง แต่มันมากพอที่ความผูกพันจะหยั่งรากลงในหัวใจ เขาตอบไม่ได้ว่าหลงรักหล่อนตรงไหน อาจเพราะความเรียบร้อย อ่อนต่อโลก และช่างเอาอกเอาใจ สรารินขาดแม่แต่ได้รับความอบอุ่นจากบิดา พี่สาว รวมถึงแม่เลี้ยงไม่เคยพร่อง ผิดกับเขาที่มีพ่อแม่ครบ พี่น้องอีกสี่คน...แต่เหมือนไม่มีใครเลย

เจตน์หลับตาสูดกลิ่นดอกแก้วช่อเล็กที่เขาตั้งไว้ให้หล่อน สรารินชอบดอกแก้ว หล่อนเคยเล่าให้พังว่าโสภิตาผู้เป็นพี่สาวชอบดอกกุหลาบเหมือนผู้หญิงส่วนมาก แต่สำหรับหล่อนกุหลาบเป็นตัวแทนของความหอมที่แฝงไว้ด้วยอันตรายและความเจ็บปวด ผิดกับดอกแก้วที่ดอมดมได้โดยไม่ต้องหวั่นจะถูกหนามทิ่มแทงให้เจ็บปวด

‘พี่ตามีรสนิยมทันสมัยเสมอค่ะ ส่วนรินรสนิยมพื้นๆ พ่อเคยบอกว่า สมาชิกในครอบครัวเรามีหลายรสชาติ พี่ตาเปรี้ยวเหมือนมะนาว ส่วนรินหวาน เหมือนน้ำตาล พี่ตาได้ยินแบบนั้นก็รีบค้านว่า ส่วนพ่อก็เค็มเหมือนเกลือ เพราะพ่องกที่สุดในบ้าน’

ชายหนุ่มหลุดยิ้มเมื่อนึกถึงสีหน้าสุขใจของคนเล่า เขาเคยถามว่าเหตุใด สรารินจึงไม่ค่อยยอมพูด หล่อนนิ่งไปนานครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มปริปากเล่า

‘แม่ไม่ให้พูด...รินเคยบอกพ่อว่าเห็นแม่อยู่กับคนงานชายในร้าน แล้วพ่อ กับแม่ก็ทะเลาะกัน แม่โกรธมาก พอรู้ว่ารินเป็นคนบอกเรื่องนี้กับพ่อ แม่ก็บอกว่าเกลียดริน แม่จะหนีไปไม่กลับมาอีก แม่เกลียดเด็กพูดมาก แม่เกลียดเสียงของริน...เกลียดริน...’

น้ำตาหยดลงอาบสองแก้มของสาวน้อยทว่าไร้เสียงสะอื้น คำพูดของแม่ยังคงดังก้องติดหูไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปี เจตน์สงสารหล่อนจับใจ รู้ดีว่าความรู้สึกยามถูกเชือดเฉือนด้วยสายตาชิงชังจากคนในครอบครัวนั้นทรมาน เพียงใด เขาทำได้เพียงรวบร่างสั่นเทามาไว้ในอ้อมแขน และตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยคิดจะถามเรื่องมารดาของหล่อนอีกเลย

วันที่สรารินเสียชีวิตเขาพยายามส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือไปหา หล่อน แต่เมื่อไม่มีการตอบกลับจึงแวะไปดูละแวกบ้านหล่อน เห็นคนงานในบ้าน สวมชุดขาวดำกันหมดก็เกิดเอะใจ จึงลองโทรศัพท์เข้าเบอร์บ้าน ใครสักคนรับสายแล้วตอบทั้งที่ยังสะอื้นไห้ปิ่มจะขาดใจว่าสรารินตายแล้ว...จากนั้นสายก็ถูกตัดทิ้ง และไม่ว่าจะพยายามติดต่ออย่างไรก็ไม่สำเร็จ โสภิตากีดกันเขาทุกทาง ไม่ยอมแม้กระทั้งให้เขาไปไหว้ศพแฟนสาว แม่นั่นไล่เขาออกจากงานศพ ที่มีแขกเหรื่อหลายร้อยคนเหมือนหมูเหมือนหมา

หล่อนรักน้องที่สุด...แต่ก็ใจดำและเลือดเย็นเหลือเกิน!

สามปีที่ผ่านมานี้เจตน์จมอยู่กับความเชื่อเดียว คือสรารินฆ่าตัวตายเพราะทนรับแรงกดดันจากพี่สาวแสนร้ายไม่ไหว...โสภิตาคือฆาตกรที่ปลิดชีวิตน้องสาวตัวเองได้โดยไม่ถูกกฎหมายเอาผิด!

