สุภาพบุรุษกับศิศิรา (นิบบา)
ประหยัด: 108.50 บาท ( 35.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 3 รายการราคา 219.00 บาท - 280.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
ประตูไม้บานใหญ่ถูกนายพุ่มคนสวนกดรีโมตให้เลื่อนออก
เพื่อเปิดทางให้รถยุโรปราคาแพงเคลื่อนเข้ามาในเขตวัง หนุ่มใหญ่หลัง
พวงมาลัยผิวปากเป็นเพลง “Fly me to the moon” อย่างอารมณ์ดี
เขาชอบเพลงนี้…โดยเฉพาะเวอร์ชันของ แฟรงก์ ซินาตรา
เมื่อมองไปเห็นพรมสีชมพูบนผืนหญ้าริมสระบัวที่เกิดจากดอกชมพู-
พันธุ์ทิพย์ร่วงกราวก็ยิ้มด้วยแววตา บรรยากาศภายในรั้ววังยามนี้เขียวชอุ่ม
ชุ่มชื่นไปด้วยร่มเงาของนานาพันธุ์ไม้น้อยใหญ่
หม่อมราชวงศ์สุภาพบุรุษ นฤเคนทร์ ขยับมุมปากน้อยๆ เมื่อเห็นว่า
‘ท่านพ่อ’ ทรงกำลังเล่นกับคุณชาลีผู้มีศักดิ์เป็นหลานลุงของเขาอยู่ที่
นอกชาน ตั้งแต่คุณชาลีย้ายมาอยู่ที่นี่...บริเวณกว้างขวางของวังที่เคยดู
เศร้าๆ เหงาๆ ก็กลับมีชีวิตชีวาจนเกือบจะเรียกว่าเป็นบ้านได้ ติดก็แต่ยัง
ขาดนายผู้หญิงมาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในครอบครัว นอกเสียจากยายแป้น
ต้นเครื่อง และลูกมือสาวๆ อีกสองสามคนแล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่ในรั้ววังราชสีห์
แห่งนี้ก็ล้วนแต่เป็นบุรุษเพศทั้งสิ้น
ราชนิกุลหนุ่มมีรูปร่างที่จัดว่ากระชากใจสาว ด้วยความสูงเกือบ
เมตรแปดสิบ อกหนาบ่าตั้งดูผึ่งผาย กล้ามแขนสวยได้รูปอย่างคน
ออกกำลังสม่ำเสมอ ช่วงตัวและขาที่ยาวสมส่วนกันพอเหมาะพอดี ยังไม่นับ
ใบหน้าหล่อเหลาราวเทวดาปั้นนั่น...คิ้วเข้มดกได้รูปสามเหลี่ยม จมูกโด่ง
เป็นสัน หน้าผากโหนกนูนอย่างคนฉลาด ริมฝีปากหยักสีชมพูอ่อน
โครงหน้าคมสมเป็นชาย และดวงตาวิบวับที่มักกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน
ยามสะท้อนแดดทำให้บางอารมณ์ดูดุขึงขังจริงจังเหมือนตาเหยี่ยว
เป็นที่ประหลาดใจของคนทั่วไปที่ชายผู้เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ
ทรัพย์สมบัติอย่าง ‘คุณชายเสือ’ จะยังครองตัวเป็นโสดจนเข้าสู่วัยสามสิบ
ตอนปลายเช่นนี้ บ้างก็ครหากันไปว่าเขาเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน
ร่างสูงเดินออกจากตัวตำหนักมานอกชานหลังส่งสัมภาระให้นายแบงค์
คนรับใช้คู่ใจช่วยรับไปเก็บ เขายกมือไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม
“ท่านพ่อ”
