วิวาห์สนธยา (อิสย่าห์)

วิวาห์สนธยา (อิสย่าห์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160016471
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 330.00 บาท 82.50 บาท
ประหยัด: 247.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                         แว่วเสียงสะอื้น

 

สิบเก้าปีต่อมา

ประมาณเที่ยงคืนเศษ รถหรูสีดำติดฟิล์มทึบคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้า

บริษัทบลูโอเชียนปริ๊นเซส ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจบ่อนกาสิโนบนเรือสำราญที่

ล่องในทะเลอันดามัน

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเปิดประตูรถและก้าวออกมา ใบหน้าคมคาย

ของเขาดูเย็นชา คิ้วเข้มซึ่งตรงปลายเฉียงขึ้นเล็กน้อยขมวดมุ่นเข้าหากัน ฟ้อง

ให้เห็นว่าเจ้าตัวอารมณ์ไม่น่าจะดีนัก

แต่จะให้ไตรติณห์อารมณ์ดีได้อย่างไร ในเมื่อเขาต้องมาจัดการธุระ

ในบริษัทตอนดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้ หลังจากเหนื่อยล้ากับการทำงานมาทั้งวัน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงหงุดหงิดเจ้าตัวต้นเหตุของความยุ่งยากมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

เกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ลูกน้องของเขาพยายามตามหาตัวหมอนี่

แทบพลิกแผ่นดิน เพราะนั่นคือประกาศิตของเขา

ไอ้ตัวแสบนี่คือหนึ่งในลูกค้าเรือสำราญของเขา เมื่อราวเกือบสาม

สัปดาห์ก่อน มันสิงสถิตอยู่ในบ่อนกาสิโนบนเรือทั้งวันทั้งคืน ก่อนจะลงจาก

เรือเมื่อเรือเทียบท่าในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นท่าเรือสำราญส่วนตัวของ

บริษัทบลูโอเชียนปริ๊นเซส

แต่หมอนี่ไม่ได้ลงจากเรือมือเปล่า มันขโมยนาฬิการาคาเหยียบล้าน

ของลูกค้าคนหนึ่งบนเรือสำราญไปด้วย

ตอนแรกที่ลูกค้าคนนั้นมาร้องเรียนขณะเรือเทียบท่าว่า นาฬิกาข้อมือ

ราคาแพงหูฉี่หายไปในวันสุดท้ายของการอยู่บนเรือ และเจ้าของนาฬิกาลืม

มันไว้ในห้องน้ำบนเรือส-ำราญ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าใครคือหัวขโมย เมื่อตรวจ

สอบจากกล้องวงจรปิดบนเรือก็ไม่พบเบาะแสใดๆ ในช่วงแรกไตรติณห์

สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของพนักงานเสิร์ฟบนเรือ แต่หลังจากเรียกมาสอบสวน

รายบุคคลก็ไม่พบใครมีพิรุธ

เรื่องนี้สร้างความเสื่อมเสียให้แก่บริษัทของเขาไม่น้อย แม้ว่าลูกค้า

รายนั้นจะเป็นฝ่ายเลินเล่อถอดนาฬิกาลืมไว้เองก็ตาม แต่แน่นอนว่าเขาย่อม

ไม่อยากให้เรื่องไม่น่าพึงประสงค์นี้หลุดไปถึงหูลูกค้าคนอื่นๆ หรือใครก็ตาม

ที่อาจเป็นลูกค้าในอนาคต เพราะนั่นหมายถึงความเป็นไปได้ที่เขาอาจจะเสีย

ลูกค้าเหล่านั้นไปให้คู่แข่งรายอื่น

ธุรกิจกาสิโนบนเรือสำราญอาจไม่ได้มีดาษดื่นเมือนธุรกิจร้าน

สะดวกซื้อ แต่ผู้ประกอบธุรกิจเรือสำราญเหล่านี้ล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ

