ในรอยใจ
ประหยัด: 91.00 บาท ( 35.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 1 รายการราคา 120.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
|
เสียงนกกาเหว่าซึ่งดังก้องแต่เช้ามืดปลุกให้เขาตื่นจากห้วงนิทรา
แต่ท้องฟ้าที่เพิ่งจะเริ่มสว่างและดูสลัวอยู่เต็มที ทำให้ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับที่นอน
อีกครั้ง ครั้งนี้เขาใช้หมอนโปะไว้บนหัวโดยอุดหูทั้งสองข้างแล้วหลับต่อได้ แม้จะมี
เสียงแซ่สนั่นของฝูงนกที่อาศัยทำรังนอนบนกิ่งต้นหว้าสูงใหญ่ริมฝั่งน้ำใกล้เรือนพัก
ดังตามมาก็ตาม
แสงแรกของวันค่อย ๆ โผล่จับแนวขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกเป็นสีทองอร่าม ตัดกับสีเขียวของทิวไม้ตามฟากฝังคลอง
เสียงนกเซ็งแซ่ค่อยซาลงด้วยมันคงพากัน ออกไปหากิน สายลมพัดเอื่อย ๆ เข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ พาความบริสุทธิ์
สดชื่นลอดผ่านม่านบางพลิ้วมายังคนที่นอนคุดคู้สบายอารมณ์
“ตูม...!” เสียงสนั่นอยู่ไม่ไกลทำให้เขาสะดุ้งพรวด เสียงนกกาที่เพิ่งซาไป
ถูกแทนที่ด้วยเสียงเหม่อนลิงสักฝูงขึ้นไปขย่มอยู่บนกิ่งไม้ ชายหนุ่มชะโงกออกไป
มองทางหน้าต่าง
กิ่งหว้าใหญ่ไหวพะเยิบ ใบที่คลุมครึ้มทำให้เขาเห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตบนกิ่งหว้านั้น ไม่ถนัดนัก แล้วร่างผอมๆ ดำๆ ก็ทะยานลงสู่ผืนน้ำ ผิวน้ำแตกกระจายพร้อมกับ
เสียงตูม...นั่นคือ '‘ค่าตอบ”
ตูมที่สอง...สาม...แล้วก็สี่...ห้าตามมาเรื่อย ๆ
เขายืนกอดอกมองอย่างอ่อนใจ ดูเอาเถอะ...อุตส่าห์หนีความจอแจในเมือง
ใหญ่มาพักผ่อนให้สบายใจ กลับต้องรีบลืมตาตื่นขึ้นมาแต่เช้า
เขามองร่างผอมดำเหล่านั้นดำผุดดำว่ายอยู่ในสายนํ้าสีนํ้าตาลอ่อนซึ่งยังคง ความใสสะอาด สักพักก็ตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปตามกิ่งใหญ่ที่ทอดลงปริ่มน้ำ
ก่อนจะโหนตัวดำ ๆ เป็นเงาขึ้นไปบนกิ่งที่สูงกว่าเพื่อจะปล่อยตัวลอยละลิ่วลงมาใหม่
เออ...ท่าจะสนุกดี เขานึกขัน ความง่วงงุนดูจะหายไป น้ำกระเซ็นต้อง
แสงตะวันยามเช้าเป็นเกล็ดประกายทองระยับตา ช่างเป็นความงามที่ธรรมชาติ สร้างสรรค์อย่างแห้จริง เออ...เขาเคยเห็นภาพเช่นนี้ในโฆษณาอยู่เหมือนกัน เด็ก
ตัวดำ ๆ แก้ผ้าล่อนจ้อนพากันกระโดดลงนั้า ดูมืชีวิตชีวา ชวนให้คนดูหวนคิดถึง ความสนุกสนานในวัยเยาว์ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้สัมผัสชีวิตสนุกสนานเช่นนี้ มาก่อนเลย
เขาหวังจะร้องทักทาย ทว่าเสียงโห่ด้งราวกับทาร์ซานกลบเสียงเจี๊ยวจ้าว
ทั้งทำให้เสียงที่กำลังจะเปล่งออกจากปากต้องชะงักไป คงเป็นตัวจ่าฝูงกระมัง...
