ศึกรักปลายจวัก (พิมพ์คำ)

ศึกรักปลายจวัก (พิมพ์คำ)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160011841
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 340.00 บาท 85.00 บาท
ประหยัด: 255.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เชฟหนุ่มเจ้าเสน่ห์

 

เวทีขนาดใหญ่เบื้องหน้าในห้องส่งล้อมรอบไปด้วยอัฒจันทร์

ซึ่งมีผู้ชมแน่นขนัดเป็นพิเศษ โดยมากเป็นสาวๆ และเหล่าบรรดาเก้งกวาง

ที่ต่างรอชมการแข่งขันรายการ ‘เดอะท็อปชาร์มิงเชฟ’ (The Top Charming Chef) ด้วยใจลุ้นระทึก

เนื่องจากวันนี้เป็นการแข่งขันรอบตัดเชือก

ว่าเชฟหนุ่มผู้ใดจะได้ครองตำแหน่งเดอะท็อปชาร์มิงเชฟ ซึ่งเกณฑ์

การตัดสินไม่ได้วัดกันที่ฝีมือการทำอาหารเท่านั้น แต่ยังวัดกันที่รูปร่าง

หน้าตาและเสน่ห์ท่วงท่าการทำอาหารเป็นสำคัญ

ชายหนุ่มผู้ที่ครองตำแหน่งเดอะท็อปชาร์มิงเชฟ นอกจากจะได้รับ

รางวัลเป็นเงินสดมูลค่าถึงหนึ่งล้านบาทแล้ว ยังได้เป็นผู้ดำเนินรายการ

‘อร่อยยกนิ้ว’ และเป็นพรีเซนเตอร์ให้แก่ผลิตภัณฑ์อาหารในเครือชนวัฒน์

ยกนิ้ว ที่สำคัญคือได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันชิงแชมป์สุดยอดเชฟระดับ

เอเชียซึ่งกำลังจะจัดขึ้น ณ ประเทศไต้หวันอีกด้วย ผลตอบแทนที่คุ้มเสีย

ยิ่งกว่าคุ้มคือแม่เหล็กสำคัญที่ทำให้เชฟหนุ่มผู้คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติ

ตรงตามเงื่อนไขของรายการ พากันหลั่งไหลมาสมัครชิงชัยในศึกการทำอาหารครั้งนี้

แต่ใช่ว่าเชฟหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรทุกคนจะได้เข้าร่วม

สังเวียนอาหารนี้ เพราะหากคุณสมบัติตกหล่นแม้แต่เพียงข้อเดียว ก็จะ

 

ถูกกากบาทหัวใบสมัครทิ้งทันที และคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมแข่ง

รายการเดอะท็อปชาร์มิงเชฟ มีดังนี้

 

1. เป็นเพศชายเท่านั้น อายุระหว่าง 25-30 ปี

2. รูปร่างหน้าตาดี และมีส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 170 เซนติเมตร

3. มีความสามารถด้านการทำอาหารด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ

หากเคยศึกษาในสถาบันอาหารที่มีชื่อเสียงจะได้รับการพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ

4. ไม่เคยชนะและได้รับรางวัลใดๆ จากการแข่งขันรายการอาหารใดๆ มาก่อน

5. พร้อมยอมรับกฎกติกาในการแข่งขันอย่างเคร่งครัดและพร้อม

ทำตามข้อตกลงต่างๆ ของทางรายการ

 

คุณสมบัติที่กลั่นกรองผู้สมัครประหนึ่งตาข่ายร่อนแป้ง ทำให้เหลือ

ชายหนุ่มที่เข้าตากรรมการเพียงยี่สิบคนเท่านั้น และต้องผ่านการทดสอบ

ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือเพียงสิบคนเพื่อเข้าร่วมรายการ ผู้แข่งขันตัวจริง

ทั้งสิบคนต้องแข่งขันทำอาหารด้วยโจทย์อาหารเดียวกัน ก่อนนำเสนอ

อาหารจานนั้นต่อกรรมการในห้องส่ง โดยคะแนนการตัดสินมาจากคณะ

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการทำอาหารซึ่งผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ตัดสิน

เพื่อความเป็นธรรม จนกระทั่งเหลือเพียงสามคนสุดท้ายที่ต้องชิงชัย

ตำแหน่งเดอะท็อปชาร์มิงเชฟ

เสียงเพลงบรรเลงเปิดรายการที่ดังขึ้น และแสงสว่างจากสปอตไลต์

สามจุดซึ่งพุ่งตรงไปยังภาพถ่ายขนาดเท่าตัวจริงของเชฟผู้ท้าชิงทั้งสาม

คนในการแข่งขันรอบสุดท้าย ทำให้เกิดเสียงกรีดร้องอย่างคลั่งไคล้ ตะโกน

เรียกชื่อชายหนุ่มผู้ท้าชิงแต่ละคนประหนึ่งกำลังอยู่ในงานคอนเสิร์ต

 