ทั้งสิ้น การห้ำหั่นในเชิงธุรกิจจึงร้อนแรงและดุเดือดไม่แพ้ธุรกิจประเภทอื่น

หรือเผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

ดังนั้นเขาไม่มีทางยอมให้เรื่องหัวขโมยนั่นมาทำให้ธุรกิจของเขาสะดุดเด็ดขาด

แล้วก็โชคดีที่เมื่อราวสองสัปดาห์ก่อน เจ้าของร้านเครื่องเพชรที่เป็น

ลูกค้ารายหนึ่งของเขาบังเอิญเอานาฬิกาฝังเพชรราคาเหยียบล้านเรือนนั้นมา

เสนอขายให้หนึ่งในผู้ช่วยของเขาในราคาถูกกว่าท้องตลาดถึงเกือบห้าสิบ

เปอร์เซ็นต์ หลังจากซักไซ้ก็ทราบว่าเจ้าของร้านเครื่องเพชรรับซื้อมาจาก

หัวขโมยตัวแสบรายนั้นอีกที หมอนั่นคงร้อนเงินมาก เลยปล่อยของอย่าง

ไม่รีรอ ชายหนุ่มจึงจำต้องรับซื้อนาฬิกาเรือนนั้นเพื่อส่งคืนให้ผู้เสียหายซึ่ง

เป็นลูกค้าวีไอพี พร้อมกับความเจ็บใจตัวต้นเหตุ

สองสัปดาห์แห่งการรอคอยของเขาสิ้นสุดลง เมื่อลูกน้องลากตัว

หัวขโมยมายังบริษัทของเขา และโทร. แจ้งเขาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้

ชายหนุ่มบึ่งรถออกจากบ้านมาทันทีพร้อมกับอารมณ์โกรธและหงุดหงิด

ตั้งใจว่าจะจัดการไอ้ตัวแสบให้หายโมโหที่ทำให้เขาวุ่นวาย

ไตรติณห์ผลักประตูกระจกเข้าไปในบริษัท นัยน์ตาซึ่งแฝงประกาย

ความแข็งกร้าวจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นในห้องโถงของ

บริษัท สองมือของเขาถูกมัดไพล่หลัง ใบหน้าฟกช้ำบวมเป่ง โหนกแก้ม

ด้านขวามีรอยเลือดเป็นทางยาว

หนึ่งเดียว ซึ่งเป็นผู้ช่วยมือขวาของไตรติณห์ พร้อมกับลูกน้องหน้า

เหี้ยมอีกสองคนที่ยืนคุมเชิงฝ่ายนั้น มีกิริยาสำรวมขึ้นมาทันทีเมื่อเห็น

ไตรติณห์สาวเท้าเข้ามา

ในฐานะเจ้าของธุรกิจบ่อนกาสิโนบนเรือสำราญ เขาจำเป็นต้องมี

ลูกน้องกึ่งนักเลงในอาณัติเพื่อดูแลธุรกิจในบ่อน บ่อยครั้งที่ลูกค้าบางราย

อยากกระตุกหนวดเสือ บ้างก็มาแบบข้ามาคนเดียว บ้างก็มากันเป็นทีม เพื่อ

เข้ามาหาเงินด้วยการใช้กลโกงในบ่อนของเขา ลูกน้องของเขาต้องจัดการ

สิบแปดมงกุฎเหล่านี้ด้วยไม้แข็ง จะได้เข็ดหลาบ แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีคนอยาก

ลองดีไม่หยุดหย่อน

การชกต่อยทะเลาะวิวาทในบ่อนกาสิโนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ลูกน้อง

ของเขาต้องควบคุมและจัดการ รวมทั้งปัญหาจิปาถะอื่นๆ อย่างการตามล่า

หัวขโมยเฉกเช่นคราวนี้

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่และสื่อต่างๆ รับรู้กันว่า เขาสืบทอดตำแหน่ง

มาเฟียบ่อนกาสิโนบนเรือสำราญต่อจากพ่อ หลังจากท่านเสียชีวิตไปเมื่อ

หลายเดือนก่อน ท่านคือหนึ่งในผู้บุกเบิกธุรกิจบ่อนกาสิโนบนเรือสำราญ

และเป็นหนึ่งในมาเฟียคนดังของเมืองไทย

ด้วยเหตุนี้กระมังเขาเลยต้องกลายเป็นมาเฟียในสายตาคนภายนอก

แม้เขาจะไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นมาเฟีย แต่เป็นแค่เจ้าของธุรกิจคนหนึ่งก็ตาม