เขานึกสนุกยิ่งขึ้น...เสียงแหลมอย่างกับผู้หญิง มองเห็นตัวไม่ถนัด เห็นแต่เงา
ตะคุ่มอยู่บนกิ่งสูงเหนือขึ้นไป แรงขย่มดูจะมากกว่าเก่า และโดยไม่ตั้งใจหรือความ พลาดพลั้งอะไรสักอย่าง เขาเห็นเงาดำนั้นเสียหลักแวบแล้วร่วงผล็อยลงสู่ผืนน้ำ
เบื้องล่างอย่างไม่เป็นท่า
เสียงหัวร่อชอบอกชอบใจด้งขึ้นเกรียวกราว ไอ้ตัวที่นั่งเขลงอยู่บนกิ่งใหญ่
ชายน้ำทำท่าหัวเราะห้องคัดห้องแข็ง เขาเองก็พลอยขำไปด้วย และให้นึกเสียดาย
ที่ไม่ได้เตรียมกล้องเอาไว้ เพราะมันเป็นท่าเด็ดที่เป็นธรรมชาติอย่างสุด ๆ ทีเดียว
“เอ้ย...ไอ้วัน ไอ้พวกลิงทโมน” เสียงตะโกนด้งแทรกมาจากทิศทางอื่น เขา ละลายตาจากร่างที่จมดิ่งลงไปในน้ำ เหลียวไปมองตรงปลายท่า ตรงนั้นปรากฏ
ร่างท้วมของเจ้าของเสียงประกาศิตที่สะกดให้ทุกเสียงสงบลงได้ในฉับพลัน !
'‘ไป๊...ไปเล่นที่อื่น คุณหนูแกจะนอน มาเล่นเอะอะเจี๊ยวจ้าว”
ร่างที่ผลุบหายลงไปในน้ำนั้นคงโผล่ขึ้นมาทันได้ยินคำว่า “คุณหนู” เป็นแน่แท้ เสียงแหลมร้องอู้...สู...ยาวจึงด้งมาอย่างจงใจให้ได้ยิน
เขาเหลียวกลับมาพบดวงตากลมโตดำจัดราวกับเม็ดนิล ใบหน้าคล้ามแดด แสยะยิ้มเพียงน้อยนิด
“โตอย่างกับควาย ยังเป็นคุณหนู”
ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง เจ้าพวกสมุนได้เฮเป็นคำรบสอง แถมเสียงดังกว่าเก่า
คนที่ยืนอยู่ปลายท่าเต้นเร่า ๆ ราวกับถูกมดคันไฟกัด เหมือนว่าเป็นคนที่ถูก
เปรียบเทียบเสียเอง
'‘ตาย...! ไอ้วัน แกว่าคุณหนูเป็นควายไดไงหา ไอ้เด็กทโมน ไอ้พวกเด็กนรก
ไอ้สิงกลับชาติมาเกิด ไอ้...”
เสียงป้าสายใจตะโกนด่ายาวเหยียดไม่ซํ้ากันลักคำ คงได้เคยซ้อมปากกัน
อยู่บ่อย ๆ คนถูกด่าลอยคอไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อมองสบตากลมดำนั้น เขาเห็นรอยยิ้มหยัน ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะแลบลิ้นยาวให้แล้วผลุบหายลงใต้สายน้ำ พวกพ้องพากัน
ล่าทัพ ว่ายกระจายตรงไปยังฝั่งตรงข้ามที่ดูห่างออกไปไม่น้อย
เขามองไม่เห็นว่าหัวที่ผลุบหายลงไปจะไปโผล่ขึ้นตรงไหน สายตายังคงมอง ตามหัวเล็กๆ ดำๆหลายหัวที่ด่าผุดด่าว่ายห่างออกไปขณะที่เสียงเจี๊ยวจ๊าวก็พลอย
จางหายไปด้วย จนกระทั่งเห็นพรรคพวกทโมนตะกายขึ้นอีกฝัง ก็ให้นึกขำ...ไอ้ตัว หัวหน้าคงหัดด่าหัดว่ายมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่กระมัง ถึงได้ดำน้ำเก่งขนาดนี้
หรือในชีวิตที่ผ่านมาคงอยู่ในน้ำเสียเป็นส่วนใหญ่ นี่ก็คงจะตัวด่า เป็นเหนี่ยงละสิท่า...
