กาลเวลา สงคราม ความรัก ๑ ตอนนักรบแห่งมาซิดอน

กาลเวลา สงคราม ความรัก ๑ ตอนนักรบแห่งมาซิดอน

3 รีวิว  3 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789748102641
ผู้แต่ง: ณารา
ของหมดถาวร (ต้องการสินค้า)
ราคา: 260.00 บาท 65.00 บาท
ประหยัด: 195.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ปฐมบท

ฤดูใบไม้ผลิ ปี ๓๒๗ ก่อนคริสตกาล

ท่ามกลางกองหินระเกะระกะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจับตัวเป็นชั้นบาง ๆ สี ขาวโพลนที่ยังหลงเหลืออยู่เมื่ออากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น บนยอดเขาสูงของเทือกเขา ฮินดูกูซ ชายห้าคนในชุดผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อหยาบ ซึ่งบัดนี้ขะมุกขะมอมด้วยคราบฝุ่น กำลังหมอบกราบลงเบื้องหน้ากองไฟและแท่นหินขนาดใหญ่ เสียงสวดคัมภีร์ อเวสตะสูงตํ่าพลิ้วไหว สะท้อนไปตามกองหินใหญ่เล็ก สายลมบนยอดเขาสูงในยามราตรีเริ่มแรงขึ้น โอบไล้ไปตามก้อนหิน ส่งเสียงหวีดหวิว เยือกเย็น คละเคล้าไปกับเสียงสวดสรรเสริญเทพอะหุรา มาซดา เทพแห่งความดี พระผู้สร้างดวงตะวัน จันทรา หมู่ดวงดาราและสรรพสัตว์ทั้งหลายบนพื้นพิภพ

พวกเขาได้นำเครื่องสักการะ และแสงประทีปมาบูชาพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือเทพเจ้าทั้งมวล เพื่อขอพรให้พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองช็อกเดียนา ให้รอดพ้นจากการรุกรานของกองทัพอันเกรียงไกร ซึ่งนำโดยจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีพระนามว่า ‘พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ แห่งมาซิดอน’

 

คัมภีร์ทางศาสนาของศาสนาโซโรอัสเตอร์ หรือศาสนาบูชาไฟ ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ที่สุดศาสนาหนึ่ง ที่นับถือในจักรวรรดิเปอร์เซียก่อนที่จะถูกพระเจ้าอเล็กชานเดอร์มหาราชบังคับให้นับถือเทพเจ้ากรีก

 

พระเจ้าออกซ์ยาเตส เจ้าผู้ครองเมืองแบกเตรียได้อพยพครอบครัวขึ้นมายังปราการบนเขาสูงแห่งช็อกเดียนา เพื่อหวังประวิงเวลาให้กองทัพจำนวนเจ็ดหมื่นห้าพันคนของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์เหนื่อยล้าเพราะขาดแคลนนํ้าและยอมล่าทัพกลับไป

แผนของพระเจ้าออกซ์ยาเตสนั้นดูเหมือนจะได้ผล กองทัพมหึมาเริ่มอ่อนแรงลง ไม่สามารถเดินผ่านเส้นทางเล็กแคบ และสูงชันมาถึงป้อมปราการแห่งนี้ จึงตั้งค่ายอยู่แค่เชิงเขา และไม่มีการเคลื่อนทัพใดๆ มาหลายวันแล้ว

ท่านเจ้าเมืองร้อนใจรีบส่งนักบวชทั้งห้าขึ้นมาจุดไฟบวงสรวง เทพเจ้าอะหุรา มาซดา เพื่อให้แคล้วคลาดจากการโจมตีในครั้งนี้

หากมองผาด ๆ กองหินน้อยใหญ่บนยอดเขาเล็ก ๆ ใกล้ป้อมปราการแห่งนี้ดูแล้วช่างกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบเต็มลานกว้าง รอบแท่นหินขนาดใหญ่ ทว่ามีเพียงนักบวชชั้นสูงของเมืองนี้เท่านั้นที่รู้ว่า ก้อนหินแต่ละก้อน กองหินแต่ละกองนั้น เต็มไปด้วยความหมาย หากแม้ก้อนหินขยับไปเพียงก้อนเดียว การบูชาเทพเจ้าเบื้องบนก็จะไม่มีทางสัมฤทธิผล

ด้วยกองหินแห่งนี้ หาได้ถูกธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาไม่ !