“สวัสดีครับลุงเฉือ” หม่อมหลวงชาลี นฤเคนทร์ วัยสองขวบเศษ
ผละจากตักปู่ก่อนวิ่งเข้าหาผู้เป็นลุงซึ่งย่อตัวลงอ้าแขนรับหลานไว้ใน
อ้อมกอดได้พอดี ก่อนจะอุ้มแล้วยกขึ้น ‘เล่นเครื่องบิน’ เรียกเสียงหัวเราะ
ชอบใจจากเด็กชายตัวน้อย
“ไงล่ะ...คุณชาลี วันนี้ซนหรือเปล่า” เสียงมีอำนาจถูกปรับให้นุ่มนวล
ลงโดยอัตโนมัติเมื่อ ‘ลุงเสือ’ พูดกับผู้เป็นหลาน
เมื่อเด็กน้อยสั่นศีรษะเสียผมเผ้ากระจาย เขาก็ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะ
วางร่างเล็กคืนลงบนตักหม่อมเจ้าสิงหบดินทร์หรือนามลำลองว่า ‘ท่านสิงห์’
ตามเดิม แล้วใช้มือลูบศีรษะทุยๆ นั่นสองสามที
“หม่อมว่าเราน่าจะจัดการเรื่องนั้นให้เรียบร้อยก่อนชาลีเข้าโรงเรียน”
เขาทูลเจ้าของวังที่กำลังทอดเนตรโทรทัศน์อยู่ตรงชุดโซฟาสีเหลือง
อ่อนตัดกับผนังห้องสีน้ำเงินเข้มที่เพนต์เป็นลายปลาคาร์ปสีส้มสลับขาวดำ
อย่างวิจิตร ให้บรรยากาศของห้องนั่งเล่นที่หรูหราแต่ก็แปลกใหม่ทันสมัยอยู่ในที
หม่อมเจ้าสิงหบดินทร์ทรงชะงักไปก่อนจะหันพักตร์มาจ้องตาโอรส
อย่างค้นหา ทรงแย้มโอษฐ์กว้างเมื่อพบแต่ความจริงจังตั้งใจแรงกล้าในแววตานั้น
“หลานหม่อมทั้งคนน่าท่านพ่อ แล้วพูดก็พูดเถอะ...ลูกไอ้สิงโต
ก็เหมือนลูกหม่อม หม่อมเห็นมาตั้งแต่เกิด ถึงชาลีจะเป็นแค่หลาน แล้ว
หม่อมก็ไม่เคยเป็นพ่อคนกับใครเขา แต่หม่อมก็ทั้งรักทั้งเอ็นดูแกไม่ต่างกับลูก”
“แบบนี้วิญญาณสิงโตก็คงหมดห่วง ถ้าแกแน่ใจแล้ว อย่างอื่นมัน
ไม่มีปัญหาหรอก...พรุ่งนี้พ่อจะโทรศัพท์ถึงทนายพิพัฒน์แต่เช้าให้เขาช่วยทำเอกสาร”
“โอเค อย่างนั้นหม่อมขึ้นข้างบนก่อนนะ...กูดไนต์ท่านพ่อ อย่าทมดึกเลย”
“เออ! ไปเถอะ เดี๋ยวพ่อจิบหมดนี่ก็จะไป” ทรงชูแก้วจุของเหลว
สีอำพันพลางแย้มสรวล “พ่อภูมิใจในตัวแกมาก...ไอ้เสือ”
หนุ่มใหญ่หยุดเดินแล้วหมุนตัวกลับมากอดบิดาพลางซบหน้าลง
บนอังสาเหมือนเด็กๆ หม่อมเจ้าสิงหบดินทร์ทรงยกหัตถ์ขึ้นลูบศีรษะโอรสด้วยความรักใคร่
“แก่แล้วยังอ้อนพ่ออีกนะเอ็ง”
คุณชายสุภาพบุรุษยิ้มน้อยๆ พร้อมกับที่นัยน์ตาเหยี่ยวส่องประกายแวววับ
‘ไม่ต้องห่วงหรอกไอ้สิงโต ฉันจะเลี้ยงคุณชาลีอย่างดี จะรักให้เหมือนเป็นลูกฉันเอง’
เป็นเวลาเกือบปีแล้วที่บรรยากาศในวังราชสีห์อบอวลไปด้วยความ
เศร้าสลด นับจากโศกนาฏกรรมหิมะถล่มที่ญี่ปุ่นได้คร่าชีวิตหม่อมราชวงศ์
ชายชาตรีหรือคุณชายสิงโตพร้อมกับรมิดาผู้เป็นภรรยาไปอย่างไม่มีใคร