เสียงป้าสายใจเงียบไป พร้อม ๆ ร่างท้วมตุ้ยนุ้ยของแกก็ไปจากตรงนั้นด้วย
ป้าสายใจเลี้ยงเขามาแต่เล็กแต่น้อย แกจึงรักจึงหลงเขาเอามาก ๆ จำได้ว่า
เมื่อถึงวัยที่เขาโตพอที่จะเข้าโรงเรียนได้ พ่อมารับตัวเขาเพื่อไปเรียนที่กรุงเทพฯ ป้า
สายใจร้องไห้ฟูมฟายเป็นวรรคเป็นเวร ขณะที่ผู้เป็นย่าของเขาแท้ ๆ คงนั่งยิ้มเฉย
‘โรงเรียนแถวนี้มีออกถม’ แกบ่นปนสะอื้น ‘ทำไมต้องไปเรียนไกล ๆ’
‘ไกลที่ไหน...เรียนในกรุงเทพฯ ก็ไปอยู่กับพ่อกับแม่ของเขา’
‘แต่มันไกลจากที่นี่นะคะคุณ’ ป้าสายใจแย้ง ‘แล้วใครจะคอยดูแล อาบน้ำ
กินข้าว’
‘เขาก็ต้องมีคนของเขาสิ ลูกของเขาทั้งคน’
‘แต่อิฉันเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยนะคะ’ ป้าสายใจเถียงทันควัน ดูท่าจะไม่
ยอมขึ้นมาทีเดียว คุณย่าเลยจ้องหน้าแกแล้วถามอย่างขำ ๆ
‘แล้วหล่อนเป็นคนเบ่งออกมาหรือเปล่าล่ะ’
‘แหม...คุณก็’ ป้าสายใจเสียงอ่อยลง ‘ให้โตกว่านี้ไม่ได้หรือคะ แล้วค่อยเอาไป’
‘ให้โตกว่านี้หรือโตเท่าไหน ยังไง ๆ เขาก็ต้องเอาของเขาไปอยู่วันยังคํ่า’
คุณย่าเป็นคนแข็ง จึงไม่ยอมคล้อยตามเสียงครํ่าครวญของป้าสายใจ แม้อีกฝ่าย
จะน้ำหูน้ำตาร่วงเป็นเผาเต่าก็ตาม
‘เด็กมันถึงเวลาจะต้องเข้าโรงเรียนแล้ว อยู่กับเรา แม่เขาจะได้ว่าเลี้ยงลูกเขา
ไม่รู้จักโต เพราะหล่อนมัวแต่คอยเอาอกเอาใจลูกเขา โรงเรียนแถวนี้มีถมเถก็จริง
แต่มันเป็นโรงเรียนไม1มีเกรด ขืนให้ลูกเขาเรียนที่นี่ ภาษาประกิตจะไม่กระดิกหู
เหมือนอย่างหล่อนไงเล่า’ คุณย่าหัวเราะเสียงแปร่ง แล้วก็ลุกจากตรงนั้นเดินหาย
เข้าห้องพระไป ป้าสายใจยกผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าเช็ดน้ำตาป้อย ๆ เลิกขัดแย้งใด ๆ
อีกต่อไป ได้แต่กอดหน้ากอดหลัง “คุณหนู” อยู่จนกระทั่งเด็กชายถูกพาลงเรือ
จากไป
เสียงเคาะประตูแผ่วเบาเพียงสองครั้ง ดูท่าคนเคาะคงจะลังเลใจอยู่
ไม่น้อย ด้วยไม่มั่นใจว่าจะรบกวนเจ้าของห้องหรือไม่ เพราะนี่ก็ยังไม่ทันถึง ๗
โมงเข้าดี
'‘ผมตื่นแล้วฮะ” ทักษ์ดนัยล่งเสียงออกไป และเขาก็เดาไม่ผิด...