แม้เป็นที่รู้กันดีว่าช็อกเดิยนานั้นเป็นเมืองที่อยู่บนภูเขาสูง ซึ่งแวดล้อมไปด้วยกองหินมากมายในเทือกเขาสลับซับซ้อน แต่มีเพียงลานหินแห่งนี้เท่านั้น ที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กับการก่อสร้างเมือง

นักบวชที่อพยพขึ้นมาตั้งถิ่นฐานพร้อมกับชาวเมือง ได้มีนิมิตจากเทพเจ้า อะหุรา มาซดา ให้สร้างลานหินเพื่อสักการบูชาพระองค์ และในนิมิตนั้นได้บอกตำแหน่งจัดวางตามกลุ่มหมู่ดาวสิบสองกลุ่มซึ่งพระอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่านในแต่ละเดือน โดยมีโลกเป็นศูนย์กลางกลุ่มดวงดาวทั้งหมด

และการบูชานั้นจะสัมฤทธิผล ก็ต่อเมื่อดวงดาวทุกดวงบนฟากฟ้านั้นอยู่ตรงกับตำแหน่งของก้อนหินทุกก้อนบนพื้นราบเท่านั้น และในคืนอันศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าจะทรงรับเครื่องสังเวย และอำนวยพรให้กับผู้ขอ ไม่ว่าขอสิ่งใด ก็จะสัมฤทธิผลทุกประการ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน นักบวชนั้นได้นับวันตามปฏิทินของโซโรอัสเตอร์แล้วพบว่า คํ่าคืนนี้ท้องฟ้าเหนือเมืองช็อกเดิยนา จะแจ่มกระจ่างมองเห็นมวลหมู่ดาวชัดเจนแล้วในเวลาใกล้เที่ยงคืน ดวงดาวใหญ่น้อยในจักรราศีนั้นค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่ตำแหน่งตรงกับตำแหน่งของกองหิน เพื่อเปิดประตูระหว่างพิภพและสวรรค์ เทพเจ้าอะหุรา มาซดา จะเสด็จลงมารับฟังคำขอของพวกเขา

ทว่าในคืนนั้น นอกเหนือจากหมู่ดาวแล้ว ยังมีพระจันทร์เต็มดวง เปล่งรัศมีทรงกลดกลางฟากฟ้า บดบังแสงระยิบระยับจากดวงดาวเล็กใหญ่ให้อ่อนแสงลงอย่างน่าใจหาย

นักบวชทั้งห้ายังคงหมกมุ่นอยู่กับการอ่านบทสวดตามพระคัมภีร์ โดยไม่สนใจลมที่เริ่มกรรโชกแรง แล้วจู่ๆ ก็มีเงาเสี้ยวหนึ่งค่อยๆ กลืนพระจันทร์เข้าไปทีละนิด ทีละนิด ท้องฟ้าที่เคยกระจ่างใส บัดนี้มีก้อนเมฆทะมึนค่อย ๆ เคลื่อนมาบดบังดวงดาวไปจนหมด มองเห็นแต่ดวงจันทร์กลมโตนั้นถูกเงาดำกลืนไปหมดทั้งดวง

ทันทีที่ดวงจันทราดับแสงไป กลุ่มเมฆดำก็ลอยตํ่าปกคลุมเหนือลานกว้างแห่งนั้นทั้งๆ ที่ไม่กี่อึดใจที่ผ่านมานั้นไม่มีเค้าของพายุฝนมาก่อนเลย