บอยแบนด์ ทั้งป้ายไฟของเหล่าบรรดาแฟนคลับเชฟหนุ่มก็สว่างไสว

ละลานตา เสียงเพลงบรรเลงที่เปิดคลอเบาๆ ดังกระหึ่มขึ้นเมื่อเชฟหนุ่ม

ผู้ท้าชิงทั้งสามปรากฏกายเบื้องหน้าภาพถ่ายบนเวที เรียกเสียงกรี๊ดดัง

สนั่นจากบรรดาแฟนคลับจนห้องส่งแทบแตก

“พี่เจสู้ๆ...รักพี่เจนะคะ” เสียงร้องเชียร์จากกลุ่มแฟนคลับ จิรภัทร

วริยากร หรือ เจ เชฟหนุ่มผู้ท้าชิงคนแรกดังกว่าใครเพื่อน จิรภัทรเป็น

เชฟหนุ่มหน้าละอ่อนอายุเพียงยี่สิบห้าปี ใบหน้าของเขาหล่อเหลาแบบ

พิมพ์นิยมพระเอกเกาหลี คือตาโต จมูกโด่ง ปากและแก้มเป็นสีชมพู

ผิวขาวละเอียดใสกิ๊งเหมือนมีออร่าเปล่งประกายออกมาจากตัวชนิดแสง

ยูวีไม่สามารถทำลายความขาวโอโมนี้ได้ หากให้บรรยายลักษณะโดยรวม

ของจิรภัทร คงอธิบายได้ง่ายๆ ว่า ‘หล่อเป๊ะ’ เพราะจิรภัทรดูดีตั้งแต่ศีรษะ

จดปลายเท้า เพียงจิรภัทรยกมือขึ้นเสยผม สาวๆ และเก้งกวางก็พร้อม

จะกรี๊ดจนคออักเสบได้

จิรภัทรแต่งกายด้วยชุดเชฟสีขาวสะอาดตากับกางเกงวอร์มลาย

หมากรุก สวมรองเท้าสีดำ และบนศีรษะมีหมวกเชฟใบสูงตั้งเด่นเป็นสง่า

แลดูเป็นเชฟมืออาชีพ สมกับดีกรีผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเลอ

กูร์เมต์ (Le Gourmet) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสถาบันผลิตเชฟชื่อดัง

ก้องโลกมาสดๆ ร้อนๆ

นอกจากรูปร่างหน้าตาและระดับการศึกษาที่สาวๆ พากันปลื้มแล้ว

พื้นฐานครอบครัวของจิรภัทรเองก็มีฐานะร่ำรวยและเป็นที่รู้จักในวงสังคม

เพราะเขาเป็นถึงลูกชายเจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่จีซีเอ็ม (GCM) ซึ่ง

นอกจากจะทำธุรกิจเพลงเป็นหลักแล้ว ยังสร้างละคร ภาพยนตร์ รวมทั้ง

มีช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอีกด้วย ค่ายเพลงจีซีเอ็มจึงถือได้ว่าเป็น

บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการบันเทิงอย่างแท้จริง

แม้รูปร่างและหน้าตาของจิรภัทรจะเอาดีด้านการเป็นนักร้องหรือ

 

ดาราได้สบาย อีกทั้งครอบครัวของเขาก็พร้อมผลักและดันให้เขากลาย

เป็นซูเปอร์สตาร์ได้ในชั่วข้ามคืน แต่เขากลับเลือกเอาดีด้านการเป็น

นายแบบ ออกงานอีเวนต์ และชอบเฉิดฉายเป็นเซเลบริตีในแวดวงสังคม

มากกว่า ดังนั้นหน้าข่าวสังคมในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเล่มต่างๆ

จึงมักมีภาพและข่าวของจิรภัทรปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ

แต่กว่าจิรภัทรจะค้นพบว่าเขาสนใจการทำอาหาร ก็ตอนที่เขาได้

รับเชิญให้ไปเป็นแขกในรายการทำอาหารของเชฟบิ๊ก เชฟหนุ่มอินดี้ชื่อดัง

ผู้เป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง ดังนั้นจิรภัทรจึงเบนเส้นทางจากการเป็น

