คุ้งเสน่หา (เตชิตา)
มีสินค้าในสต็อค
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )
เนื้อหาบางส่วน
๑
หญิงสาวรูปร่างผอมแกร็น ผิวกายคล้ำหยาบ นั่งอยู่บนท้ายเรือ
และกำลังพายเรือหัวแหลมขนาดเล็กซึ่งชาวท้องถิ่นเรียกว่า ‘เรือเข็ม’ ออกห่างบันไดท่าน้ำหน้าตลาดลาดชะโด ใครๆ ก็เรียกหล่อนว่า ‘นังจืด’ เป็นคนสนิทของมารศรี สาวสวยวัยยี่สิบ ซึ่งนั่งเสงี่ยมอยู่บนหัวเรือ จืดพายเรือล่องไปตามลำคลองขุดที่แยกมาจากแม่น้ำน้อย ซึ่งไหลผ่านเรือนแพที่อยู่เหนือผิวน้ำเป็นแนวยาวสองฟากฝั่ง และเหนือขึ้นไปบนบกก็มีชุมชนอีกด้วย
ลาดชะโดคือชุมชนที่เงียบสงบในเขตอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพื้นที่ลาดต่ำน้ำท่วมถึง จึงมีปลาชะโดชุกชุมไปทั้งคุ้งน้ำคลอง ลาดชะโดแยกย่อยมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา มีชุมชนขนาบสองฝั่งซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ตำบล ๑๗ หมู่บ้าน ฝั่งหนึ่งเรียกตำบลหนองน้ำใหญ่ ประกอบด้วย ๑๑ หมู่บ้าน และอีกฝั่งเรียกว่าตำบลจักราช ประกอบด้วย ๖ หมู่บ้าน
มารศรีเป็นบุตรสาวคนเดียวของ นางผ่องแผ้ว ผลบุญ กับ นายกุศล ผลบุญ อดีตผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งของตำบลจักราช หล่อนได้รับฉายาว่า ‘ดอกบัวแย้มกลีบแห่งคุ้งลาดชะโด’ เพราะเสมือนบัวเพิ่งบานชูเกสรล้อแมลงเพศผู้
อาจเพราะธรรมชาติลำเอียงจึงได้เสกสรรความงามให้แก่หญิงสาวเสียจนล้นเหลือ หล่อนมีรูปร่างระหงเพรียวบาง ประกอบกับผิวขาวเหลืองละเอียดลออดั่งปั้นจากขี้ผึ้งเนื้อดี ดวงหน้าหวาน นัยน์ตาดำขลับตัดกับ
ใบหน้าอ่อนเยาว์ กลีบปากสีชมพูสดหยักเป็นรูปกระจับ งามไม่เป็นรองสาวใด
ความสวยของหล่อนดึงสายตาเหล่าภมรให้หันมาสนใจ โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องประทินผิวเข้าช่วย สัดส่วนสะโอดสะองไม่แพ้สาวงามจากเวทีประกวดใดๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้ามารศรีจะหลงรูปโฉมของตนถึงขนาดมั่นใจว่าทั่วคุ้งน้ำแห่งนี้ไม่มีใครงามสู้หล่อนได้
ความสวยราวนางอัปสรของมารศรีน่าจะทำให้หล่อนเป็นสาวเนื้อหอม ดึงดูดความสนใจเพศตรงข้ามมากกว่าจะทำให้หล่อนเป็นสาวช้ำรัก โดน
ชายหนุ่มที่หมายปองหักอกบ่อยๆ อย่างที่เป็นอยู่ หากไม่ใช่เพราะบุคลิกก๋ากั่นกว่าสาววัยเดียวกัน ประกอบกับฝีปากของหล่อนร้ายกาจจนใครๆ พากันขยาด ไม่กล้าโต้คารมด้วยนัก
“แดดอ่อนพอดี ก่อนกลับบ้านเราแวะเก็บดอกโสนไปลวกจิ้มน้ำพริกกินกันดีกว่าเนอะพี่จืด” มารศรีเอ่ยทำลายความเงียบ
