ปราสาทซ่อนรัก (อาสดา)

ปราสาทซ่อนรัก (อาสดา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160018987
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 250.00 บาท 62.50 บาท
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“เก็ตถวา ลอเรน เมอร์ด็อค”

เสียงขานเต็มยศทั้งชื่อหน้า ชื่อกลาง และนามสกุลด้วยภาษาอังกฤษ

สำเนียงสกอตดังกังวานจากปากชายวัยกลางคนผมดำตาสีฟ้าซึ่งนั่งเอกเขนก

ในห้องนั่งเล่นทั้งที่มีท่าทางเหมือนไม่เห็นหรือสนใจสิ่งใดนอกจากหนังสือใน

มือ ทำให้สาวน้อยผู้เป็นเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง ชะงักเท้าที่กำลังย่องกริบ ยืน

ตัวแข็งเหมือนถูกสาปเป็นหิน ตกใจและสงสัย...แด๊ดนั่งหันหลังให้แล้วเห็น

ได้อย่างไร แต่เพราะมีความผิดติดตัวจึงต้องเก็บคำถามไว้ นาทีนี้ต้องประจบ

เอาตัวรอดก่อนเป็นอันดับแรก

“ขา...” หล่อนขานรับเสียงหวาน ถลาเข้าไปนั่งกระแซะกอดเอวหนา

หอมแก้มเขียวกรุ่นกลิ่นน้ำหอมหลังโกนหนวดหลายฟอด “แก้มแด๊ดหอมจัง”

ดั่งต้องมนตร์สะกดจากดวงตาสีน้ำตาลหวานวับของลูกสาว สีหน้าที่

อลัน เมอร์ด็อค อุตส่าห์ปั้นให้ดูเคร่งดุจึงคลายเป็นรอยยิ้มเอ็นดูรักใคร่

สุดหัวใจ ที่ตั้งใจจะเทศนากัณฑ์ใหญ่จึงกลายเป็นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ไปไหนมา กลับบ้านช้ากว่าเวลาตั้งสองชั่วโมง แล้วยังปิดโทรศัพท์ไม่ยอม

รับสาย ทำแบบนี้พ่อแม่เป็นห่วงรู้ไหม”

“เก็ตขอโทษค่ะแด๊ด แบตหมดเลยไม่ได้โทร.มาบอก” หญิงสาวทำ

หน้าละห้อยอย่างรู้สึกผิด ตอนแรกเจตนาหลีกเลี่ยงไม่บอกล่วงหน้าเพราะ

กลัวพ่อแม่ห้ามไม่ให้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ กรรมตามทันราวกับติดจรวด พอเสร็จ

เรื่องแล้วคิดจะโทร.มาบอก แบตโทรศัพท์กลับหมดเสียก่อน ครั้นจะแวะ

ใช้โทรศัพท์สาธารณะระหว่างทางก็เกรงใจคนมาส่ง

“ไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย มุกคลาสสิกย้อนยุคยังอุตส่าห์ขุดมาใช้”

เสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นลอยๆ จากกองหมอนระเกะระกะหน้า

โทรทัศน์ เจ้าอินดี้...อินตา น้องชายหน้าหล่อปากมอมซึ่งกำลังนอนแผ่หลา

ดูโทรทัศน์อยู่นั่นเอง เก็ตถวารู้ทันทีว่านี่แหละกระจกหลังของพ่อ

“มุกแม้กอะไร เค้าพูดความจริงย่ะ” เก็ตถวาโต้กลับ ค้อนขวับจนหาง

ม้าที่รวบสูงไว้กลางศีรษะสะบัด ผมดำเลื่อมแดงแวววาว...บิ๊กเมาท์ปากมาก

คอยดูเถอะ พ่อแม่เผลอเมื่อไหร่จะจับนวดแผนโบราณ หักแขน หักขา

ความจริงกี่เปอร์เซ็นต์ยะ” น้องชายยังลอยหน้ายอกย้อนต่อ

“จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ย่ะ เค้าโกหกไม่เป็น ไม่เหมือนตัวเองหรอก บอก

แด๊ดกับแม่ว่าอยู่เย็นซ้อมบอลที่โรงเรียน ที่แท้ไปแรปเพลงยาวป้อสาวอยู่

แถวสยาม เชอะ!”

