ดาวดิน ปาฏิหาริย์แห่งรัก ลิขิตแห่งหัวใจ

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786974085941
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 220.00 บาท 55.00 บาท
ประหยัด: 165.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ลมหนาวพัดหวีดหวิวบาดเนื้อ...

ปีนี้หนาวเร็วกว่าทุกปี เพิ่งจะย่างเข้าเดือนสิบเอ็ดเท่านั้นแต่ลมหนาวก็ ท่าท่า

จะทวีความรุนแรงยิ่งกว่าหน้าลอยกระทงเมื่อปีที่แล้วเสียอีก แม้สายหมอก ที่ปกคลุม

พระนครอยู่ตั้งแต่ช่วงเข้ามืดจะจางลงมากแล้ว เนื่องจากพ่ายต่อแสง อาทิตย์ แต่สาย

ลมที่พัดผ่านมาเป็นระยะๆ ก็หอบเอาความเหน็บหนาวมากระทบ ผิวกายให้สั่น

สะท้านได้แทบทุกครั้ง

เสียงเพลงลูกทุ่งในจังหวะคึกคักสนุกสนานแว่วลอยมาตามลม แช่งกับ เสียง

รัวระนาดของลิเกคณะดัง สอดประสานกับเสียงหวีดหวิวของลมหนาว กลายเป็น

ท่วงท่านองอันกลมกลืนไพเราะราวกับคีตกวีเอกร่วมบรรเลง

เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กน้อย...ผู้เฒ่าผู้แก่ส่งเสียงทักทายกัน...เสียงหัวร่อ ต่อ

กระซิกของสาวน้อยที่ผัดหน้าทาแป้งนวลแอร่ม พร้อมแต่งกายอย่างพิถีพิถัน ด้วย

ชุดที่สวยงามเป็นพิเศษ ล้อมหน้าล้อมหลังด้วยบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ ส่งเสียง

หยอกเย้าเกี้ยวพานตลอดทาง

งานบุญกฐินปีนี้ยิ่งใหญ่และสนุกสนานกว่าปีก่อน ๆ มากมายนัก...และ

บรรดาชาวบ้านตลอดจนผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศก็ยังคงหลั่งไหลเข้าไปร่วม

ทำบุญและเทียวงานกฐินของวัดสุนทรธรรมทาน หรือวัดแค นางเลิง กันอย่าง

หนาแน่นต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยไม่แยแสต่อสายลมที่หนาวแทบจะบาดเนื้อนั้น

เลย...

พี่เฉลิม ! พี่เฉลิม ! ไอ้จาเอ๊ย!...ไปวัดกันหรือยังล่ะ สายแล้วนะเดี๋ยว

หลวงปูจะคอย”

ผู้พูดเป็นหญิงวัยห้าสิบหกปี ใบหน้าสดใสอิ่มเอิบ แม้จะปรากฏริ้วรอย

แห่งวัยบ้างตามกาลเวลาแตกยังคงมีเค้าความงามซึ่งแม้พิศเพียงผาด ๆ ก็พอรู้ว่า

เมื่อยังสาวต้องสวยคมเข้มผุดผาดตาไม่น้อย

“รอเดี๋ยวนะแม่หงวน แต่งตัวเสร็จแล้วละ กำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้” เสียงแว่ว ๆ

ของชายวัยเลยหกสิบนิด ๆ ดังมาจากภายในตัวบ้าน ก่อนที่เจ้าของเสียงจะตาม

ออกมาด้วยชุดสำหรับไปวัดเรียบร้อย เป็นเวลาเดียวกับ “เจรจา” สาวสวยนัยน์ตา

คมที่วิ่งตามมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับส่งเสียงแจ๋ว ๆ อันเป็นเอกลักษณ์

“มาแล้วจ้ะป้า แหม...อากาศมันหนาวๆ จาก็เลยเข้าไปหยิบเสื้อกันหนาว

มาใส่น่ะจ้ะ ไปกันได้แล้วละ พ่อกับแม่คงไปรอที่วัดแล้ว เห็นว่าไปช่วยหลวงปู่

ดูแลจัดที่จัดทางที่จะตั้งองค์กฐินอยู่จ้ะ”

“อ้อ...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ปีนี้ก็เป็นครั้งที่สาม