จืดพยักหน้าพลางใช้ไม้พายพุ้ยน้ำนำเรือเข้าหาฝั่งซึ่งมีต้นโสนเรียงราย
ดอกโสนสีเหลืองเป็นพวงเต็มต้นตัดกับเสื้อผ้าสีสดของสองสาวอย่างน่ามอง
“เด็ดสายบัวกับผักบุ้งไปด้วยนะน้องศรี พอถึงบ้านค่อยใช้ไอ้พี่แอ๊ะไปหาปลามาทำกินกับน้ำพริกกัน” สาวร่างเล็กเอ่ยพลางพายเรือเป็นจังหวะเข้าหาตลิ่ง
“ก็ดีนะ เดี๋ยวเก็บดอกโสนเสร็จเราแวะไปเก็บมะดันตรงท่าน้ำบ้าน
ยายปริกด้วยดีกว่าพี่จืด เห็นแม่บ่นอยากกินน้ำพริกมะดันมาตั้งแต่เมื่อวาน เราตำน้ำพริก ทอดปลาเตรียมไว้ แม่กลับจากตลาดจะได้กินกัน”
จืดพยักหน้าพร้อมวางไม้พายไว้ข้างตัว เอื้อมมือไปเด็ดดอกโสนและดึงบัวสายมาวางไว้ในท้องเรือ เสร็จแล้วจึงพายเรือเลาะไปตามตลิ่งเข้าหาท่าน้ำหน้าบ้านยายปริกเพื่อเก็บมะดันที่กำลังออกลูกดก
“อ้าว...นังศรี”
เสียงตะโกนของคนบนท่าน้ำทำให้มารศรีชะงักมือที่กำลังเด็ดดอกโสน หล่อนเงยหน้ามองไปยังทิศทางของเสียงร้องทัก
“เอ็งไม่ได้ไปบางกอกกับพวกนังชมมันหรอกรึ ข้านึกว่าป่านนี้เอ็งคงหนีพ่อกุศลไปดูไอ้วิชาญมันแสดงที่บางกอกแล้วเสียอีก”
“อะไรนะจ๊ะป้าชื่น นี่นังชมมันไปดูลิเกถึงบางกอกเลยรึ” มารศรีทำตาโตขณะตะโกนถามชวนชื่นอย่างสนใจ
“ใช่ มันไม่ได้ชวนเอ็งหรอกรึ ทุกทีข้าเห็นมันจะไปดูลิเกแต่ละทีต้องแวะไปชวนเอ็งด้วยทุกครั้งนี่หว่า” บุตรสาวยายปริกซึ่งเป็นมารดาของชวนชมตะโกนถาม
จืดหย่อนไม้พายลงพุ้ยน้ำเบาๆ บังคับหัวเรือให้หันเข้าหาฝั่งเพื่อความสะดวกในการสนทนาของมารศรีกับชวนชื่น
“นั่นสิจ๊ะ ปกตินังชมมันจะต้องไปชวนฉันทุกครั้ง ทำไมครั้งนี้มันไม่เห็นบอกข่าวอะไรเลย นี่ถ้ารู้ว่ามันไป ฉันกับพี่จืดต้องไปกับมันด้วยแน่ๆ”
มารศรีถอนหายใจแรง ใบหน้าหล่อนงอง้ำ หมดความสนใจผลมะดันที่ตั้งใจจะมาเก็บไปโดยปริยาย
“เออ แปลก...ทำไมมันไม่ไปชวนเอ็ง ทั้งที่คราวนี้มันมาบอกข้าว่าจะไปกับพวกคณะลิเกเขาเลยทีเดียว เห็นว่าไปเรือลำเดียวกับพวกพระเอกนางเอกของคณะเขานี่แหละ” หญิงวัยกลางคนเอ่ย
“อะไรนะจ๊ะป้า! ไปเรือลำเดียวกับพี่วิชาญเลยเหรอ” มารศรีอุทานเสียงแหลมเพราะเสียดายโอกาส
“ใช่” ชวนชื่นพยักหน้าพลางเอ่ยต่อ “เห็นว่าเพื่อนมันที่เป็นนางเอกลิเกเป็นคนมาชวน”
จืดชะโงกหน้าเข้าไปใกล้หูมารศรีพลางจีบปากจีบคอเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด
“อีนังดอกเอื้องต้องเป็นตัวการแน่เชียวน้องศรี มันเป็นคนห้ามนังชมมาบอกเราแน่ๆ”