อลันส่ายหน้า ถอนใจอย่างระอาแกมเอ็นดูต่อการต่อปากต่อคำของ

สองพี่น้อง เก็ตถวากับอินตาอายุห่างกันแค่สามปีเลยเหมือนเพื่อนกึ่งคู่ปรับ

เดี๋ยวคุยเล่นกระจุ๋งกระจิ๋ง เดี๋ยวแกล้งกันทะเลาะกันตั้งแต่เล็กจนโต เขา

ไม่เคยห้ามถ้าไม่ลามปามถึงขั้นลงไม้ลงมือ เพราะมองว่าเป็นนันทนาการ

อย่างหนึ่งของพี่น้องที่สนิทกันมาก สมัยเด็กเขาเองกับพี่ชายก็เป็นแบบนี้

เหมือนกัน ชอบหาเรื่องเย้าแหย่กันแรงๆ แต่เวลาคนหนึ่งลำบาก อีกคนจะ

คอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ เสมอ อย่า งเก็ตถวากับอินตา เห็นเถียงกันไม่เว้น

แต่ละวันอย่างนี้ เวลาน้องชายไม่สบาย พี่สาวจะคอยประคบประหงมดูแล

ไม่ยอมห่าง เวลาพี่สาวถูกรังแกหรือตามจีบ น้องชายก็จะตามไปรับไปส่ง

ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นางเอก...อย่างตอนนี้ พอได้ยินเสียงฝีเท้าแม่ซึ่ง

เดินออกจากครัว รู้ว่าเก็ตถวาต้องโดนชุดใหญ่เป็นแน่ เจ้าอินดี้รีบกลบเกลื่อนให้ทันที

“หอม...หอมกลิ่นหมูสับ” หนุ่มน้อยหลับตาส่ายจมูกเลียนแบบ

โฆษณาในโทรทัศน์ แล้วลุกขึ้นเดินไปรับหน้าทิวาในห้องกินข้าวซึ่งอยู่ติดกับ

ห้องครัว “ต้องเป็นกลิ่นเบอร์เกอร์สเต๊กสูตรแกรนนี่ฝีมือหม่ามี้เป็นแน่แท้...

พวกเรามาเปิบกันเลยเถอะ พยาธิในท้องของน้องอินดี้อ้าปากรอแล้วจ้า”

แต่คนที่เลี้ยงลูกมากับมืออย่างใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเพื่อนอย่าง

ทิวาหรือจะหลงกล หยิกพุงลูกชายคนเล็กจนร้องจ๊าก

“นี่แน่ะ! ช่วยพี่อำพรางคดีนักนะเรา” ก่อนจะหันไปหาลูกสาวคนโต

ต่อว่าเสียงเข้มเพราะความห่วงใย “จะกลับบ้านเย็นทำไมไม่โทร.มาบอก

แม่ก่อน ปล่อยให้เราเป็นห่วงแทบแย่ แทบทำกับข้าวกับปลาไม่รู้เรื่อง วันนี้

ถ้าอาหารไม่อร่อยต้องโทษเก็ต”

เก็ตถวายิ่งโตยิ่งสวย ตากลมโตสีน้ำตาลฉายแววซนระคนหวานใต้

คิ้วโก่งเรียวดึงดูดสายตาหนุ่มๆ ได้ราวกับแม่เหล็ก แล้วยังปากหยักย้อย

เหมือนกลีบกุหลาบ จมูกมน ผมดำเลื่อมแดงหยักศกเป็นคลื่นสลวยถึง

บั้นเอวกับผิวขาวอมชมพูผุดผ่องอีกเล่า...ลูกสาวทั้งสวยและน่ารักอย่างนี้

ทิวากับอลันจึงทั้งหวงและห่วง

“แบตหมด ลูกเลยไม่ได้โทร.มาบอก” พ่อออกโรงปกป้องลูกสาว

เสียเองทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้งใจจะจัดเต็ม “ไปกินข้าวกันเถอะ พ่อหิวท้องกิ่ว

แล้วละแม่ ไหนดูซิว่าเจ้าอินดี้จมูกมดทายถูกไหม”

แล้วรีบเดินนำไปนั่งโต๊ะ หวังดึงความสนใจของแม่ไปจากลูกสาว

“โห...คนละเรื่อง นี่มันอาหารไทย กะเพราเนื้อสับกับไข่เจียวทรงเครื่องต่างหาก”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนะแด๊ด สับๆ เหมือนกัน โฮ้ย! มีต้มยำรวมมิตร