แล้วชินะ ที่พิศเขาจัดกฐินดารามาที่วัดแคนี่น่ะ” นายเฉลิมเอ่ยขึ้นขณะที่ออกเดิน

นำหน้าภรรยาและหลานสาวไปยังวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก สีหน้าของชาย

สูงวัยมีเด้าความใจดี นางสงวนยิ้มรับคำสามี น้ำเสียงที่พูดถึงลูกชายคนเดียว

บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจอย่างปิดไม่มีด

“ใช่จ้ะพี่เหลิม ฉันว่าคนก็คงเยอะเหมือนเคย เหนื่อยกันหน่อย แตกคุ้มได้

เงินเข้าวัดปีละหลายแสน...ปานนี้พิศกับพรรคพวกที่ต้องไปปิดกล้องคงถึงพัทยา

แล้ว” ประโยคท้ายเอ่ยเบาๆ เหมือนรำพึงพร้อมกับเสียงถอนหายใจใหญ่

“บางทีฉันก็สงสารเขานะ สิบสองปีแล้วที่เขาเป็นดารา โด่งดังสมใจตัวเขา

มีเงินมีทอง มีทุกอย่างที่เขาใฝ่ฝัน ทำให้เราสุขสบายกันถ้วนหน้า...รวมทั้งคนที่ไม่

เคยได้เลี้ยงดูเขามาเลยก็ยังได้เป็นที่หนึ่งของการดูแล...อยากได้อะไรเป็นต้องได้

ทุกอย่าง พิศมันเห่อพ่อที่สุด เห่อ...หลงจนใครแตะต้องไม1ได้” นางสงวนกระแทก

 

เสียงประชดประชันนํ้าเสียงเจ็บใจเมื่อเอ่ยถึงอดีตสามีจนนายเฉลิมต้องปรามเบาๆ

                “เอาน่าแม่หงวน...เขาพ่อลูกกัน พิศเป็นคนกตัญญูเลี้ยงดูบุพการีและผู้มี

พระคุณทุกๆ คน เราควรภูมิใจในความดีของเขา ชื่นชมเขานะ...ถ้าเขาดัง เขารวย

แล้วทำตัวเหินห่างชิ เราถึงควรจะไม่สบายใจ”

“ไม่ใช่ฉันไม่สบายใจ...แต่...”

“แต่ไม่สมใจป้าเท่านั้นเองแหละจ้ะลุง” เสียงใสๆ ของหลานสาวเอ่ยขึ้น

ขัดจังหวะก่อนที่คำพูดปนโมโหของผู้เป็นป้าจะทันพูดจบ นายเฉลิมเหลือบ

สายตามามองเจรจาด้วยสีหน้าขอบคุณ ด้วยรู้ดีว่าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วภรรยา

เป็นต้องออกอาการ “เดือด” ทุกครั้งไป

“ก็เออชิวะไอ้จา แตกช่างเถอะ เอ...เห็นว่าเมื่อคืนก็ก่ายที่โรงก่ายใน

พระนครนี่จนดึก เช้านี้ต้องตีรถไปพัทยาอีก กว่าจะกลับก็คงคํ่าตามเคย” น้ำเสียง

ที่ดุดันนั้นอ่อนลงเมื่อเอ่ยถึงลูกชาย ก่อนจะถอนหายใจด้วยความเป็นห่วง

“เห็นว่าวันนี้ไปถ่ายอินทรีทองนี่นา” นายเฉลิมชวนคุยเมื่อเห็นว่าภรรยา

เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว เจรจาพยักหน้า

“ใช่จ้ะพิศเขาทั้งเป็นพระเอกทั้งเป็นผู้กำกับเลยนะเก่งชะไม่มีละพี่เราคนนี้

 เรื่องนี้รับรองดังระเบิดอีกแน่นอน หนังสือพิมพ์ลงข่าวสัมภาษณ์กันไม่เว้นแต่ละวัน”

“คนเขาติดใจกันมานานไม่ว่าจะอินทรีแดง อินทรีทอง มันเป็นหนังบู๊ หนัง

แสดงความฉลาดของคน ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้คนมีกำลังใจนะ ว่าถึงกำลัง