นายแบบสู่วิชาชีพอาหารอย่างจริงจัง โดยศึกษาต่อด้านการทำอาหารที่

สถาบันเลอ กูร์เมต์เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม

เมื่อชายหนุ่มสำเร็จการศึกษากลับมาก็บังเอิญเป็นช่วงเวลาเดียว

กับที่มีการเปิดรับสมัครเชฟหนุ่มเข้าร่วมการแข่งขันรายการเดอะท็อป-

ชาร์มิงเชฟพอดี เขาจึงต้องการพิสูจน์ให้ครอบครัวและคนในแวดวงสังคม

เห็นว่า เขาสามารถสร้างชื่อในสายอาชีพอาหารด้วยการยอมรับจาก

กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหาร โดยไม่ได้อาศัยเส้นสายของครอบครัว

เพื่อสร้างชื่อ จึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมแข่งขันในรายการนี้

เชฟผู้ท้าชิงคนที่สองมีแฟนคลับไม่แพ้จิรภัทร สังเกตได้จาก

ป้ายไฟที่ชูว่อนในห้องส่ง หากจิรภัทรหล่อแบบเกาหลี นาวินก็หล่อคมเข้ม

แบบไทยแท้ ผิวเข้ม รูปร่างกระชับด้วยมัดกล้าม และสูงโปร่งตามตำรับ

ดาร์ก ทอล แอนด์แฮนด์ซัม ทำให้สาวๆ ต่างอยากถลาไปซบอกที่เต็มไป

ด้วยซิกซ์แพ็กนั้นดูสักครั้ง

นอกจากนาวินจะหล่อเข้มหุ่นฟิตเปรี๊ยะสะท้านใจสาวแล้ว เขายัง

มีดีกรีเป็นถึงอดีตนักมวยเจ้าของรางวัลเหรียญทองซีเกมส์ แต่มีเหตุให้

ต้องแขวนนวมตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบแปดปี เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ

จึงต้องมองหาอาชีพใหม่ และค้นพบว่าการทำอาหารเป็นสิ่งที่ทำได้ดี

ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการชกมวย

ดังนั้นเขาจึงใช้เงินเก็บที่มีอยู่บินไปศึกษาต่อด้านทำอาหารที่

‘อเมริกันคูลินารีสกูล’ (American Culinary School) ณ มหานคร

นิวยอร์กถึงสองปีเต็ม และฝึกงานเป็นผู้ช่วยเชฟอีกราวหนึ่งปี ก่อนกลับ

มาเปิดร้านอาหารเล็กๆ ชื่อ ‘วิน บิสโตร’ (Win Bistro) แถวย่านทองหล่อ

ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านอาหารฮิปๆ ในกรุงเทพฯ

ระยะแรกร้านอาหารของนาวินมีผลประกอบการที่ดี มีลูกค้าจอง

โต๊ะแน่นทุกวัน คงเป็นเพราะเหล่าบรรดานักชิมอยากรู้ว่าฝีมือการทำ

อาหารของนาวินจะเด็ดดวงพอๆ กับลีลาหมัดของเขาหรือไม่ ทว่าเมื่อเวลา

ผ่านไปได้ราวครึ่งปี กระแสความนิยมของร้านก็เริ่มซาลงตามประสานิสัย

คนกรุงเทพฯ ที่มักเห่ออะไรเป็นพักๆ

พอมีร้านอาหารอะไรใหม่ๆ เปิด ร้านเก่าๆ ก็มักมียอดขายตกลง

อย่างน่าใจหาย นาวินเคยเชื่อมั่นเสมอว่ารสมือของเขาจะช่วยรักษาความ

นิยมของร้านไว้ได้โดยไม่ต้องอาศัยการตกแต่งร้านที่หรูหราหรืออินเทรนด์

ตามกระแส แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมรับความจริงว่า บรรยากาศของ

ร้านอาหารและการตกแต่งมีส่วนสำคัญไม่น้อยต่อการดึงดูดให้คนเข้าร้านอาหารร้านนั้นๆ

ทว่านาวินก็ไม่ได้มีเงินทุนมากพอจะตกแต่งร้านอาหารใหม่

เพราะเงินเก็บเกือบทั้งหมดของเขาใช้จ่ายไปกับค่าเล่าเรียนในต่างแดน

และร้านอาหารจนหมดสิ้นแล้ว ทุนรอนที่เหลืออยู่ต้องใช้เป็นเงิน

หมุนเวียนในร้าน ดังนั้นการเข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้จึงเป็นความหวัง