คาดคิด ทำให้คุณชาลีต้องกลายเป็นกำพร้าชั่วข้ามคืน เคราะห์ยังดีที่มีท่านปู่
กับลุงคอยให้ความรักความอบอุ่น อีกทั้งญาติฝ่ายแม่ที่แวะเวียนมาหา
มาเยี่ยมเด็กชายอยู่บ้าง
คุณชายเสือตั้งใจจะรับคุณชาลีเป็นลูกตั้งแต่วินาทีที่ได้ทราบข่าว
ร้ายว่าหลานต้องกลายเป็นกำพร้า นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาพอจะทำให้
น้องชายได้ วิญญาณของคุณชายสิงโตกับรมิดาคงหมดห่วงและไปสบาย
หนุ่มใหญ่เชื่ออย่างนั้น
เตียงนอนเด็กถูกนำมาวางข้างเตียงคิงไซซ์ของเจ้าของห้อง ผ้าปูที่นอน
กับปลอกหมอนสีขาวล้วนเช่นเดียวกันกับเตียงใหญ่ทำให้ดูคล้ายย่อส่วน
กันลงมา...แต่ร่างของคุณชาลีบัดนี้กลับนอนขดอยู่บนที่นอนของผู้เป็นลุง
ทั้งที่เมื่อค่ำถูกกล่อมให้หลับไปบนเตียงเล็กของตัวเองแท้ๆ
“นอนละเมอเหมือนสิงโตตอนเด็กๆ เลย” หนุ่มใหญ่ยิ้มขันกับภาพ
ที่เห็นก่อนเตรียมจะอุ้มหลานชายกลับไปวางที่เตียงเด็ก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
...ทรุดตัวลงนอนข้างๆ กันแล้วเอื้อมมือไปดับไฟหัวเตียง
“มาเป็นลูกลุงนะชาลี” เขาเอ่ยขึ้นกับเด็กชายที่หลับปุ๋ยไปแล้ว
คุณชาลีพลิกตัวราวกับได้ยินแล้วเขยิบเข้าหาผู้เป็นลุงด้วยโหยหา
ไออุ่น อ้อมแขนแข็งแรงจึงโอบกระชับร่างนั้นมาไว้แนบอกอย่างเอ็นดู
“ชาลี...ชาลี...ตื่นได้แล้ว” เสียงทุ้มของคุณชายเสือปลุกให้เด็กชาย
ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย แต่แล้วก็ยิ้มร่าเมื่อเห็นว่าเช้าวันนี้คุณลุงยังไม่ออกไปทำงาน
“ไหนเรียกลุงเสือว่าพ่อซิลูก”
เพลง “Fly me to the moon” ที่เจ้าของโทรศัพท์ได้ตั้งไว้เป็นเสียง
ปลุกดังมาจากโต๊ะเครื่องแป้ง ใบหน้ารูปไข่ขาวอมชมพูยับยู่ยี่อย่างขัดใจ
ก่อนที่ผ้าห่มหนาจะถูกเลิกออกลวกๆ
ศิศิราฝืนใจลืมตา...นอนจ้องเพดานรวบรวมพลังอยู่สักครู่แล้วจึง
ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ
เพนต์เฮาส์หรูที่ถูกตกแต่งอย่างทันสมัยคือที่ที่ศิศิราเรียกเต็มปาก
ว่าบ้าน...หญิงสาวใช้เงินที่ลำบากหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองซื้อมัน
เช่นเดียวกับรถมินิคูเปอร์สีดำคันนั้น ต้องขอบคุณชาติศิริผู้เป็นบิดาที่ใจดี
ปล่อยเงินก้อนโตให้กู้มาลงทุนในอัตราศูนย์เปอร์เซ็นต์ดอกเบี้ย...จนมี
วันนี้ที่กิจการทุกอย่างกำลังผลิดอกออกผลงดงาม
ด้วยวัยยี่สิบแปดปี เธอจัดว่าเป็นผู้หญิงเก่งชนิดหาตัวจับยาก
หลังจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนอันดับต้นๆ ของไทย ศิศิราก็ได้ปริญญาตรี