น้ำข้นกับกะหล่ำปลีผัดน้ำปลาอีกด้วย ซู้ด...แด๊ด ยืมผ้าเช็ดหน้าซับน้ำลาย

หน่อย” อินตาเขียนบทเล่นตลกรับประทานสดๆ กับพ่อ ก่อนทำเป็นไม่รู้

ไม่ชี้ว่าแม่หงุดหงิด เดินไปโอบเอวที่เริ่มมีห่วงยางนุ่มนิ่มไปที่โต๊ะกินข้าว

โดยมีเก็ตถวาเกาะหลังพ่อเป็นโล่ตามไปติดๆ

ทิวาทำตาดุใส่ลูกสาวซึ่งส่งสายตางอนง้อขอโทษจากหลังพ่อ...ที่จริง

ความกังวลและขุ่นเคืองหมดไปตั้งแต่รู้ว่าลูกกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ แต่

กลัวผู้กระทำความผิดและผู้สมรู้ร่วมคิดจะได้ใจ จึงพยายามเก๊กหน้าเข้ม

เข้าไว้ แต่ด้วยเนื้อแท้เป็นคนอารมณ์ดีครื้นเครง ทำได้ไม่นานก็หลุดหัวเราะ

เพราะมุกทะเล้นที่อินตาขยันหามาเล่นคลี่คลายบรรยากาศ...ทิวาอดใจรอจน

กระทั่งทุกคนย้ายมานั่งลูบพุงหน้าโทรทัศน์อย่างสุขีกันทั้งบ้านแล้ว จึงรื้อคดี

ขึ้นมาไต่สวนใหม่

“ไหนเล่ามาซิ ทำไมถึงกลับบ้านเย็น เก็ตไปไหน ไปทำอะไรมา” หล่อน

โพล่งขึ้นมาแบบไม่ให้สาวน้อยกับอัศวินผู้พิทักษ์ทั้งสองตั้งตัว ไม่ได้คิดจะ

จับผิดหรือลงโทษ แต่ความเป็นแม่ทำให้ไม่อาจปล่อยผ่านพฤติกรรมแปลกๆ ของลูก

“เก็ตไปสมัครงานมาค่ะ” หล่อนเริ่มเล่า ไม่คิดปิดบัง เพราะเข้าใจ

ความรักความห่วงใยของแม่ดี และปกติก็แบ่งปันทุกเรื่องแก่พ่อแม่และ

น้องชายอยู่แล้ว...สมาชิกทั้งสี่ของครอบครัวเมอร์ด็อคมีหัวใจดวงเดียวกัน

ทุกข์สุข ร้องไห้และหัวเราะร่วมกัน ใครมีปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรมักบอกเล่า

และช่วยกันถกจนหาทางออกที่ดีได้เสมอ

“อะไรนะ! สมัครงาน? ได้ไง เพิ่งขึ้นปีสาม ต้องเรียนอีกตั้งสองปี

ถึงจะจบ!” น้องชายโวยวายแทรกหลังจากเพิ่งฟังแค่ประโยคเดียว

“งานนี้ทำแค่สามเดือน ช่วงปิดเทอมใหญ่” เก็ตถวาขยายความ

พร้อมกับหยิบหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ แล้วเปิดหน้ารับสมัครงานให้ดู

รับสมัครสาวโสดอายุ ๓๐-๔๕ ปี เพื่อทำหน้าที่ผู้ติดตามว่าที่เจ้าสาว

ซึ่งกำลังจะเดินทางไปเข้าพิธีแต่งงานที่สกอตแลนด์ ระหว่างเดือนมีนาคม-

พฤษภาคมปีนี้ นอกจากเงินเดือน ห้องส่วนตัวและอาหารสามมื้อ ผู้ผ่านการ

คัดเลือกจะได้รับโบนัสอย่างงามเมื่อทำงานครบระยะสัญญา

คุณสมบัติสำคัญ สามารถพูด-อ่าน-เขียนภาษาอังกฤษในระดับดี

เยี่ยม ถ้าฟังสำเนียงสกอตและมีความรู้พื้นฐานด้านประวัติศาสตร์และ

ขนบธรรมเนียมของประเทศสกอตแลนด์จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

ผู้สนใจกรุณาติดต่อเขียนใบสมัครและรับการสอบสัมภาษณ์ขั้นต้นได้ที่

บ้านเลขที่ ๑ ซอยระวีรุ่งโรจน์ ระหว่างเวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น.