นักบวชทั้งหลายหยุดสวด เงยหน้าขึ้นมองความวิปริตของธรรมชาติด้วยความตกใจ หวั่นเกรงเหลือเกินว่าเทพเจ้าอะหุรา มาซดา จะไม่อำนวยพร มีหนำซํ้าอาจทรงพิโรธเสียอีก พวกเขายกมือขึ้นเหนือศีรษะ เริ่มสวดอ้อนวอนอีกครั้ง เร็วขึ้นและดังขึ้น แข่งกับเสียงลมที่กรรโชกอื้ออึง เปลวไฟที่จุดบูชาพระองค์ลุกโชนจนแทบจะแตะก้อนเมฆสีดำทะมึน ที่มีประกายไฟแล่นแปลบปลาบอยู่ข้างใน

ทันใดนั้น อสนีบาตก็ฟาดลงมากลางกองไฟ ส่งเสียงดังกึกก้องราวกับพสุธากัมปนาท เปลวไฟลุกโชนขึ้นสูงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดับมอดลง เพราะห่าฝนที่เทกระหน่ำลงมา

แรงจากสายฟ้าทำให้นักบวชทั้งห้ากระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศละทาง ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งแล้วโขกศีรษะคำนับลงกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว รู้แน่ว่าเทพเจ้ากำลังพิโรธ และไม่มีทางใดเลยที่ช็อกเดียนา จะหลุดรอดจากเงื้อมมือของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไปได้แน่ !

มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๔

ประตูผ้าของกระโจมขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นห้องทำงานชั่วคราวของคณะนัก โบราณคดีถูกเปิดออก ชายร่างสูงใหญ่ในชุดซาฟารีรุดเข้ามาพร้อมกับก้อนหิน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณแปดนิ้วในมือ ก่อนจะวางหินก้อนนั้นลงกลางโต๊ะ สี่เหลี่ยมซึ่งนักวิชาการอีกสองท่านกำลังใช้แว่นขยายก้มหน้าก้มตามองก้อนหินขนาดใกล้เคียงกันในมือของตัวเองอยู่

ภายในกระโจมแห่งนั้นมีอุปกรณ์ทันสมัยครบครันเท่าที่จะจัดหาได้ในถิ่น ทุรกันดารแห่งนี้ ด้านหนึ่งนั้นเป็นตู้เหล็กที่ตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ส่งสัญญาณวิทยุ และเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมจัดวางอย่างเป็นระเบียบ

อีกด้านหนึ่งนั้นได้จัดวางเครื่องดื่มชนิดต่างๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ของคณะตรง กลางเต็นท์นั้นเป็นโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ซึ่งมีหินหลายก้อนวางอยู่ และมีกระดาษโน้ตแปะติดเต็มไปหมด รวมไปถึงภาพถ่ายทางดาวเทียมนับสิบ ๆ รูปวางกระจัดกระจาย แต่ละใบมีปากกาสีแดงกากบาทตำแหน่งของก้อนหินที่หยิบมา

ทันทีที่หินถูกวางลงบนโต๊ะไม้ ทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นมองชายร่างสูงศาสตราจารย์ดอกเตอร์ราจีฟ ชายชราวัยหกสิบห้าปีชาวอินเดีย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอารยธรรมกรีกจากมหาวิทยาลัยบอมเบย์ ดันแว่นตาหนาเตอะขึ้นบนจมูก เอ่ย

ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า

“เจออีกแล้วหรือครับดอกเตอร์”

'‘ครับ ก้อนนี้มีตัวอักษรแกะไว้ชัดเจนกว่าก้อนอื่น” ชายร่างสูงซึ่งมีนามว่า ดอกเตอร์ธีโอดอร์ตอบ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ กระตือรือร้นพลิกก้อนหินให้เพื่อนร่วมงานดู

“นี่ครับ มันเป็นหมายเลข และตัวอักษรตัวนี้ คล้ายกับเป็นชื่ออะไรสักอย่างมันบอกชื่อและหมายเลข เหมือนบอกตำแหน่งสักอย่าง”