“ตามตัวมันเจอที่ไหน” ไตรติณห์ถามเสียงเย็น ยังไม่ละสายตาไปจาก

คนหน้าตาฟกช้ำซึ่งมองเขาด้วยสายตาหวาดหวั่น ตัวสั่นงันงก พร้อมกับ

ยกมือไหว้ปลกๆ

“มันหนีไปอยุธยาครับ แต่กว่าจะลากตัวกลับมาได้ต้องออกแรงไม่

น้อย หน้าตามันเลยช้ำเลือดช้ำหนองแบบนี้” หนึ่งเดียวตอบ

“ดี โดนซะบ้างจะได้หลาบจำ ฉันว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าเป็นฉัน มัน

คงได้โชกเลือดกว่านี้”

“อย่าทำผมเลย ผมสำนึกผิดแล้ว ผมไม่กล้าทำอีกแล้ว” หัวขโมยวิงวอน

“เพิ่งมาสำนึกผิดตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ทำไมตอนแกจะขโมย

ของไม่รู้จักสำนึก” ไตรติณห์ถาม

“ผมขอโทษ ผม...มันโง่ ผมมันเลว แต่ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำเรื่อง

เลวๆ แบบนี้อีก”

ไตรติณห์หัวเราะเสียงหยันในลำคอ “ไม่ต้องห่วงหรอก แกคงหมด

สิทธิ์จะขโมยของชาวบ้านอีกแล้ว เพราะฉันจะตัดนิ้วแกทีละนิ้วจนกุดทั้งสิบนิ้ว”

ชายหนุ่มผิวสองสีหน้าซีดเผือดทันควัน ฟุบหน้าลงกับพื้นเพื่อกราบ

กรานไตรติณห์ และวิงวอนร้องขอความเมตตา

“แกมาสำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้วละ นอกจากแกจะทำให้ฉันวุ่นวาย

เสียเวล่ำเวลา ยังทำให้ฉันต้องเสียเงินโดยใช่เหตุอีกตั้งหลายแสน รู้มั้ยโทษ

ของแกมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะให้อภัยได้ จับมันไว้ เตรียมตัดนิ้วมัน

ทีละนิ้ว” ประโยคท้ายชายหนุ่มสั่งเสียงเหี้ยมเกรียม

“อย่า อย่าทำอะไรผมเลย ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ

ผมไม่อยากโดนตัดนิ้ว!” หัวขโมยโวยวายเสียงหลง กลัวจนสติแตก ปัสสาวะราดออกมาเดี๋ยวนั้น

เจ้าของบริษัทมองคนร้องโวยวายอย่างสมเพช เมื่อผู้ช่วยมือขวาของ

ไตรติณห์พยักหน้าให้สองลูกน้อง ทั้งสองก็เข้าไปจับมือสองข้างของเขาไว้

อย่างแน่นหนา พร้อมกับควักมีดปลายแหลมออกมาคนละเล่ม ทำให้คนถูก

จับยิ่งร้องโวยวายกึ่งสะอื้น

“ฉันรำคาญเสียงมันเต็มแก่แล้ว ตัดนิ้วมันซะ” ไตรติณห์สั่ง

ลูกน้องทั้งสองทำตามคำสั่งทันที เงื้อมีดเตรียมจะตัดนิ้วมือทั้งสอง

ข้าง แต่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไตรติณห์ก็ดังขึ้นก่อนมีดจะเฉือนโคนนิ้ว

ไตรติณห์หยิบโทรศัพท์ออกมากดรับสายจากลูกน้องของเขาที่อยู่บน

เรือสำราญ ต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญมากแน่นอน ไม่อย่างนั้นลูกน้อง