“หึ...อีนังนี่มันร้ายนัก คิดจะกันท่าไม่ให้ฉันตามไปดูพี่วิชาญละสิ” มารศรีเอ่ยเสียงสะบัดอย่างเกรี้ยวกราดแล้วเม้มปากเป็นเส้นตรงด้วยความขัดใจ
“แต่เขาไปแสดงไกลถึงบางกอกนู่น พ่อเอ็งจะให้ไปหรือวะ” ชวนชื่นเอ่ยอย่างรู้จักนิสัยของผู้ใหญ่กุศลเป็นอย่างดี
“ก็จริงจ้ะ...พ่อคงไม่ให้ฉันไปหรอก” มารศรีเอ่ยกระฟัดกระเฟียด
“ก็นั่นน่ะสิ ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็อย่าโกรธนังชมกับเพื่อนมันเลยว่ะ ยังไงเอ็งก็ไปไม่ได้อยู่แล้ว เอาไว้รอดูที่บ้านเราก็ได้ ปิดวิกที่บางกอกเสร็จเขาก็มาเล่นที่บ้านเราอยู่แล้ว” ชวนชื่นเอ่ยปลอบ
“ป้าไม่ต้องห่วง ฉันไม่โกรธนังชมมันหรอกจ้ะ” มารศรีตอบตามที่คิดเพราะคนที่หล่อนโกรธไม่ใช่ชวนชม แต่เป็นนางเอกลิเกนามว่าดอกเอื้องต่างหาก
ไอร้อนจากแสงอาทิตย์แผ่ไปทั่วคุ้งน้ำซึ่งเนืองแน่นไปด้วยเรือของ
เหล่าพ่อค้าแม่ขายที่ลอยลำบนผิวน้ำใกล้ท่าเรือ เพื่อค้าขายให้ผู้โดยสาร
จำนวนมากที่เดินทางมากับเรือเมล์ขนาดใหญ่ ซึ่งแล่นรับส่งผู้โดยสารจาก
ต่างสารทิศ และเรือทุกลำจะต้องเข้าจอดเทียบท่ารับส่งผู้โดยสารที่ท่าเรือใหญ่แห่งนี้
หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองยืนชะเง้อคอคอยอยู่บนท่าเรือ เสื้อผ้าสีสดของหล่อนโดดเด่นกว่าผู้คนที่ยืนห้อมล้อมอยู่โดยรอบ หล่อนยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์กับระฆังหัวเรือรุ่งเรืองรัศมี เรือเมล์สีแดงขนาดใหญ่ที่แล่นจากป่าโมก และลอยลำใกล้เข้ามาเพื่อจอดเทียบท่ารับส่งผู้โดยสารในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“เรือมาแล้วพี่จืด ไม่กี่อึดใจเราก็จะหนีพ้นสายตาของพ่อกับไอ้พี่แอ๊ะซะที กว่ากว่าทุกคนจะรู้ตัวพวกเราก็คงไปถึงบ้านแพนกันแล้ว ถึงเวลานั้นพ่อกับแม่ก็ตามเราไม่ทันแล้วละ” ลูกสาวอดีตผู้ใหญ่บ้านฉีกยิ้มกว้างขณะหันไปเอ่ยกับคนสนิทของตนอย่างยินดี
“โอ๊ย...พี่ละตื่นเต้นจริงๆ เชียวน้องศรี ไม่คิดไม่ฝันว่าครั้งนี้จะได้ไปดูลิเกถึงบางกอกเป็นครั้งแรก”
มารศรีนึกขันสีหน้าท่าทางตื่นเต้นไม่เก็บอาการของจืดเมื่อนึกถึง ‘บางกอก’ เมืองที่ใครๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสวยราวสรวงสวรรค์
“คดิ แล้วก็เสียดายไม่หาย หากเรารู้ข่าวเร็วกว่านี้คงได้ไปเรือลำเดียวกับพี่วิชาญแล้วเนอะพี่จืด เป็นเพราะอีนังดอก...เอื้องแท้ๆ” มารศรีบ่นโดยจิกเรียกชื่อคู่อริด้วยความขัดเคืองใจ
จืดเห็นด้วย หากหล่อนรู้ข่าวล่วงหน้าเร็วกว่านี้สักหนึ่งวัน ป่านนี้หล่อนกับมารศรีคงเดินทางถึงบางกอกพร้อมกับชาวคณะลิเก ยิ่งนึกก็ยิ่งโมโหจึงบ่นอย่างเสียดาย