ตำรวจจะมีไม่เพียงพอกับบางเหตุการณ์ หรือมีอะไรที่คับขัน ก็ยังมีอัศวินชื่ม้าขาว

มาช่วยคนดีๆได้เสมอ เรียกว่าเป็นผู้ช่วยตำรวจปราบหมู่คนพาลว่างั้นเถอะ”นาย

เฉลิมสรุปพอดีกับที่ทั้งสามเดินเช้ามาถึงประตูทางเช้าวัด

“โอ้โห...คนมากมายจริงๆ นี่แค่เห็นตรงทางเช้านะในวัดมิเต็มไปหมดหรือ”

เจรจาร้องพลางทำตาโตเมื่อมองเช้าไปในบริเวณวัด ซึ่งแม้เป็นวัดใหญ่แห่งหนึ่ง

ในเขตพระนคร แต่เมื่อเทียบกับจำนวนคนจากทั่วทุกสารทิศที่ตั้งใจมาทอดกฐิน

ร่วมกับพระเอกหนุ่ม มิตร ขัยบัญชา และเหล่าดารามากมายแล้ว ก็ทำให้วัดดู

คับแคบไปถนัดตา

นายเฉลิมและนางสงวนมีสีหน้าเห็นด้วยขณะเดินเบียดเสียดผู้คนเช้าไป ภายในตัววัด

ซึ่งบัดนี้อึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงจากบรรดาโฆษก และพ่อค้า

แม่ขายที่แข่งกันเปิดเครื่องขยายเสียง และส่งเสียงโฆษณาผ่านไมโครโฟนเรียก

ลูกค้าดังมาจากทุกทิศทาง เสียงโฆษกของวัดขานชื่อ มิตร ชัยบัญชา ครั้งแล้ว

ครั้งเล่า ในฐานะเจ้าภาพผู้เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดขบวนกฐินดารามาทอดที่วัด

แห่งนี้ สลับกับการเชิญชวนผู้มาในงานให้ร่วมทำบุญทำกุศลไปพร้อม ๆ กับการ

เที่ยวชมงานตามอัธยาศัย เพราะนอกจากจะมีเครื่องเล่นต่างๆ มากมายแล้ว ตก

กลางคืนยังมีการฉายภาพยนตร์ที่เจ้าภาพ...มิตรชัยบัญชา แสดงนำในบทบาทต่างๆ

กัน เวียนฉายทั้งคืนจนครบแปดวันแปดคืนอีกด้วย

“น่าสนุกแฮะ เดี๋ยวไปช่วยงานหลวงปูเสร็จแล้วต้องแอบมาปาเป้าสักหน่อย

เอาตุ๊กตาตัวโต ๆ ไปนอนกอดเล่นสักตัวท่าจะดีแฮะ” สีหน้าของหลานสาวที่ทำตา

วาวๆ ราวกับเด็กเล็กๆ เห็นของเล่นถูกใจนั้นทำให้นางสงวนโคลงศีรษะด้วยความ

ระอาแกมเอ็นดู

“ไปชื้อเอามิง่ายกว่าหรือวะไอ้จา หรือว่ายังมันมืออยู่ อยากทดลองความ

แม่นยำหรือลูก”

“ก็ทำนองนั้นแหละป้า” เจรจาหัวเราะเขินๆ เมื่อผู้เป็นป้ารู้ทัน

“ทหารเรืออะไรกันวะ ชอบเล่นสนุกตามงานวัดเป็นเด็กกะโปโลไม่เคย

เปลี่ยน” นายเฉลิมแหย่หลานสาวยิ้มๆ

“อ้าวลุง นี่ละ สีสันของชีวิตละจ้ะ ผ่อนคลายความตึงเครียด วัดฝีมือ

ความแม่นวัดสายตาหรือจะเรียกว่าวัดดวงก็ได้นา...จาน่ะ ปาทีไรผู้ชายอายเชียวนา”

หลานสาวหัวเราะร่วน

“ปาเป้ายังพอว่า ไม่ใช่ไปอยู่วงหนูนาลงรูนะไอ้จา ป้าว่ามันทรมานสัตว์นะนี่

จับหนูนามาทรมานน่ะ” นางสงวนประชดแกมหมั่นไล้ ท่าทางของนางทำให้นาย

เฉลิมกระเช้าชันๆ

“แหม ตอนสาว ๆ ไม่เห็นสงสารนี่นา เห็นงานไหนงานนั้น ไปชื้อเบอร์ไว้ที

ละเป็นกำมือ ๆ หมดเงินไปงานละหลายบาทเชียวละ” คำพูดนั้นทำให้นางสงวน

หันมาค้อนควักให้สามี

‘นั่นมันเมื่อก่อนนี่พี่เหลิมตอนนี้มันแก่แล้ว เริ่มรู้บาปบุญคุณโทษมากขึ้นไง”