ของเขาคงไม่โทร. มาหายามวิกาลเช่นนี้

คนถูกจับถอนหายใจดังเฮือก เกือบจะหมดสติอยู่รอมร่อ

“ว่าไงนะ แล้วหนักแค่ไหน” ไตรติณห์ถามปลายสายกลับไป หลังจาก

รับทราบว่ามีแขกบนเรือสำราญคนหนึ่งเกิดเมาแล้วเอานิ้วไปแหย่ในช่อง

หยอดเหรียญของตู้สลอตแมชีน จนนิ้วติดอยู่ในช่องนั้นนานกว่าสองชั่วโมง

แล้ว ขณะนี้พนักงานบนเรือกับแพทย์ประจำเรือคนหนึ่งกำลังช่วยกันอย่างสุดความสามารถ

ระหว่างรอให้ลูกน้องส่งสายให้แพทย์คนดังกล่าว ไตรติณห์ก็หันไป

บอกกับลูกน้องที่กำลังเตรียมพร้อมจะจัดการกับหัวขโมยนาฬิกาข้อมือราคาแพงว่า

“รอแป๊บนึง รอฉันจัดการเรื่องขี้เมาบนเรือที่หาเรื่องให้ฉันปวดหัวให้

เสร็จก่อน...ครับหมอ อาการหนักขนาดไหนครับ” ไตรติณห์ถามปลายสายในช่วงท้าย

“เท่าที่ผมดูอาจจะต้องตัดนิ้วครับ เพราะนิ้วติดอยู่ลึกมาก ยังไม่มี

แนวโน้มว่าจะเอานิ้วออกมาได้ ติดมาร่วมสองชั่วโมงแล้วด้วย ตอนนี้นิ้ว

เปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วงไปหมด เซลล์น่าจะตายหมดแล้ว” ปลายสายอธิบาย

“ไม่มีทางอื่นแล้วหรือครับ”

“น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”

“แล้วคนเจ็บเป็นยังไงบ้าง”

“หมดสติไปแล้วครับ เขามาเที่ยวบนเรือคนเดียวซะด้วย ติดต่อคน

ทางบ้านก็ไม่ได้ เราคงต้องตัดสินใจกันแล้วละครับว่าจะเอายังไงดี”

“แล้วหมอคิดว่ายังไง”

“คงต้อง...ตัดแล้วละครับ”

ไตรติณห์ถอนหายใจหนึ่งเฮือก ก่อนจะตอบไปว่า “งั้น...ตัดนิ้วเลย”

เท่านั้นเอง ลูกน้องทั้งสองคนที่ถือมีดไว้ก็ลงมือตัดนิ้วหัวขโมยข้างละ

นิ้วทันที เลือดสดๆ ไหลพุ่งจากมือทั้งสองข้างของคนที่ถูกจับตัวไว้ พร้อม

กับที่เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องกังวานขึ้นทั่วห้องโถงชั้นล่าง

“จ๊าก! โอยยย...”

ไตรติณห์กดวางสายและหันไปมองตามเสียง เขาทำหน้านิ่วเมื่อเห็น

นิ้วตกอยู่บนพื้นสองนิ้ว เลือดยังไหลทะลักออกมาจากมือทั้งสองข้างของคน

ที่ถูกจับไว้

“ใครสั่งให้พวกแกตัดนิ้วไอ้หมอนี่” ชายหนุ่มถามเสียงละเหี่ย

ผู้ช่วยมือขวาหันไปมองลูกน้องอีกสองคนด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กไม่ต่างกัน

“เอ่อ...ก็เมื่อกี้คุณไตรสั่งว่าให้ตัดนิ้วเลยไงครับ” หนึ่งเดียวตอบ

ไตรติณห์ถอนหายใจ “ฉันไม่ได้สั่งพวกนาย ฉันคุยกับหมอ บอกให้

หมอตัดนิ้วขี้เมาที่นิ้วติดในช่องหยอดเหรียญของเครื่องสลอตแมชีน”

ลูกน้องทั้งสามหน้าเหลอไปตามๆ กัน พร้อมกับก้มมองเลือดที่ยัง

ไหลพุ่งนองพื้น ส่วนคนโดนตัดนิ้วก็ยิ่งร้องโหยหวนกึ่งปล่อยโฮ ราวกับทั้ง

เจ็บปวดและชอกช้ำใจอย่างเหลือแสนไปพร้อมๆ กัน

“แล้วเอาไงต่อดีครับ” ผู้ช่วยมือขวาถามอีก

“ตัดนิ้วไหนของมันไปบ้าง” ไตรติณห์ถาม

ลูกน้องคนหนึ่งตอบว่านิ้วนาง อีกคนตอบว่านิ้วกลาง

“ยังดีนะที่พวกนายไม่ได้ตัดนิ้วโป้ง ไม่อย่างนั้นมันคงน่าสมเพชยิ่งกว่านี้”