“นั่นสิ...เพราะนังดอกเอื้องคนเดียวจริงๆไม่อย่างนั้นป่านนี้เราคงถึงบางกอกพร้อมพวกนั้นแล้ว”
“ถ้าอีนังนั่นมันไม่กีดกันฉัน คืนนี้เราคงได้นั่งดูพี่วิชาญแสดงกันจนหนำใจแล้ว” มารศรีถอนหายใจยาวเพื่อระบายความหงุดหงิด
“แต่ก็ช่างมันเถอะน้องศรี ช้าไปวันก็ยังดีกว่าไม่ได้ไปเลยนะ”
จืดเอ่ยพลางพนมมือท่วมหัวเพื่อบนบานศาลพ่อใหญ่ซึ่งเป็นที่นับถือของคนลาดชะโดด้วยเสียงแหลมเล็ก
“เจ้าประคู้น...ขออย่าให้ลุงศลกับไอ้พี่แอ๊ะตามลูกกับน้องศรีทันเลยนะเจ้าคะ ลูกกลับจากบางกอกแล้วจะต้มไข่ไปถวายพ่อใหญ่ที่ศาลเลยเจ้าค่ะ”
เสียงระฆังจากหัวเรือเมล์ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนการเข้าเทียบท่าดังใกล้เข้ามา ทำให้สองสาวหยุดสนทนาและกระวีกระวาดคว้ากระเป๋าสานบรรจุสัมภาระส่วนตัวน้อยชิ้นที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาถือเตรียมขึ้นเรือ จากนั้น
ก็เดินไปต่อแถวรวมกับชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ยืนรอขึ้นเรือเช่นกัน หลังผู้โดยสารจากป่าโมก วิเศษชัยชาญ ลงจาเรือเรียบร้อย ทุกคนจึงทยอยกันเดินเรียงแถวขึ้นไป
สองสาวเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองแล้วกวาดตามองหาที่นั่ง ท้ายเรือบนชั้นนี้แยกที่นั่งสำหรับพระสงฆ์โดยยกพื้นให้สูงกว่าพื้นปกติ ทั้งคู่เลือกที่ว่างข้างบันไดใกล้ที่นั่งสำหรับภิกษุ เพื่อความสะดวกในการขึ้นลงทำธุระส่วนตัว โชคดีที่วันนี้มีผู้โดยสารไม่มากนัก จึงมีที่ว่างให้พวกหล่อนนั่งได้สบายๆ
ขณะที่เรือเมล์จะแล่นพ้นท่าเรือผักไห่ สองสาวก็ลุ้นอย่างกระวนกระวายว่าอาจเห็นเรือบื๋อของกุศลไล่ตามมา กระทั่งเรือเมล์แล่นไกลจากท่าเรือผักไห่ ทั้งสองจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก มารศรีหยิบหนังสือนิยายที่เตรียมไว้อ่านฆ่าเวลาขึ้นมา ส่วนจืดหยิบไหมพรมที่ถักค้างไว้มานั่งทำต่อ ท่ามกลางเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ของผู้โดยสารคนอื่นๆ
กระทั่งเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ระฆังหัวเรือถูกตีเป็นสัญญาณเตือนว่าเรือจะเทียบท่าที่บ้านแพน สองสาวจึงละมือ ละสายตาจากสิ่งที่สนใจ มองทิวทัศน์โดยรอบอีกหน
“แป๊บเดียวถึงบ้านแพนละ ป่านนี้ไอ้พี่แอ๊ะคงกำลังวิ่งหน้าตาตื่นไปรายงานพ่อว่าตามหาพวกเราไม่เจอแหงๆ เนอะพี่จืด”