ของนาวิน เพื่อนำเงินรางวัลและชื่อเสียงจากการเป็นผู้ชนะการแข่งขันไป

กอบกู้ร้านวิน บิสโตรให้กลับมามีชื่อเสียงและมั่นคงในระยะยาว การที่

นาวินได้ออกรายการเปิดใจสัมภาษณ์เรื่องปัญหาการเงินที่ส่งผลต่อการ

บริหารร้านอาหารของเขา ทำให้มีผู้ชมกลุ่มหนึ่งเห็นอกเห็นใจและรวมกลุ่ม

เป็นแฟนคลับของนาวิน เพื่อส่งกำลังใจให้อดีตแชมป์นักมวยหนุ่ม

สามารถฝ่าฟันอุปสรรคและกอบกู้ชื่อเสียงร้านอาหารได้ดังที่มุ่งหวัง

ส่วนเชฟหนุ่มผู้ท้าชิงคนสุดท้ายซึ่งเพิ่งปรากฏตัวบนเวทีคือ รัญชน์

ชายหนุ่มมาดเซอร์ หลานชายเจ้าของร้านน้ำพริกสายใจ ร้านเก่าแก่ย่าน

แพร่งนรา ผู้มีแฟนคลับน้อยที่สุด รัญชน์ไม่ได้เรียนการทำอาหารจาก

สถาบันสอนทำอาหารแห่งใดเลย แต่อาศัยเรียนรู้การตำน้ำพริกและการ

ทำอาหารไทยจากยายสายใจมาตั้งแต่อายุสิบสอง จึงมีพรสวรรค์ด้านการ

ทำอาหารไทยชนิดหาตัวจับได้ยาก ใครๆ ต่างพูดกันว่ารัญชน์เป็นม้ามืด

เพราะหากเทียบคุณสมบัติของรัญชน์กับนาวินและผู้สมัครคนอื่นๆ

ชายหนุ่มถือว่ามีคุณสมบัติที่ด้อยกว่ามาก บ้างก็ลือว่ารัญชน์คือเด็กเส้น

ที่ชนวัฒน์ตั้งใจปั้นให้เป็นเชฟดัง

ไม่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่จากการแข่งขันที่ผ่านมาก็พิสูจน์

ให้เห็นแล้วว่ารัญชน์มีความสามารถและก้าวมาถึงการแข่งขันรอบสุดท้าย

ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ซ้ำเวลาทำอาหาร สีหน้าท่าทางเป็นธรรมชาติของ

รัญชน์ก็ทำให้สาวๆ แทบไม่ได้สนใจอาหารที่เขาทำอยู่ แต่กลับมอง

รัญชน์ที่กำลังทำอาหารอย่างมีความสุขด้วยความเพลิดเพลิน ดังนั้น

รัญชน์จึงเป็นผู้ท้าชิงที่ทั้งจิรภัทรและนาวินจะประมาทไม่ได้เลย

ชายหนุ่มไม่ได้แต่งกายด้วยชุดเชฟอย่างเป็นทางการเหมือนจิรภัทร

และนาวิน แต่แต่งกายด้วยเสื้อยืดสีดำพับแขนกับกางเกงยีน มีผ้ากันเปื้อน

ลายตารางหมากรุกสีขาวดำคาดอยู่ที่เอว เช่นเดียวกับหน้าผากที่คาดผ้า

กันเหงื่อไว้ ผมซึ่งยาวประบ่าถูกมัดเป็นหางม้าไว้หลวมๆ รูปร่างสูงโปร่ง

แต่แขนขาไม่ได้ยาวเก้งก้าง ดังนั้นเวลาหยิบจับอุปกรณ์ทำครัวจึงไม่แลดู

ขัดเขิน ผิวของรัญชน์เป็นสีน้ำตาลอ่อนเนียนละเอียด ไม่ถึงกับคล้ำหรือ

บึกบึนเท่ากับนาวิน แต่ไม่ได้บอบบางเป็นคุณหนูอย่างจิรภัทร รูปหน้าของ

รัญชน์ยาว ดวงตาเป็นประกายสะท้อนให้เห็นถึงความกระตือรือร้นและ

ความมุ่งมั่น ทว่าจุดเด่นที่สุดบนใบหน้าก็คือรอยยิ้มที่ทำให้สาวๆ จ้อง

มองอย่างหลงใหลไม่รู้เบื่อ

เสียงของพิธีกรสาวชื่อดังร่างอวบทำให้เสียงกรี๊ดกร๊าดของผู้ชมใน

ห้องส่งเงียบลงชั่วขณะหนึ่ง

“สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชมทั้งในห้องส่งและผู้ชมทางบ้าน วันนี้รายการ