“แล้วเอาไงต่อดีครับ จะให้พวกเราตัดนิ้วที่เหลือด้วยรึเปล่าครับ” หนึ่ง

ในสองลูกน้องหน้าเหี้ยมถาม

เสียงร้องโหยหวนกวนประสาทดังก้องขึ้นอีกคำรบจนไตรติณห์ทำเสียงจิ๊อย่างรำคาญ

“ช่วยทำให้มันหยุดโหยหวนก่อนได้มั้ย ฉันรำคาญ”

หนึ่งเดียวหันไปพยักหน้าให้สองลูกน้องหน้าเหี้ยมอีกครั้ง ลูกน้องคน

หนึ่งเลยหันไปสั่งลูกน้องอีกคนให้ถอดรองเท้าผ้าใบออกมาข้างหนึ่ง

“ถอดทำไมพี่” “

ก็เอาให้มันคาบไง มันจะได้เงียบเสียง”

“แต่...ฉันเพิ่งซื้อคู่นี้มาเองนะ เปลี่ยนเป็นถุงเท้าได้มั้ยพี่”

“เอ่อ อะไรก็เอามาเถอะ”

ลูกน้องที่อ่อนวัยกว่าถอดถุงเท้าซึ่งมีรอยขาดโหว่ส่งให้ลูกพี่ อีกฝ่าย

เลยเอาถุงเท้ายัดใส่ปากคนที่ยังร้องโหยหวนไม่เลิก

สีหน้าหงุดหงิดของไตรติณห์คลายลงเมื่อเสียงร้องโหยหวนเหลือเพียงเสียงอู้อี้

“ค่อยยังชั่วหน่อย หมอนี่ร้องได้น่ารำคาญมาก”

“เอ่อ แล้วเราต้องตัดนิ้วมันต่อมั้ยครับ” ผู้ช่วยมือขวาถามอีก

ไตรติณห์ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “อันที่จริงวันนี้ฉัน

ก็ไม่ได้คิดจะตัดนิ้วมันหรอกนะ แค่อยากขู่ก่อน แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่พวกนาย

ตัดไปแล้ว เอาเป็นว่าปล่อยมันไป ให้มันไปรักษาตัวแล้วค่อยไปหาเงินมาใช้

คืนฉัน แต่ถ้ามันไม่ใช้คืน คราวหน้าฉันจะให้พวกนายตัดนิ้วมือกับนิ้วเท้า

มันให้เรียบวุธ”

                          (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

กลายเป็นเรื่องน้ำเน่าในยุคสี่ห้าจี 
เมื่อ ไตรติณห์ เจ้าพ่อบ่อนกาสิโนบนเรือสำราญ ถูกย่าบังคับให้แต่งงานกับ 
พลอยสรวง สาวน้อยแสนเชย ที่เคยตามติดเขาเป็นเงาตามตัวมาตั้งแต่เด็ก 
เขาพยายามล้มงานวิวาห์ครั้งนี้ ด้วยการหาทางกำจัดเธอทุกวิถีทาง 
แล้วก็ประสบความสำเร็จในที่สุด 
ทว่ากลับมีผีเด็กวนเวียนอยู่ในบ้านเขา และบังคับให้เขาตามพลอยสรวงกลับมา 
ไม่เช่นนั้นจะตามหลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต 
เจ้าพ่อมาดเข้มที่กลัวผีขึ้นสมองจึงต้องยอมเสียหน้าไปตามเจ้าสาว 
เพราะเธอคือคนเดียวที่จะทำให้ผีเด็กสุดเฮี้ยนยอมออกจากบ้าน 
ด้วยเงื่อนไขที่ว่า เขากับเธอต้องช่วยกันตามหาพ่อของผีเด็กที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนหนึ่ง 
ยิ่งสืบสาว ทั้งสองก็ยิ่งพบเงื่อนงำมากขึ้น 
สุดท้ายแล้ววิวาห์สุดหลอนปนฮาของเขากับเธอจะเป็นเช่นไร 
และผีเด็กจะยอมออกจากบ้านเขาหรือไม่ 
ในเมื่อเรื่องราวครั้งนี้ดูจะไม่ได้จบลงง่ายๆ เสียแล้ว 
 
 
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป มาติดตามพร้อมกันใน วิวาห์สนธยาเล่มนี้

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024