“ป้าสาย”
“ตื่นแต่เข้าเลยนะคะคุณหนู” ป้าสายใจโผล่หน้าเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มเผล่ ไม่มีเค้าหน้าของหญิงสูงวัยร่างท้วมที่ยืนเต้นเร่า ๆ ส่งเสียงเอ็ดตะโรอยู่ปลายท่า
เมื่อสักครู่นี้เลยสัก'นิด
“เลิกเรียกผมว่าคุณหนูเสียทีสีฮะ” ชายหนุ่มห้วงเบา ๆ ใบหน้าระบายด้วย รอยยิ้มเหม่อนจงใจล้อ
“โตเป็นควายแล้ว”
“ต๊าย...” ทำสุ้มเสียงราวกับสาวน้อย “ไปฟังได้ไงคะ เด็กทโมนพวกนั้น เอา เถอะค่ะ ตื่นแต่เข้าก็ดีแล้ว จะได้ทานอาหารเช้าพร้อมคุณย่า”
จนแล้วจนรอด ไม่ว่าเวลาจะฝานไปนานเท่าใด ป้าสายใจก็ยังคงปฏิบัติต่อเขา ราวกับเป็นเด็กชายตัวน้อยอยู่เช่นเดิม ร่างตุ้ยนุ้ยเดินตรงไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาล่งให้เขา พร้อมกับรุนหลังให้เข้าห้องน้ำเป็นเชิงเร่งอยู่ในที ว่าไม่ควรจะโอ้เอ้อีกต่อไป
ทักษ์ดนัยเสียเวลาอยู่ในห้องน้ำไม่นานเท่าไรนัก เพราะตระหนักดิว่าคุณย่า กำลังรอเขาอยู่ ไม่เช่นนั้นป้าสายใจคงไม่เดินมาตามแต่เข้าอย่างนี้ เพราะปรกติ
ทุกครั้งที่เขากลับมาพักที่นี่ ป้าสายใจจะปล่อยให้เขานอนอย่างสบายใจจนสายโด่ง
โดยไม่ยอมให้ใครกรายกลํ้าเข้ามารบกวนแม้แต่น้อย
และที่ฝานมาเขาจะพักอยู่บนเรือนหลังใหญ่กับคุณย่า ส่วนเรือนเล็กชายน้ำนี้ เป็นเรือนหลังใหม่ที่เพิ่งปลูกสร้าง คุณย่ามีเหตุผลของท่านว่า
‘เด็กหนุ่ม ๆ เขาก็ต้องการโลกส่วนตัวของเขา บนเรือนใหญ่มันวุ่นวาย’
‘วุ่นวายอะไรกันนักหนาคะ’ ป้าสายใจกังขา ‘บนเรือนนี่ก็มีแต่คุณกับอิฉัน’
ไม่เพียงกังขาในใจ ทว่าสีหน้านั้นก็ส่ออาการงุนงงอย่างน่าสงสาร
‘อ้อ...นังมะลิวัลย์อีกคน แต่นังนั่นก็ไม่ค่อยเห็นมันจุ้นจ้านอะไร วันๆ ขลุก
อยู่แต่ในครัว’
‘ก็หล่อนยังไงล่ะ ที่วุ่นวาย’ คุณย่าว่าหน้าตาเฉย ป้าสายใจเลยหน้าม้าน
ค้อนควักให้อย่างงอนๆ แต่ก็ไม่ต่อปากต่อคำอะไรอีก เพราะมีแต่จะเข้าตัว
ชายหนุ่มพออกพอใจกับความคิดของคุณย่า และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขา
ได้มาเห็นเรือนเล็กที่สร้างเสร็จไดไม่นาน และป้าสายใจก็เห่อมากกว่าเขา คอยลอบ
ต่อโทรศัพท์ปรายงานความคืบหน้าไม่เว้นแต่ละสัปดาห์ เร่งให้เขามาดูตั้งแต่ยัง
ไม่ทันจะเสร็จดี
ในห้องไม่มีป้าสายใจอยู่แล้ว ที่หลับที่นอนถูกจัดเก็บเรียบร้อย แม้รูปร่าง
ของแกนับวันจะยิ่งท้วมจัด แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความกระฉับกระเฉงว่องไว รวมถึง