แม้จะท่าทางกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย แต่นํ้าเสียงตอนท้ายก็ดู,นุ่มนวล ด้วยรู้ดี

ว่าตนเป็นคนใจแข็ง กล้าได้กล้าเสีย แต่เมื่อมาใช้ชีวิตอยู่กับนายเฉลิมซึ่งอายุมาก

กว่าห้าปี ก็ซึมซับเอาส่วนดีของสามี ที่เป็นผู้ใหญ่ใจดี ใจเย็น และชอบเข้าวัดเข้าวา ทำให้นาง “เย็น” ลงมากทีเดียว

เจรจา กอดแขนป้าพลางออด “ป้าจ๋า...จาก็เป็นผู้หญิงนะ ไอ้ครั้นจะไปเล่น สาวน้อยตกนํ้าก็สงสารลูกผู้หญิงด้วยกัน เรื่องอะไรต้องมานั่งจุ้มปักอยู่ในคอก

ให้ใครๆ เขามาปาเป้าดึงเราตกนํ้าตูมๆ แล้วเขาก็หัวเราะชอบใจละ ผู้ชายบางคน มองแล้วไม่พอ ยังมาวิจารณ์รูปร่างเราอีก เวลาสาวน้อยตกนํ้าเสื้อผ้าเปียกปอน

แนบเนื้อน่ะ”

นาย เฉลิมยิ้มน้อยๆ ให้หลานสาว ใครๆ แถวนี้รู้ดีว่าผู้หญิงบ้านนี้เก่งกัน ทั้งบ้าน หลานสาวของเขาทั้งเจรจาที่เป็นทหารเรือ และเบญจาที่ขยัน หนักเอาเบา สู้ ทำงานเก่งกันตั้งแต่ยังเล็ก

“มันอาชีพของเขาลูก เป็นงานสุจริตได้เงิน เขาก็ต้องทำ”

คำ พูดของนายเฉลิมที่บอกกับหลานสาวทำให้นางสงวนนั่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเครือ “ใช่...เวลาอับจนงานอะไรหาเงินยาไส้ได้ เราก็ต้องทำ เพี่อ หาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองกับลูกน้อยตาดำๆ”

แผลตามร่าง กายรักษาหายแล้วก็แล้วไป แต่ “แผลใจ” นี่ชิ สะกิดเข้าเมื่อ ไหร่ก็ยังคงเจ็บปวดเสมอ...นํ้าเสียงของภรรยาที่เอ่ยพาดพิงถึงเรื่องราวความ เจ็บชํ้า ในอดีตทำให้นายเฉลิมแตะไหล่ภรรยาเบาๆ เป็นเชิงปลอบโยนก่อนจะรีบเปลี่ยน เรื่องทันที

“เอ่อ...เขาเรียกว่าหนักเอาเบาสู้ไงแม่หงวน น่าชื่นชมออกนะ เอ...นี่พ่อแม่ ของจาอยู่ไหนล่ะลูก มองหาชิ”

เจรจาพยักหน้าพลางทำคอยื่นชะเง้อมอง ครู่หนึ่งตาคมๆ ก็เป็นประกาย วาวด้วยความดีใจ

“นั่นไง! อยู่กับหลวงปูที่ศาลาโน่นแน่ะจ้ะ เราเข้าไปสมทบกับพ่อแม่กัน เถอะจ้ะ ป้า ลุง” ภาพของลุง ป้า

และหลานสาวที่เดินเร็วๆ เข้ามาที่ศาลาการเปรียญ ที่ตนและญาติโยมนั่งอยู่ ทำให้พระราชธรรมวิจารณ์

หรือหลวงปูธูป เจ้าอาวาสวัดแค นางเลี้ง ยิ้มออกมาอย่างยินดี

 

“อ้อ มากันแล้วรึโยม โยมสงวน โยมเฉลิมเข้ามาในศาลาก่อน เจ้าเจรจา

เข้ามาลูกมา เอ้อ...สวัสดีมีสุขกันทุกคนนะ”