มารศรีนึกถึงชายรูปร่างเตี้ยป้อมเป็นกระปุกตั้งฉ่ายอย่างขบขัน ป่านนี้คนที่หญิงสาวนึกถึงคงวิ่งหน้าตั้งไปรายงานบิดาหล่อนหลังจากตามหาไปทั่วคุ้งทั่วท่าแต่ไม่พบ
“หรือไม่ก็อาจกำลังเอาเรือตามเรามาที่บ้านแพนก็ได้นะ” จืดเอ่ยอย่างวิตกพลางชะเง้อคอมองรอบๆ ด้วยความไม่สบายใจ ภาวนาให้เรือแล่นออกจากท่าบ้านแพนเร็วๆ
“กลัวไปได้น่าพี่จืด ถึงจะไล่ตามมาก็ไม่ทันหรอก ป่านนี้อย่างเก่งก็ยังอยู่ที่ผักไห่นั่นแหละ” มารศรีเอ่ยแล้ววางหนังสือลงบนกระเป๋าสานข้างกายก่อนขยับตัวลุกขึ้นยืน
“น้องศรีจะไปไหน”
จืดเงยหน้าขึ้นมองสาวรุ่นน้อง และเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ฉันจะลงไปซื้อขนมมาตุนไว้กินเสียหน่อย ตะกี้ตอนอยู่ผักไห่มัวแต่กังวลเรื่องไอ้พี่แอ๊ะจนลืมซื้อเลย” มารศรีเอี้ยวตัวไปตอบ
“เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้เองก็ได้ น้องศรีอยากกินอะไรล่ะ” จืดกุลีกุจอลุกขึ้น หวังจะบริการลูกสาวนายจ้าง
“ไม่ต้อง พี่นั่งรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันลงไปเลือกซื้อเอง”
มารศรีปฏิเสธแล้วเดินลงบันไดไปยังชั้นล่างช้าๆ กวาดตามองบนท่าน้ำซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดบ้านแพน เห็นผู้คนจำนวนมากกำลังจับจ่ายสินค้ากันอย่างคึกคักสมกับเป็นท่าเรือใหญ่ และเห็นเรือแจวลอยเอื่อยผ่านหางตาก่อนเข้าไปตามตรอกซอกซอย ขณะที่เรือหางยาวติดเครื่องยนต์แล่นปรู๊ด
ปร๊าดรับส่งผู้โดยสารกันขวักไขว่
ลูกสาวอดีตผู้ใหญ่บ้านก้าวขึ้นไปบนท่าเรือแล้วเดินตรงไปดูขนมแผ่นบางบนเตาที่แม่ค้าสาวกำลังละเลงแป้งเป็นวงดูน่ากิน
“พี่สาวจ๊ะ เอาขนมเบื้องให้ฉันสามแผ่นสิจ๊ะ”
มารศรีสั่งพลางล้วงเหรียญบาทออกจากกระเป๋ากางเกง ยืนรอแม่ค้าใส่เครื่องกับน้ำตาลลงในแป้งที่ละเลงอยู่บนเตา เมื่อขนมสุกก็พับแผ่นแป้งเป็นครึ่งวงกลม นำขึ้นจากเตาแล้ววางบนตะแกรง ผึ่งให้เย็นพอสมควรจึงหยิบใส่กระทงใบตองแล้วยื่นให้หญิงสาว
“เท่าไหร่จ๊ะ” คนซื้อเอ่ยถามเมื่อแม่ค้ายื่นของให้
“บาทนึงจ้ะ” แม่ค้าตอบแล้วยื่นมือออกไปรับเหรียญบาทจากมือหญิงสาวมาใส่ตะกร้าที่วางอยู่ตรงหน้า
หลังจากได้ขนมเบื้องที่สั่งเรียบร้อย มารศรีก็ตั้งใจจะไปหาซื้อขนมไทยของโปรดอีกสองสามอย่าง หล่อนหมายตาว่าจะซื้อไปกินกับจืดบนเรือ แต่
จังหวะที่กำลังเบี่ยงตัวจะเดินออกจากร้านขายขนมเบื้องนั้น ชายวัยรุ่นรูปร่างผอมแกร็นคนหนึ่งก็วิ่งผ่านหล่อนไปอย่างเฉียดฉิว แต่คนตัวใหญ่ที่วิ่งไล่ตาม
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)