“ผู้ติดตามว่าที่เจ้าสาว เขาคงหมายถึงแชเปอโรน”

พ่อสรุป ส่งหนังสือพิมพ์ให้แม่อ่านต่อ

“อะไรน่ะแด๊ด แชเปอโรน ฟังเหมือนชื่อช็อกโกแลตแท่งสามเหลี่ยม

เลยอะ” เจ้าอินตาถามแทรกอีกตามเคย

“แน่ใจนะว่าลูกครึ่งสกอต-ไทย ไม่ใช่ลูกครึ่งนกแก้ว-นกขุนทอง เป็น

ฝรั่งอะไร้ไม่รู้จักคำว่าแชเปอโรน” พี่สาวได้ทีเย้าแรงๆ จนน้องหน้าหงิก

“แด๊ดหมายถึงผู้ติดตามสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงานไปตามที่ต่างๆ เพื่อ

ความเหมาะสม กันคำครหา โดยมากมักเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง แต่สมัย

นี้ไม่เห็นจำเป็น สาวๆ ควงแขนหนุ่มๆ ไปไหนต่อไหนสองต่อสองเป็นเรื่อง

ธรรมดา แม้กระทั่งไปกินข้าวเต้นรำในโรงแรม รายนี้ต้องหาแชเปอโรนเพราะ

ไปแต่งงานต่างบ้านต่างเมืองมากกว่า” ไทยแท้คนเดียวในบ้านอธิบาย

“มิน่า...เขาถึงระบุช่วงอายุ ๓๐-๔๕ แล้วเก็ตยังไม่เต็มยี่สิบ เขาจะรับ

เหรอ” อินตาตั้งข้อสังเกตเป็นเรื่องเป็นราวเป็นเหมือนกัน

“เก็ตกลัวอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่ามีข้อได้เปรียบที่เป็นลูกครึ่ง

สกอต เลยลองไปเขียนใบสมัครทิ้งไว้ เขาก็หยวนให้เขียนแล้วยังสัมภาษณ์เลยด้วย”

แล้วเป็นไง เขารับหรือเปล่า” น้องชายไม่รอฟังรายละเอียด โพล่ง

ถามข้ามชอตไปถึงตอนจบ

“คงไม่รับหรอก มีคนสมัครเป็นร้อย แต่ละคนหน่วยก้านดีมีความรู้

ทั้งนั้น” เก็ตถวาพูดยิ้มๆ คนฟังร้องอ้าวไปตามๆ กัน

“เสียเวลาตั้งหลายชั่วโมง แถมเสี่ยงโดนพ่อแม่ดุ ไม่ทันได้ลุ้นก็ปิ๋ว

ซะแล้วหรือพี่เรา” อินตาเสียงอ่อย ทำหน้าละห้อย ผิดหวังแทนพี่สาว รู้ว่า

เก็ตถวาต้องการงานนี้เพื่อจะได้ไปเยี่ยมย่าที่สกอตแลนด์

ครอบครัวเมอร์ด็อคย้ายมาอยู่เมืองไทยเมื่อห้าปีก่อน เพราะพ่อซึ่ง

เป็นวิศวกรน้ำมันได้งานบนแท่นขุดเจาะนอกอ่าวไทย ทางบริษัทเช่าบ้านหลัง

ใหญ่ให้อยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ เก็ตถวาเข้าเรียนสองเกรดสุดท้ายที่โรงเรียน

นานาชาติแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองไทย ส่วนอินตาเรียนระดับมัธยม

ที่เดียวกัน แต่ตั้งใจว่าจบแล้วจะไปต่อระดับปริญญาตรีและโทที่มหาวิทยาลัย

ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเด่นดังในสาขาวิชาที่เขาอยากเรียน