หลวงปูวัยเจ็ดสิบกว่าปีเอ่ยทักทาย เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสามยกมือไหว้อย่างสำรวม

ด้วยสนิทสนมคุ้นเคยกับครอบครัวนี้ดี โดยไม่เพียงแต่จะเป็นครอบครัวที่บ้าน

อยู่ใกล้วัดคือเยื้องๆ กันคนละฝังถนนกั้นเท่านั้น แต่ทั้งนายเฉลิมและสมาชิกใน

บ้านทุกคนต่างก็คลุกคลีกับวัดมาเนิ่นนาน ผู้ใหญ่ของครอบครัวก็เป็น'โยมอุปัฏฐาก

วัดมาโดยตลอด ส่วนรุ่นลูกๆโดยเฉพาะสุพิศ ลูกชายของนางสงวนก็ชอบมาวิ่ง เล่นใน

วัดมาแต่เล็กแต่น้อย จนกระทั้งโตเป็นหนุ่มได้เป็นพระเอกหนังมีคนรู้จัก

ทั่วประเทศ ก็ยังไม่ลืมวัดวาอาราม ยังคงช่วยเหลือจัดกฐินมาทอดที่วัดเป็นประจำ ซึ่งปี

นี้ก็จัดเป็นครั้ง,ที่ ๓ แล้ว แววตาชองหลวงปูผู้ชราดูอ่อนโยนแฝงความปลาบปลื้ม

เมื่อนึกถึงภาพเด็กชายตัวผอมๆ ผู้ซึ่งบัดนี้เติบโตขึ้นและหล่อเหลาเอาการจนเป็น

ขวัญใจชองใครต่อใครทั้งประเทศ

“ปานนี้เจ้าภาพใหญ่ยังไม่มาละชิ อยู่ถึงพัทยาโน่น แตกโทรศัพท์บอก

กล่าวไว้เรียบร้อยนะ ส่งคนมาดูแลเสร็จสรรพ มีลูกหลานดีมันก็สบายใจดีนะ

โยมนะ” ประโยคท้าย ๆ หันไปพูดกับนางสงวนซึ่งยืนยิ้มอยู่อย่างปลื้มอกปลื้มใจ

                “แล้วเจรจาล่ะหลวงปู่ไม่ดีหรือคะฟังดูเหมือนหลวงปู่ชมแต่ก็พิศนะคะ” เสียง

ใส ๆ ของเจรจาที่แกล้งทำเสียงขึ้นจมูกแบบงอน ๆ พร้อมทั้งท่าทางกระฟัด

กระเฟียดน้อย ๆ นั้นทำเอาทุกคนกลั้นหัวเราะ

                “ดีซิลูก เป็นทหารเรือออกโก้ นี่ขนาดเป็นผู้หญิงนะ หลวงปู่ว่าถ้าเป็น

ผู้ชายแบบสุพิศคงเท่ไม่แพ้กันเชียว คนหนึ่งเป็นลูกทัพฟ้า อีกคนเป็นลูกทัพเรือ

อยู่บ้านเดียวกัน เป็นทั้งพี่น้อง เป็นทั้งเพื่อนนักเรียนที่สนิทกันนักหนานี่”

เจอหลวงปู “โอ่” เข้า เจรจาจึงยิ้มสดชื่น ท่าเอานางเสงี่ยมผู้เป็นแม่ค้อน”

ควักให้ลูกสาวด้วยความหมั้นไส้

“อย่าไปยอมันนักค่ะหลวงปู เดี๋ยวมันจะเหลิง” หลวงปูหัวเราะน้อยๆ แววตา

ที่มองมายังหญิงสาวเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเมตตา

“ให้มันเหลิงไปเถอะโยมเสงี่ยม ไม่น่าห่วงมันหรอก เจ้าเจรจามันก็เหมือน

สุพิศ...มิตร ชัยบัญชา ผู้เป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อนรักเพื่อนสนิทนั่นแหละ” หลวงปูพูด

พลางนึกไปถึงชายหนุ่มอีกคนซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ ของนางสงวนกับสามีคนแรกก่อนที่