“อืม” ศาสตราจารย์ราจีฟรับก้อนหินมาดู เพื่อนร่วมงานหญิงวัยใกล้เคียงกันนามว่าดอกเตอร์ทารา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาเปอร์เซียและอรามาอิก จากมหาวิทยาลัยเดียวกับราจีฟก็ชะโงกหน้าเข้าไปดูตัวอักษรแกะสลักที่ค่อนข้างจางลงไปตามกาลเวลาบนก้อนหินพร้อมกัน

“ก้อนนี้จะชัดกว่าก้อนอื่นนะ” ทาราออกความเห็น “ที่เจอสิบกว่าก้อน ส่วน ใหญ่เหมือนรอยขีด ๆ ไม่บอกอะไร”

“ใช่ครับ นี่คนงานของเขา บุกเข้าไปถึงด้านในสุดใกล้หน้าผา ตรงส่วนนั้นคงจะรอดพ้นจากแดด ลม และฝนพอสมควร จึงยังเหลือร่องรอยอยู่บ้าง” ธีโอดอร์ อธิบาย เขาและคณะลูกหาบเดินลึกเข้าไปไกลเกือบสุดหน้าผาหินที่ตั้งสูงตระหง่านเหนือกองหินเหล่านี้

เขาและคณะแสดงเจตจำนงจะมาศึกษากองหินประหลาดบนยอดเขาฮินดูกูซ เพราะเชื่อว่าตำแหน่งนี้อยู่ใกล้กับป้อมปราการช็อกเดียนาในอดีตตามความคาดการณ์ของเขา ซึ่งได้ค้นคว้าจากบันทึกของนักโบราณคดีชาวกรีกและเปอร์เชียหลายคน ทว่าแต่ละคนก็บอกตำแหน่งแตกต่างกันไป ตำแหน่งของเมืองเปลี่ยนไปในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งแทบจะหาตำแหน่งที่แท้จริงในสมัยสมเด็จพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชไม่ได้เลย

ดังนั้นเขาจึงทำการค้นคว้าอย่างหนัก และก็ได้ข้อสรุปที่คล้ายคลึงกับนัก โบราณคดีสมัยใหม่อีกหลายคน ลงความเห็นว่าขอบเขตของช็อกเดียนาอยู่ระหว่างรอยต่อระหว่างพรมแดนของประเทศอัฟกานิสถาน เติร์กเมนิลถาน และอุซเบ

 

ภาษาอรามาอิก (Aramaic) เป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารในการปกครองของอาณาจักรเปอร์เชียอันกว้างไกล ซึ่งประกอบด้วยชนหลายชาติหลายภาษา ใช้ตลอดทั่วอาณาจักรเปอร์เซีย ขณะที่ ภาษาเปอร์เชียนั้นใช้เฉพาะกลุ่มเปอร์เชียเท่านั้น

กิสถานในปัจจุบัน และตำแหน่งของปราการนั้นถูกตั้งสมมุติฐานว่าตั้งอยู่บนหนึ่งในเทือกเขาสูงที่มีอยู่มากมายในจังหวัดซามาร์คานด์ในอุซเบกิสถาน และเขาเชื่อเหลือเกินว่า ป้อมปราการช็อกเดียนาในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์นั้น ตั้งอยู่ใกล้กองหินแห่งนี้อย่างแน่นอน

คณะของเขาประกอบไปด้วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังสามคน และผู้ช่วยของศาสตราจารย์แต่ละท่านอีกสามคน ช่างเทคนิคที่ต้องดูแลอุปกรณ์สัญญาณดาวเทียมและระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการสำรวจ นอกจากนั้นก็เป็นลูกหาบอีกห้าคน ซึ่งเป็นชาวอัฟกานิสถาน มีหน้าที่ดูแลข้าวปลาอาหารของคณะรวมไปถึงทำงานทุกอย่างตามคำสั่ง