ความสะอาดรอบคอบเป็นระเบียบ หน้าต่างด้านทิศตะวันออกติดล่าคลองถูกเปิด
โล่งทั้งสองบาน ปล่อยให้แสงแดดล่องลงยังที่นอนพอดี คนที่อยู่บ้านนอกมักเป็น
เช่นนี้ ชอบเอาที่นอนผึ่งแดดและเปิดห้องให้โปร่งโล่ง ไม่ชอบอับทึบ ทักษ์ดนัย
จำได้ว่า คุณย่าและป้าสายใจไม่ชอบที่จะไปนอนค้างที่บ้านในกรุงเทพฯ ของพ่อเลย
แม้บ้านช่องจะใหญ่โตมโหฬาร ปลูกอยู่กึ่งกลางรั้วรอบของพื้นที่กว่า ๒๐๐ ตารางวา หน้าบ้านมีสนามหญ้ากว้างซึ่งปลูกต้นไม้ราคาแพงอย่างงดงาม แต่บ้านทั้งหลังก็
ปิดหมด ถึงมีหน้าต่างแต่มันก็ไม่เคยถูกเปิดออกและเป็นกระจกเสียมากกว่าครึ่ง เนื่องจากติดเครื่องปรับอากาศ
‘อึดอัด ปิดหมดอย่างนี้ จะเอาอากาศที่ไหนหายใจ’ หญิงชราปนพึมพำ ส่าย หน้าดิก เป็นตายอย่างไรก็คงอยู่ไม่ได้ แต่ยังไม่วายรักษาน้ำใจคนชวน
‘คนแก่ ๆ ที่คุ้นเคยกับอากาศบ้านนอกอย่างแม่มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่
ค่อย'ชอบ,หรอกแอร์ มันเย็นๆ ตะครั่นตะครออย่างไรพิกล’
จากระเบียงหลังของเรือนเล็ก ทักษ์ดนัยก้าวเดินไปตามทางดินทุบเรียบ
โรยทับด้วยกรวดก้อนเล็กตลอดแนว สองข้างทางเดินมีไม้ดอกประเภทขึ้นง่าย
ให้ดอกเร็วและไม่ต้องการการดูแลมากนักออกดอกสลับสีงามไสวไปตลอดทาง
กัดเข้าไปเป็นต้นไทรทองที่ปลูกเป็นทรงพุ่มทั้งระยะห่างยักย้ายอย่างมีศิลป์
เรือนใหญ่ของคุณย่าเป็นเรือนโบราณยกพื้นใต้ถุนสูงโปร่ง อาจดูมีดทึบไปบ้าง ตามลักษณะเรือนหลังใหญ่และเก่าแก่ รอบบ้านมีไม้ใหญ่อายุนับร้อยปีขยายกึ่งก้าน
ปกคลุมอยู่ทั่วไป
เมื่อเขาก้าวพ้นบันได หญิงสูงวัยนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้วตรงระเบียงด้านหนึ่ง
ซึ่งตั้งโต๊ะไม้มะค่าขัดเงาวับตัวใหญ่ที่เขาคุ้นเคย
“วันนี้ตื่นแต่เช้า” เสียงคุณย่าทักขึ้นก่อน '‘เอ...หรือว่าแม่สายใจเขาไปปลุก” สายตาคนแก่ชำเลืองแลไปสบตาคนที่รู้ตัวว่าถูกสัพยอก
“อิฉันไม่ได้ปลุกสักหน่อย’
“ไม่ปลุกก็เหมือนปลุก ฉันเห็นหล่อนไปยืนเอ็ดตะโรอะไรที่ท่าน้ำเสียงดัง
คับคุ้ง”
“อุ๊ย ! ว่าเข้านั่น” ป้าสายใจทำสุ้มเสียงสะบัดสะบิ้ง เมื่อคุณหนูของแกนั่งลง ตรงหน้า “คุณ” ของแกเรียบร้อยแล้ว แกก็ตรงเข้าตักข้าวใส่จานให้อย่างกระวีกระวาด นางสาวมะลิวัลย์ที่ยืนลับ ๆ ล่อ ๆ เตรียมจะเข้ามาปรนนิบัติ จึงต้องหลบฉากออกไป เพราะป้าสายใจรับเอามาเป็นหน้าที่เสียเอง
“ก็หรือไม่จริง”