จะมาแต่งงานกับนายเฉลิม และอยู่ด้วยกันที่พระนครนี่ถ้าวันนี้“ศิษย์กันกุฏิ”ของ

ท่านอยู่ที่นี่ด้วยคงกระเช้าเย้าแหย่กับเจ้าเจรจากันสนุกสนาน ด้วยความที่ถูก

เลี้ยงมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ นั่นเอง

ราวกับรู้ความคิดของเจ้าอาวาสชรา นายเฉลิมจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“พิศเขาก็ห่วง สั่งทางบ้านให้มาคอยดูแล ช่วยงาน'วัด'ให้ดีที่สุดครับ”

“ไม่มีแล้วละ ทุกอย่างเรียบร้อยหมด เจ้าภาพใหญ่เขาสั่งให้คนมาคอย

จัดการครบครัน งานฉลององค์กฐินก็คงมีเพื่อนดาราเขามาร่วมงานกันคับคั่งเชียว

ละ ปีนี้คงได้เงินมาบูรณะวัดหลายแสนแน่ละ” คำพูดของหลวงปูท่าให้นายบรรจบ

พ่อของเจรจา พนมมือท่วมหัวด้วยความปลาบปลื้มใจ

“สาธุ...ครับหลวงปู เราจะได้มีเงินมาถวายวัดมากๆ หลวงปูจะได้พัฒนาวัด

ได้เต็มที่”

นางเสงี่ยมพยักหน้าเห็นด้วยกับสามี ในขณะที่เจรจาดีดนิ้วเปาะ

“เดี๋ยวจาจะไปกินหอยทอดสักจาน แล้วชื้อผัดไทยสักห่อ ต้มเครื่องใน

เนื้อวัวชักชาม...” ท่าทางของเธอท่าให้ผู้ใหญ่หัวเราะครืน

“เอาไปท่าอะไรทุกอย่างล่ะ แกจะกินหมดหรือวะไอ้จา” นางสงวนเอ็ด

หลานสาวน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ด้วยหมั่นไล้ความช่างเจรจาสมชื่อของหลานสาว

คนโปรด หลานสาวตัวดีหัวเราะชอบใจ

“โอยป้า...ขืนกินหมดก็ได้เป็นชูชกปะไรจ๊ะ ท้องแตกตายกันพอดี จาจะ

เอาไปกินด้วยกันที่บ้านไง กินด้วยกันหลายๆ คนอร่อยดีออก...คิดถึงพิศจัง ของ

โปรดของเขาทั้งนั้น เดี๋ยวเขากลับมาต้องหาให้กินให้อิ่ม สมกับที่ไปท่างาน

ตรากตรำเหน็ดเหนื่อย กินนอนผิดเวลาไปหมด เดี๋ยวเราชื้อไปชิมกันก่อนที่บ้าน

ดีกว่านะจ๊ะ”

“ช่วยการช่วยงานหลวงปูท่านก่อนเถอะลูกค่อยพูดเรื่องกิน เสร็จแล้วสบาย

ใจจะไปทำอะไรจะไดไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง” นางเสงี่ยมปรามลูกสาว หลวงปู่

หัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใจดี

“ไม่เป็นไรหรอกโยม งานมันเรียบร้อยเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว เวรยามก็

เรียบร้อยทั้งกลางวันกลางคืน ตำรวจก็มีกะละหลายนาย ไม่ต้องห่วง จราจรก็มา

ช่วยดูแลที่ทางจอดรถ ทางเข้าทางออก ลงตัวกันตั้งแต่วันประชุมแล้วละ เย็นนี้ก็

                                (ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เรื่องราว "ความรัก" "ความฝัน" และ "การต่อสู้" ของทหารหนุ่มลูกทัพฟ้า ก่อนจะก้าวสู่การเป็นดาราชื่อดัง ผู้ครองหัวใจผู้ชมทั่วประเทศ โดยสร้างจากชีวิตจริงของ "มิตร ชัยบัญชา" พระเอกหนังผู้เป็นตำนานในวงการภาพยนตร์ไทย !! แล้วเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร และมีบทสรุปเช่นใด !? ขอเชิญคุณผู้อ่านมาติดตามร่วมกันในนวนิยาย "ดาวดิน...ปาฏิหาริย์แห่งรักลิขิตแห่งหัวใจ" เล่มนี้

เขียนโดย "อิงคศักย์"

 

352 หน้า


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024