พวกเขาจากสกอตแลนด์มาถึงห้าปี แต่เก็ตถวาไม่เคยลืมบ้านเกิดเมือง

นอนและญาติพี่น้องที่นั่น โดยเฉพาะแกรนนี่หรือย่าซึ่งอุ้มชูเลี้ยงดูมาตั้งแต่

แบเบาะ ดังนั้นเมื่อพ่อตัดสินใจจะใช้ชีวิตบั้นปลายที่ประเทศไทย ยกเลิกการ

เดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดทั้งครอบครัวต่างกับที่เคยทำทุกปีเพื่อรวบรวมเงิน

สร้างรีสอร์ตบนที่ดินที่จังหวัดน่านไว้เป็นแหล่งรายได้หลังเกษียณ เก็ตถวา

จึงขวนขวายหางานทำช่วงปิดเทอมเพื่อหาเงินค่าตั๋วเครื่องบินกับพ็อกเกต

มันนี่ไปเยี่ยมย่าเอง

อินตาแอบเก็บเงินช่วยพี่ แต่จนถึงวันนี้ยังได้ไม่พอค่าตั๋วรถทัวร์ไป

เชียงใหม่ เด็กวัยรุ่นเช่นเขามีกิจกรรมให้ทำโน่นทำนี่กับผองเพื่อนไม่เว้น

แต่ละวัน มีเรื่องต้องใช้เงินตลอดเวลา ส่วนพี่สาวก็ไม่ดีกว่าเขาสักเท่าไร แอบ

ดูในสมุดเงินฝากเห็นได้เกือบห้าพันเมื่อต้นปี มาถึงวันนี้เหลือไม่ถึงพัน ไม่ใช่

หมดไปกับเรื่องเที่ยวเตร่เฮฮาแบบเขา แต่เก็ตถวาเป็นคนใจดี ชอบทำบุญ

ช่วยเหลือคนอื่นเหมือนแม่ ไม่ว่าหมู หมา ปลา มนุษย์ ปล่อยได้เป็นปล่อย

ช่วยได้เป็นช่วย ดังนั้นพอได้ข่าวว่าเพื่อนคนหนึ่งมีปัญหาขาดเงินลงทะเบียน

เรียน จึงถอนเงินเก็บไปให้ยืม ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเปอร์เซ็นต์ได้คืนเป็นศูนย์ เมื่อ

เป็นแบบนี้โอกาสที่จะเก็บเงินพอค่าเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดจึงริบหรี่ งาน

ชั่วคราวงานนี้จึงนับว่าตอบโจทย์ได้ทุกข้อ

“ไม่ต้องเสียใจหรอกลูก เก็ตยังเด็กเกินไปที่จะทำงานเป็นผู้ติดตาม

กึ่งพี่เลี้ยงให้คนอื่น ลำพังตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดเลย ตำแหน่งแบบ

นี้น่าจะเป็นคนที่มีอายุหน่อยอย่างที่เขากำหนดคุณสมบัติไว้นั่นแหละ เออ...

จะว่าไปก็น่าแปลกนะ เขาไม่มีพี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่เลยหรือไง ถึงต้องมา

จ้างคนอื่น” ทิวาเปรยอย่างสงสัย

“มีค่ะแม่ แต่เรื่องที่จะให้คนระดับนั้นไปทำหน้าที่ติดตามรับใช้ดูแล

ใครเห็นจะยาก” ลูกสาวยิ้มให้แม่ ทุกคนหันไปส่งสายตาถามคนพูด “ก็ที่

ที่เก็ตไปสมัครงานเป็นวังเจ้า แล้วคนสัมภาษณ์ก็เป็นหม่อม ส่วนลูกสาว

ที่น่าจะเป็นเจ้าสาวเป็นหม่อมราชวงศ์ ท่าทางเจ้ายศเจ้าอย่างยิ่งกว่าหม่อม

พรรณรายกับหญิงเล็กในละครเรื่องบ้านทรายทองที่แม่ชอบดูอีกนะคะ”

ได้ยินแค่นั้น อินตาก็เปลี่ยนจากอยากให้เก็ตถวาได้งานเป็นโล่งใจที่

ไม่ได้งาน “งั้นเขาไม่รับนั่นแหละดีแล้ว เดี๋ยวเก็ตติดความเจ้ายศเจ้าอย่าง

กลับมา ขี้เกียจคลานเข่าเข้าไปหาหรือยืนกุมเป้าเวลาพูดด้วย”

พ่อแม่หัวเราะคำพูดล้นๆ ของลูกชาย จากนั้นพวกเขาก็หันเหความ

สนใจไปยังจอโทรทัศน์ซึ่งเริ่มรายการโปรดของทุกคน...ส่วนเก็ตถวานั่ง

อมยิ้มเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนบ่าย คำพูดของน้องชายใกล้เคียงกับ

ความเป็นจริงอย่างน่าขำ...