จากไต้หวันและปริญญาโทจากอังกฤษ...กลับบ้านมาทำงานหาประสบการณ์
อยู่ในบริษัทใหญ่มีชื่อเสียงได้ราวปีเศษแล้วจึงตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจ
หลายอย่าง โดยเริ่มจากเล็กๆ ไปหาใหญ่ตามความชำนาญที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน
กิจการที่หญิงสาวบริหารอยู่มีด้วยกันสี่อย่าง...ร้านกาแฟ ห้องอาหาร
ร้านขายของแต่งบ้าน และโรงเรียนสอนภาษาจีน เธอสนุกกับการสร้าง
ทุกอย่างขึ้นจากศูนย์ ทำงานคนเดียว เป็นนายตัวเอง ทุ่มเทแรงกายแรงใจ
เพื่อจะได้ดื่มด่ำกับผลสำเร็จอันน่าภาคภูมิ
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วจึงพาร่างเล็กมานั่งทาครีมบำรุงผิวอยู่หน้า
กระจก ก่อนจะเขียนคิ้ว ปัดขนตา และทาปากง่ายๆ ตามปกติของ
วันทำงาน ศิศิราอยู่ในเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีครีมกับกางเกงขาลีบสีอิฐ เมื่อคว้า
ต่างหูมุกขึ้นใส่ได้แล้วจึงฉวยเอากระเป๋าสะพายเดินออกจากห้องนอน
มาชงชา เปิดคอมพิวเตอร์เริ่มเช็กอีเมล
“ไอ้วุฒินี่...ไหนดูซิ” เธอพึมพำพลางเอื้อมมือไปเคลื่อนเมาส์
ซีซี พี่ที่รู้จักบอกให้ช่วยหาคนช่วยจัดงานเจ๋งๆ ปาร์ตี้ในสวน ลูกค้า
เป็นไฮโซ แกจะรับไหมขอรับ...อย่างไรตอบ
"เออ รู้จักทำประโยชน์เหมือนกันนะไอ้นี่” หญิงสาวอมยิ้มพลาง
พรมนิ้วลงบนแป้นพิมพ์อย่างไม่ต้องคิดให้วุ่นวาย
ไฮโซเลยเหรอวะ แต่โอเคอะ ตกลง แหม...อุตส่าห์หาลูกค้ามา
เดี๋ยวแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้
ฮ่าๆ ไม่ต้องหรอก เลี้ยงข้าวก็พอ
เออ โปรดจะเสวยอะไรเชิญรับสั่ง ส่งเบอร์มาอีกทีละกันนะ แต๊งกิ้วมาก
ศิศิรายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบด้วยใบหน้าระบายยิ้มเมื่อมีอันจะได้รับ
ทรัพย์ต้อนรับวันใหม่...จู่ๆ เงินทองก็ไหลมาเทมาหาเอง อย่างนี้ค่อยรู้สึก
มีกำลังใจในการทำงาน
หญิงสาวเริ่มต้นด้วยโรงเรียนสอนภาษาซึ่งเป็นงานเบาที่สุด เธอ
เติมเงินใส่บัญชีเงินสดย่อยสำหรับใช้จ่ายภายในโรงเรียนและตรวจดูบันทึก
การเข้าสอนของอาจารย์ชาวจีนกับแผนการสอนสำหรับสัปดาห์ถัดไป
หลังจากใช้เวลาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยอยู่ราวสองชั่วโมงเศษ ศิศิรา
ก็กำชับลูกน้องให้ตั้งใจทำงานแล้วขับรถกลับเข้าไปที่บ้าน
แม้จะย้ายออกจากบ้านมาอยู่เพนต์เฮาส์บนคอนโดฯ หรูได้ปีเศษ