เดอะท็อปชาร์มิงเชฟของเราได้ดำเนินมาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว ท่านผู้ชม

คิดเหมือนดิฉันไหมคะว่าตัดสินใจเลือกผู้ชนะยากจริงๆ เพราะเชฟทั้งสาม

ท่านมากด้วยความสามารถ แถมยังหล่อกันคนละแบบ แต่เพื่อให้การ

แข่งขันวันนี้สมศักดิ์ศรีของผู้ที่จะได้ครองตำแหน่งเดอะท็อปชาร์มิงเชฟ

และพรีเซนเตอร์ของผลิตภัณฑ์อาหารในเครือชนวัฒน์ยกนิ้ววัตถุดิบที่

เลือกใช้ในการแข่งขันวันนี้จึงได้แก่ ข้าวหอมมะลิและซอสปรุงรสตรา

ชนวัฒน์ยกนิ้วค่ะ ส่วนโจทย์อาหารของเราก็คืออาหารสำหรับเสิร์ฟ

ผู้โดยสารชั้นเฟิสต์คลาสของสายการบินไทยฟลาย (Thai Fly)”

สิ้นคำของพิธีกรสาวก็มีเสียงพึมพำด้วยความตื่นเต้นและถกเถียง

กันว่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันแต่ละคนจะทำอาหารออกมาในลักษณะใด

เพราะการสร้างสรรค์วัตถุดิบอย่างข้าวหอมมะลิและซอสปรุงรสเป็นเมนู

อาหารสำหรับผู้โดยสารชั้นเฟิสต์คลาสไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

ครั้นแสงไฟสปอตไลต์สาดส่องมายังร่างของชายวัยหกสิบเศษที่

ปรากฏกายขึ้นจากด้านล่างของเวทีหลังเคาน์เตอร์แสดงวัตถุดิบหลัก

ในการแข่งขัน เสียงปรบมือในห้องส่งก็ดังสนั่นไม่แพ้ยามเชฟผู้ท้าชิง

สุดหล่อทั้งสามคนปรากฏกายบนเวทีเลย ไม่มีใครในวงการอาหารไม่รู้จัก

ชายวัยหกสิบเศษผู้มีนามว่า ชนวัฒน์ เดชเดชา เพราะเขาคือนักวิจารณ์

อาหารชื่อดัง เจ้าของฉายา ‘ชนวัฒน์ยกนิ้ว’ ผู้มีอิทธิพลในการชี้เป็นชี้ตาย

อนาคตของเชฟและร้านอาหารต่างๆ ในประเทศไทยว่าจะรุ่งหรือร่วง หากร้าน

อาหารร้านใดมีป้ายชนวัฒน์ยกนิ้วติดไว้หน้าร้านก็รับประกันได้เลยว่า

                        (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

"ศึกรักปลายจวัก"

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นเมื่อ "เนตรชนก" กับ "พิมพ์ชนก" ไม่อาจตกลงกันได้ด้วยวาจา ทั้งคู่จึงจำเป็นต้องงัดเล่ห์กลมารยาประดามีออกมาใช้ เพื่อช่วงชิงตำเเหน่งทายาท รวมถึงหัวใจเชฟหนุ่มผู้เป็นเดิมพัน เเละทอดสะพานไปสู่ความสำเร็จ 

"เนตรชนก" นักวิจารณ์อาหาร เจ้าของฉายา 'เจ๊ฉะเเหลก' ยอมปรับดฉมตัวเองครั้งใหญ่ตั้งเเต่หัวจรดเท้าชนิดไม่เหลือคราบเดิมเพื่อรับมือกับ "พิมพ์ชนก" น้องสาวต่างมารดาเเละพิธีกรเจ้าของฉายา สตรอว์เบอร์เเหลเรียกพี่ ที่สละได้เเม้กระทั่วความฝันเเลตัวตนของตัวเอง เพื่อช่วงชิงตำเเหน่งทายาทเเละหัวใจของผู้เป็นบิดา ทว่าเรื่องราวกลับยิ่งเข้มข้นเมื่อมี ธัญชน์ เชฟหนุ่มเป็นสะพานทอดไปสู่ชัยชนะ ศึกสายเลือดครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร ในเมื่อผู้ชนะต้องมีเพียงหนึ่งเดียว !! แล้วเรื่องราวจะดำเนินต่อไป และมีบทสรุปอย่างไร !? ขอเชิญคุณผู้อ่านมาติดตามร่วมกันในนิยาย "ศึกรักปลายจวัก - ชุดหนุ่มเจ้าเสน่ห์" เล่มนี้

โดย "นภาสรร"

 

568 หน้า


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024