บ่ายวันนี้หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ เก็ตถวาขึ้นรถเมล์ไปยังบ้าน

เลขที่ ๑ ซอยระวีรุ่งโรจน์ เมื่อมายืนหน้าประตูเหล็กดัดลวดลายวิจิตร

อ่อนช้อยบ่งบอกถึงความเก่าแก่หรูหราของสถานที่ หล่อนก็บอกได้ทันทีว่า

ที่นี่ไม่ธรรมดา ชื่อ ‘วังระวีรุ่งโรจน์’ และตราพระอาทิตย์กึ่งกลางบานประตู

ยืนยันความคิดนั้น

หลังจากผ่านยามหน้าประตูใหญ่ ก็ต้องเดินต่ออีกหลายนาทีเข้าไป

ตามถนนคดเคี้ยวขนาบด้วยสนามหญ้าเขียวขจีซึ่งมีพุ่มไม้และต้นไม้สูงใหญ่

เรียงรายตลอดสองข้างทางจึงไปถึงตึกหลังโอฬาร งดงามด้วยสถาปัตยกรรม

แบบโคโลเนียล เฉลียงหินอ่อนข้างตึกซึ่งกว้างขวางและร่มรื่นด้วยเงาไม้ มี

สตรีในวัยตั้งแต่สามสิบจนถึงสี่สิบกว่าๆ ไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนนั่งเรียงรายรอ

การสัมภาษณ์ เด็กสาวซึ่งสวมเครื่องแบบคนรับใช้ตรงเข้ามาหาพร้อม

ใบสมัคร แต่แล้วกลับยึกยักไม่ยอมส่งให้เมื่อเห็นหล่อนสวมเครื่องแบบ

นักศึกษา

เก็ตถวาอาศัยจังหวะที่เด็กคนนั้นละล้าละลังดึงใบสมัครชุดหนึ่งมา

กรอก ใช้เวลานานกว่าจะเสร็จเพราะต้องตอบคำถามยุบยิบมากมายล้วงลึก

ถึงญาติพงศ์วงศา จากนั้นต้องรออีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถูกเรียก

สัมภาษณ์เป็นคนท้ายๆ หญิงสาวเดินเข้าไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่

ฝ่อเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นกว้างใหญ่ตกแต่งสไตล์หลุยส์

ผู้สัมภาษณ์คนหนึ่งเป็นหญิงวัยเกษียณ แต่งกายชุดผ้าไหมสีเทาเงิน

เข้ากับสีผม แบบเรียบแต่ดูอลังการด้วยเครื่องเพชรครบชุด ส่งแสงวูบวาบ

บาดตาแข่งกับโคมไฟแก้วเจียระไนเหนือศีรษะ แต่ที่เจิดจ้ากว่าเครื่องประดับ

ใดๆ บนตัวของนางคือแสงกล้าจากดวงตาคมดุที่เขม้นมองทุกย่างก้าว

เก็ตถวารู้สึกเหมือนถูกจับถอดเสื้อผ้าแล้วสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์

คอมพิวเตอร์...มองแบบนี้เหมือนจะให้ทะลุถึงกระดูกกระเดี้ยวข้างใน ส่วน

คนที่นั่งข้างๆ รุ่นราวคราวเดียวกับเก็ตถวา อาจแก่กว่าสักสองสามปี ถอด

แบบผู้อาวุโสมาทุกประการ ทั้งตาเอกซเรย์และสีหน้าท่าทางแข็งทื่อเหมือน

แฟรงเกนสไตน์ หล่อนนั่งหลังและลำคอตั้งตรง หน้าเชิดจนจมูกเหมือน

ลอยโด่งกลางอากาศ แถมยังมองคนผ่านดั้ง จึงดูเหมือนตาเขตลอดเวลา

การแต่งตัวฟู่ฟ่าพอๆ กัน เพียงแต่คนสาวกว่าประทับตราทั้งตัวด้วยตัวย่อ

แบรนด์ต่างๆ มองแล้วตาลาย

                         (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024