“ก็ไอ้วัน...กับไอ้พวกทโมนป้ามันมาเอ็ดก้นเซ็งแซ่ จะไมให้อิฉันกำราบมันได้ไง แค่นี้มันก็ได้ใจจะแย่แล้ว”
“ใครก้นครับ ไอ้วันนี้” ทักษ์ดนัยเพิ่งเอ่ยขึ้นเป็นค่าแรก ข้าวหอมมะลิร้อน ๆ
ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ทั้งกลิ่นของข้าวและกลิ่นของดอกมะลิสดที่วางเรียงอบอยู่ในหม้อ
ทำให้รู้สึกชื่นใจและอบอุ่นอย่างประหลาด ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ อาหารเช้าคืออาหาร
ง่าย ๆ ตามวัฒนธรรมฝรั่ง คุณพ่อของเขาจะรับเพียงกาแฟถ้วยเดียว คุณแม่ดื่ม
น้ำผลไม้ อาจมีขนมปังเพิ่มบ้างเพียงเล็กน้อย แต่หากมาค้างที่นี่ เช้าวันไหนเขาไม่
ทานข้าวจะต้องถูกเอ็ดเป็นเรื่องใหญ่
‘เกิดเป็นคนไทย อยู่เมืองไทย มันต้องกินข้าว เมืองเราเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ
ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ ไปเดาะเลียนแบบฝรั่งกินนมกินเนย มันก็ต้องไปอยู่เมือง
ฝรั่งโน่น’
วิถีชีวิตที่นี่ยังคงดำเนินไปอย่างไทย ๆ สงบเรียบ ไม่เร่งรีบ อาหารเข้าจึงยัง
เป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจละเลย ทุก ๆ เข้าหลังจากใส่บาตรตอน ๖ โมงครึ่ง อิก ๑
ชั่วโมงต่อมาจะเป็นเวลาอาหาร
กุ้งตัวโตในชามเปลขนาดกลาง น้ำขุ่นสีแดงล้มเจือด้วยเห็ดฟางฝานบาง
มี พริกขี้หนูสวนบุบโรยตามด้วยผักชีสด ควันยังกรุ่น นี่แหละชามโปรดของทักษ์ดนัย
จะมาที่นี่สักกี่ครั้ง อาหารขึ้นโต๊ะจะต้องไม่พ้นคุ้งแม่น้ำต้มยำ จานถัดไปเป็นผัดผัก
รวมมิตรและไข่ตุ๋น
“ลูกสาวแม่พิมลเขาละ ไอ้วันนี่ ลูกสาวคนเล็ก เกะกะเกเรไปเรื่อย ไม่เหมือน เจ้าพี่ชาย เจ้านั่นตั้งใจเรียนดี ความประพฤติเรียบร้อย อีกไม่กี่ปีก็จวนจะจบแล้ว
ล่ะตั้ง:
'‘บ้านคงอยู่ใกล้ ๆ กับเรา” ชายหนุ่มถามไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
แม้จะกระหวัดถึงดวงตาโตแจ่มแจ๋วนั้นอยู่บ้างก็ตาม
“ไม่ใกล้หรอกค่ะ” ป้าสายใจสอดขึ้น ดูท่าแกจะไม่ใคร่ลงรอยกับเจ้าของ
นามนี้สักเท่าไร “ก็คุณย่าของคุณหนูซีคะ ไปจ้างเจ้าพิมายมันมาดูแลสวน เจ้านี่
เลยถือโอกาสเข้านอกออกในบ้านเราสบายไป”
“เข้านอกออกในที่ไหน” หัวคิ้วของคุณย่าขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ “เด็กมันชอบมาเก็บลูกหว้ากิน มาเล่นน้ำ มางมกุ้ง เปียวป้าวอยู่สักเดี๋ยวก็ไป ฉัน
ไม่เห็นว่ามันจะน่ารำคาญที่ตรงไหน”
“บางทีก็เป็นฝรั่ง มะกอก มะม่วง ชมพู่ แล้วแต่ว่าอะไรมันจะผลิดอกออกผล