ดอกเตอร์ธีโอดอร์นั้น เป็นหัวหน้าคณะนักโบราณคดีกลุ่มนี้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญอารยธรรมกรีกโบราณ เช่นเดียวกับราจีฟ พวกเขาได้รับเงินช่วยเหลือในการสำรวจจากมูลนิธิอนุรักษ์วัฒนธรรมโบราณของอเมริกาตั้งแต่ปลายปีก่อน แทบจะทันทีหลังจากเขาประกาศโครงการค้นหาป้อมปราการช็อกเดียนา ผ่านรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับอารยธรรมกรีกหลายรายการ

เนื่องด้วยเขาเป็นถึงที่ปรึกษาคนสำคัญให้กับพิพิธภัณฑ์ในประเทศกรีซ ในการรวบรวมพระราชประวัติของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช และจัดทำหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลกออกมาเปิดเผยแก่สาธารณชน ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมกรีกโบราณมากที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน

ด้วยชื่อเสียงและประวัติการทำงานอันยอดเยี่ยมนี้เอง ที่ทำให้องค์กรแห่งนี้ ติดต่อขอสนับสนุนโครงการของเขา และอนุญาตให้เขาเลือกทีมของเขาเอง แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องให้โรเจอร์ คริสเตียนเซน ตัวแทนจากมูลนิธิร่วมคณะมาด้วย โดยอ้างว่าเพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้กับคณะนักโบราณคดี แต่ธีโอดอร์ทราบดีว่าโรเจอร์นั้นทำหน้าที่นอกเหนือจากคอยอำนวยความสะดวกมากนัก ที่สำคัญ คงจะคอยรายงานต่อสำนักงานใหญ่ เกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการ ด้วยกลัวพวกเขาจะถลุงเงินเล่นไปเปล่าๆ ปลี้ๆ

เมื่อได้รับอนุญาตให้เลือกลูกทีมเอง เขาจึงเลือกคณาจารย์ที่เคยทำงานด้วยกัน เพราะมั่นใจในความสามารถของพวกเขา อีกทั้งเคยทำงานร่วมกันมาหลายครั้งจึงทำงานเข้ากันเป็นอย่างดี

หลังจากรวบรวมบุคลากรเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็ออกเดินทางมาถึงเมืองซามาร์คานด์ ตั้งแต่สี่อาทิตย์ก่อน หลังจากลูกทีมได้พักผ่อนและหาซื้อของใช้ส่วนตัว เพื่อเตรียมตัวรับมือกับความลำบากเรียบร้อยแล้ว โรเจอร์ก็พาพวกเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาลงที่บนยอดเขาแห่งนี้ ที่ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึงเกือบสองพันฟุต ซึ่งลานกว้างนี้มีความกว้างเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสองร้อยเมตรบนเขาสูงที่ ลาดชันเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้านหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับหน้าผาสูง ซึ่งการคมนาคมนั้นยากลำบากเนื่องจากมีเพียงเส้นทางเดินเท้าทางด้านหลังเขา แต่ไม่มีถนนขึ้นมาถึงยอดเขาทุรกันดารแห่งนี้

และทันทีที่มาถึงคณะนักสำรวจก็สามารถลงมือทำงานได้ทันทีเมื่อทาง มูลนิธิได้ส่งเจ้าหน้าที่มาจัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างไว้รอท่าแล้ว

“อาจารย์คะ เราพบอะไรบางอย่างตรงหินก้อนใหญ่ปลายด้านโน้นค่ะ” หญิง สาวคนหนึ่ง เปิดประตูกระโจม ใบหน้าของเธอแดงกํ่า ลมหายใจหอบกระชั้นด้วยวิ่งมาตลอดทาง แต่เธอไม่ยอมพักหายใจหายคอ รีบรายงานสิ่งที่พบทันที