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นปลุกชายหนุ่มออกจากภวังค์ เขาเหลียวมองรอบกายพบว่ามีคนอื่นมาไหว้อัฐิของญาติผู้ล่วงลับอีกสามสี่คน จึงตัดสินใจเดินเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์ทางอื่น เนื่องจากเรื่องที่จะคุยกับปลายสายค่อนข้างเป็นความลับ ผ่านไปราวยี่สิบนาทีจึงเดินย้อนกลับมาที่ช่องเก็บอัฐิของสรารินอีกครั้ง ตั้งใจจะบอกลาหล่อน หากสายตากลับสะดุดกับจำนวนธูปที่ปักอยู่ตรงนั้น

มีธูปสี่ดอก...พร้อมดอกแก้วที่เพิ่มมาอีกหนึ่งช่อ...ใหญ่กว่าช่อที่เขานำมาวางไว้ก่อนหน้า

เจตน์กวาดสายตามองหาเจ้าของธูปดอกที่สี่และช่อดอกแก้วลึกลับอย่าง รวดเร็ว ทว่าพบเพียงความว่างเปล่า...ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว ไม่มีแม้แต่คนเดียว...

โสภิตาแวะส่งโภคินที่บ้านก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอัณธำรงวู้ดแลนด์ บริษัทค้าไม้ที่บิดาของหล่อนสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง จากร้านเล็กๆ พื้นที่แค่สามคูหาริมถนนแถวชานเมือง ขยับขยายจนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทรับชื้อไม้ แปรรูปยักษ์ใหญ่เพื่อส่งออกไปขายยังต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดแถวอเมริกา ทั้งยังได้สัมปทานตัดไม้ในรัฐฉานประเทศพม่า มีโรงเลื่อยและแปรรูปไม้กระจาย อยู่ตามด่านต่างๆ แถบชายแดนเหนือ และคนงานเรือนพัน ปัจจุบันมีหุ้นส่วนอีกสามราย ซึ่งสองในสามคือเพื่อนสนิทของโภคินที่เติบโตอยู่ในต่างจังหวัดด้วยกัน และมาฝ่าฟันจนได้ดิบได้ดีในกรุงเทพฯ

หากเทียบผลกำไรของอัณธำรงวู้ดแลนด์กับยักษ์ใหญ่ผู้ส่งออกและเจ้าของสัมปทานรายอื่นแล้ว ยังจัดว่าอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากโภคินต้องการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส ไม่พึงจะเป็นพ่อเลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของใคร เขาไม่ต้องการให้มีการลักลอบนำเข้าไม้เถื่อนเข้ามาแม้หลายครั้งจะมีช่องโหว่ให้สามารถทำได้เพราะคนในเครื่องแบบเป็นใจก็ตาม

โสภิตาส่งยิ้มทักทายพนักงานทุกคนอย่างเป็นกันเอง หากยังแฝงทีท่าไว้ตัว เป็นที่รู้กันในบริษัทว่าลูกสาวคนโตของท่านประธานอ่อนหวานไม่ได้ครึ่งของ น้องสาว และสรารินก็ใจร้อนเจ้าอารมณ์ไม่ได้เศษเสี้ยวของผู้เป็นพี่ หากพวกหล่อนก็รักใคร่กลมเกลียวกันดี โกคินเป็นพ่อที่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกสาวมาตลอด...จนกระทั่งวันที่สรารินฆ่าตัวตาย สายตาชื่นชมของคนรอบข้างก็เหมือนจะเปลี่ยนไป

พวกเขามองเห็นแค่พ่อที่ล้มเหลวคนหนึ่ง...

หญิงสาวอาศัยความเงียบและความว่างเปล่าในลิฟต์เป็นที่สำหรับถอน หายใจเอาความอ่อนล้าทั้งไป หล่อนเป็นลูกสาวคนโต มีหน้าที่ต้องแบกรับภาระ และความหวังมากมายจากโภคิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสรารินตาย โปรดติดตามต่อในฉบับ

 

 

 

 

 

รายละเอียด

เมื่ออดีตนักกีฬายิงปืนถูกปัญหาชีวิตบีบคั้นให้จำต้องเลือกทางเดินชีวิตด้วยการเป็นมือปืนรับจ้าง เรื่องยิ่งยุ่งยากกว่านั้น...เมื่อเหยื่อในใบสั่งฆ่าใบแรกของเขา คือ พี่สาวของอดีตคนรัก .......... นักกีฬายิงปืน-มือปืน สองงานที่ทั้งเหมือนและต่างกันสุดขั้ว เมื่อความล้มเหลวซ้ำซากในชีวิตบีบคั้นให้เลือกทางเดิน เจตน์จึงต้องชั่งใจอย่างหนัก ทุจริต...หักหลัง สองคำที่เป็นเสมือนตัวเอกในโลกธุรกิจ เมื่อบทบาทหน้าที่กำหนดให้ยืนหยัดอยู่ในเกมแห่งผลประโยชน์ โสภิตาจึงต้องเดินหน้าสู้เพื่อปกป้องเกียรติและคนที่รัก งานแรกของเจตน์คือฆ่าหล่อน - ผู้หญิงที่ควรฆ่าเพราะเป็นศัตรูเก่า แต่ก็ควรปกป้องในฐานะที่เป็นพี่สาวของอดีตคนรัก วินาทีที่ตอบรับงานนี้ เขารู้ดีว่าจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024