ออกมา”
“เราก็ไม่ได้เก็บขาย เก็บกินบ้างก็ไม่มาก เด็กมาเก็บกินจะเป็นอะไรไป ทิ้งไว้ พวกนกกามันก็พากันมาจิกกินอยู่ดี ไม1ว่าคนหรือนก เราก็ถือว่าท่าทานได้ทั้งนั้น”
คุณย่าเป็นคนใจบุญใจกุศล ชอบท่าทาน และมักไปถือศิลที่วัดในทุกวันพระ เรือกสวนไร่นาที่มีคุณย่าก็แบ่งให้คนเช่าบ้าง ส่วนแปลงใหญ่ที่ปลูกบ้านอยู่นี้ เดิม
ผลไม้ในสวนหลังบ้านเคยสร้างรายได้ให้ปีหนึ่ง ๆ โขอยู่ แต่มาหลายปีหลังคุณย่า ควบคุมลูกจ้างให้ดูแลไม่ไหว ก็เลยปล่อยปละละทิ้งให้รกร้างเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่
ยังให้ดอกออกผลอยู่บ้างก็ปล่อยให้พวกเด็ก ๆ เข้ามาเก็บกินได้ตามใจชอบ
นี่คือวิถีชีวิตเรียบง่ายของคนวัยไม้ใกล้ฝังอย่างคุณย่า ชายหนุ่มรู้สึกศรัทธา
ทั้งคิดจะยึดถือไว้เป็นเยี่ยงอย่างในอนาคตข้างหน้าด้วย แต่ในความคิดของนักธุรกิจ อย่างพ่อและแม่ของเขา
ที่ดินแปลงนี้ของคุณย่าพร้อมจะเปลี่ยนมือได้ทุกเมื่อ หาก ถึงวันที่ท่านสิ้นบุญไปแล้ว
“ตั้งใจจะมาอยู่สักกี่วันกันล่ะ” คุณย่าถามขึ้น แต่ก็อย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก
กับคำตอบ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎธรรมชาติ มีแตกมีดับ คนรุ่นใหม่ไม่มีใคร
ทนอยู่กับความสงบเงียบน่าเบื่อนี้ได้นานนักหรอก และตั้งแต่หลานชายจากไปอยู่
กับพ่อแม่ของเขาตั้งแต่วัยเด็ก แม้จะกลับมาเยี่ยมบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้อยู่นานๆ
“ครั้งนี้ตั้งใจว่าจะอยู่สัก ๒-๓ สัปดาห์” ชายหนุ่มตอบ “ปิดภาคเรียนผม
ไม่ได้ลงซัมเมอร์ พอดีเห็นคุณย่าสร้างเรือนเล็กให้ต่างหากก็เลยกล้าที่จะให้เพื่อน
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
“เราไม่มีพ่อ” พิตะวันเอ่ยกับทักษ์ดนัย เมื่อคำนั้นเริ่มจารึกลงในใจของเธอ ความขุ่นข้องแค้นเคืองก็เริ่มสลักรอย ชาลีเข้ามาโอบอุ้มชีวิตของพิตะวันและครอบครัวแทนบิดาผู้ให้กำเนิด พิตะวันรัก เทิดทูนชาลี เฝ้ารอ “ลุงชาลี” มาเยี่ยมเยือนและเติมสิ่งที่ขาดหายในจิตใจให้เต็มตื้นอยู่ทุกขณะ ทักษ์ดนัยรักและปรารถนาจะเป็นผู้ดูแลพิตะวันแทนชาลี ทว่าหญิงสาวตอบรับรักนั้นด้วยมุ่งหวังให้ความรักเป็นหนทางปลดเปลื้องความขุ่นแค้นแน่นในใจ พิตะวัน-ชาลี-ทักษ์ดนัย ความผูกพัน ความรักลึกซึ้ง ความปรารถนาอันงดงามต่อบุคคลอันเป็นที่รัก จะนำพาให้รอยแค้นซึ่งจารึกในใจมลายลงได้หรือ...