แล้ว แต่เธอก็กลับเข้าบ้านไปกินมื้อกลางวันกับบุพการีไม่เคยขาด หญิงสาว
มักสำรวจความเรียบร้อยในบ้าน คอยจัดหาข้าวของเครื่องใช้เข้าไปให้ ส่วน
ณช...น้องชายที่มีอาชีพเป็นนักออกแบบนั้น กว่าจะตื่นนอนก็ในตอนบ่าย
เขาจึงรับหน้าที่ดูแลพ่อและแม่ในช่วงเย็นจนสองท่านเข้านอนเรียบร้อยจึง
เริ่มนั่งคิดงานหน้าคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
“พ่อหวัดดี แม่หวัดดีค่ะ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ทั้งถุงบรรจุอาหาร
พะรุงพะรังก่อนจะมองหาแนน เด็กที่ณชจ้างมาทำงานบ้าน และดูแลพ่อแม่
ยามที่พี่สาวยังไม่เข้ามาและตัวเขาเองยังไม่ตื่น
ฝ่ายนั้นเดินมาสวัสดีก่อนจะรับถุงทั้งหลายไปอย่างรู้งาน
“เช้านี้โชคดีมาก ซีซีตื่นมาก็ได้งานเองเลย” ศิศิรากล่าวเสียงเจื้อยแจ้ว
หลังจากนั่งลงตรงกลางโซฟาซึ่งขนาบด้วยบิดามารดา
“ดีลูก...งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” ผู้เป็นแม่พูดอย่างอารมณ์ดี
ดวงตากลมโตกับแก้มยุ้ยๆ นั่นทำให้คุณนายศศิดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงอยู่ไม่น้อย
“ไอ้วุฒิหามาให้น่ะค่ะ เห็นว่าลูกค้าเป็นไฮโซที่อยากจะจัดปาร์ตี้ในสวน”
“ไฮโซเลยเหรอ แหม...ไม่เบาเว้ย” คราวนี้คุณชาติศิริเป็นฝ่ายพูด
ขึ้นบ้าง “แต่ระวังนา...พวกไฮโซนี่แหละตัวเรื่องมากเลย อย่าเผลอไปหงุดหงิดใส่เขาล่ะ”
คนเป็นลูกสาวได้แต่ยิ้มแหย ที่บิดารู้ทันความเป็นคนจุดเดือดต่ำของเธอ
มื้อกลางวันที่ศิศิราแวะไปรับหลังโทร.สั่งล่วงหน้าจากกุ๊กชอปชื่อดัง
สมัยพ่อกับแม่เพิ่งจีบกันใหม่ๆ หมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ทั้งซี่โครงหมูอบ
ปูจ๋า ไข่ดาวทรงเครื่อง กะหล่ำปลียัดไส้ และแกงกะหรี่ไก่จิ้มขนมปังเนื้อนุ่ม
หญิงสาวมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นบุพการีมีความสุขกับการกิน เหมือน
กับชีวิตวัยเด็กของเธอและน้องที่ได้กินแต่ของอร่อย เพราะมีพ่อกับแม่
คอยสรรหามาให้ตลอด
“ว่าไงแก”
วุฒิโทร. เข้ามาในตอนที่สามคนพ่อแม่ลูกกำลังนั่งเอนหลังดูข่าว
ช่องบีบีซี
“เออ พี่เขาบอกว่าลูกค้าอยากให้แกไปคุยงานที่บ้าน ด่วนนิดนึงว่ะ
เขาใจร้อน อยากคุยเย็นนี้เลย...ได้ไหมวะ เดี๋ยวส่งเบอร์ไปให้ แกลุยเองแล้ว
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
ความโสดที่เพียรรักษามาตลอดสามสิบเจ็ดปี จู่ๆ ก็ทำท่าว่าจะหลุดลอยไป เมื่อวันหนึ่งราชนิกุลหนุ่มใหญ่ผู้เพียบพร้อมอย่างหม่อมราชวงศ์สุภาพบุรุษ นฤเคนทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีดีกรีหนุ่มคลีโอ เจ้าของฉายา...คุณชายเสือสี่ยก ได้มาพบกับ ศิศิรา ผู้หญิงเก่ง เจ้าของหน้าตาจิ้มลิ้มที่สะกดสายตา (และหัวใจ) ของเขาไว้นับตั้งแต่วันแรกเจอแม้ต่างคนต่างก็ดีพอและพอดีสำหรับกันและกัน แต่กว่าจะลงเอยได้นั้นมันก็ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะต้องผ่านเรื่องราวความรัก อบอุ่นละมุนละไม ที่เจือด้วยเสียงหัวเราะตลอดการฝ่าฟันอุปสรรค
รีวิว (1)

30/12/2014
สุภาพบุรุษกับศิศิรา ผู้เขียน นิบบา ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ พิมพ์คำ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ นักเขียนก็ใหม่ด้วย (เพราะเราเพิ่งเคยอ่าน ฮ่าๆๆๆ) เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านได้เรื่อยๆ เพลินๆ พล็อตเรื่องเป็นอะไรที่หวานๆ น่ารักๆ ตัวละครในเรื่องก็น่ารัก น่าติดตามทุกตัวละครเลย โดยเฉพาะพระเอกนางเอกของเรื่อง เรื่องนี้จะบอกว่าเป็นแนวโคแก่กินหญ้าอ่อนคะ แต่พระเอกน่ารักมาก (แม้ว่าอายุจะเยอะแล้วก็ตาม) เราว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องประมาณรักแรกพบของพระเอกมากกว่า เพราะพอพระเอกเจอน่าเอกก็รักเลยชอบเลย ก็เลยเข้าทางเพื่อนซึ่งทำงานที่เดียวกับนางเอก ส่วนนางเอกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพระเอกที แบบประมาณว่าเพื่อนของรุ่นพี่ ก็แบบนับถือว่าเป็นพี่อะไรประมารนี้ แต่ถ้าอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วนางเอกจะรักพระเอกได้ไหม แล้วจะรักกันตอนไหน ต้องมาลองอ่านกันดู เราว่าเรื่องนี้อ่านเพลิน เนื้อเรื่องน่ารักดี แม้ว่าพระเอกจะอายุมากแล้วแต่บทจะหวานก็หวานได้น่ารักมาก ขี้อ้อนด้วย นอกจากนี้ภายในเรื่องยังสื่อให้เห็นถึงมิตรภาพระหว่างเพื่อนอีกด้วย อ่านแล้วนึกถึงบรรยากาศสมัยเรียนที่พอใครมีแฟนหรือโดนจีบเพื่อนในกลุ่มก็มักจะแซวหรือไม่ก็คอยแกล้ง คอนขวาง ขัดคอไปเรื่อย คู่ไหนที่ทนได้ก็ได้เป็นเพื่อนกันทั้งกลุ่ม ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องเลือกระหว่างเพื่อนกันแฟนว่าจะเลือกใคร เราว่าอ่านแล้วรู้สึกเลยว่าการมีเพื่อนที่ดีถือว่าเราโชคดีมากๆ เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่ชอบ อ่านได้สบายมากแปบเดียวจบเอาเป็นว่าแล้วว่างๆเราจะหยิบมาอ่านอีก