ธิโอดอร์แบ่งทีมสำรวจออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีเขาเป็นผู้นำ และมีมาธวี ลูกศิษย์สาวเป็นผู้ช่วย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นนำโดยสิราจ ลูกศิษย์คนโปรดของดอกเตอร์ราจีฟ และวารัน เลขานุการของดอกเตอร์ทาราและลูกหาบซึ่งเป็นคนท้องถิ่น อีกทีมละสองคน

ส่วนราจีฟและทารานั้น มีวัยค่อนข้างสูงแล้ว ส่วนใหญ่จึงนั่งบันทึกข้อมูลอยู่แต่ภายในกระโจมปรับอากาศไม่ต้องออกไปตากอากาศหนาวเย็นภายนอก เพราะถึงแม้จะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศบนยอดเขายังคงหนาวเย็น ยังมีหิมะปกคลุมกองหินประปราย ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องออกไปดูงานในสถานที่จริง ก็ออกไปเพียงไม่นานแล้วกลับเข้ามาด้วยข้อจำกัดในเรื่องสุขภาพ

ส่วนเขานั้นอยู่ในวัยกลางห้าสิบ และออกกำลังกายเป็นประจำ จึงแข็งแกร่งพอที่จะตะลุยลงพื้นที่ได้ทั้งวัน จึงไม่เดือดร้อนที่จะต้องเดินไปไกล ๆ พร้อม ๆ กับลูกทีม ซึ่งกำลังทำงานอยู่อีกด้านหนึ่งของลานหิน

และบัดนี้ ลูกทีมคนสำคัญของเขาก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา

'‘เจออะไรเหรอ” ธิโอดอร์หันไปถาม

“รอยแกะสลักเหม่อนกันค่ะดอกเตอร์ แต่อยู่ด้านล่างของหินเลย”

“งั้นรึ งั้นไป ไปดูกัน” ธิโอดอร์บอก แล้วหันไปฝากงานกับดอกเตอร์สูงวัยทั้งสอง        “ดอกเตอร์ช่วยแกะตัวอักษรพวกนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา”

พูดจบธิโอดอร์ก็รีบสาวเท้าตามลูกศิษย์คนโปรดออกไป พวกเขาเดินโปรดติดตามต่อในฉบับ.

 

รายละเอียด

ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๔ ได้ทำให้ มาธวี นักโบราณคดีสาวชาวไทย เดินทางผ่านประตูแห่งกาลเวลา ย้อนกลับไปสู่ยุค ๓๒๔ ปีก่อนคริสตกาล ในวันที่กองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์กำลังบุกป้อมซ็อกเดียนา โชคชะตานำให้เธอมาพบ ลีโอนีดาส นายพลหนุ่มพระสหายของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ สามปีในวงล้อกาลเวลา ทั้งสองต้องเผชิญกับสงครามและเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งความรักอันผูกพันลึกซึ้งที่มีให้แก่กัน ทว่าเมื่อประตูแห่งกาลเวลาได้เปิดออกอีกครั้ง และเป็นโอกาสสุดท้ายที่มาธวีจะสามารถกลับสู่ปัจจุบันได้...เธอจะตัดสินใจเช่นไร เมื่อหัวใจของเธออยู่กับลีโอนีดาสเสียแล้ว...

รีวิว (3)

เขียนรีวิว

Pirate000 | 3 รีวิว
13/03/2015

เล่มนี้เป็นผลงานของ ณารา นะคะ คือนิยายแบบเราน่าจะทราบดีว่าแต่ละเรื่องของคนนี้นี่ไม่เคยจะทำให้เราผิดหวังจริงๆ มารู้จักกับเรื่องนี้กันเลยค่ะ กาลเวลา สงคราม ความรัก ตอนนักรบแห่งมาซิดอน แค่ชื่อก็บ่งบอกว่าน่าจะเป็นแบบออกแนวๆประวัติศาสตร์อะไรทำนองนั้น เมื่อได้อ่านก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้ค่ะ เนื้อเรื่องนั้นก็ค่อนข้างจะอิงกับเรื่องจริงที่มีประวัติมายาวนานด้วยค่ะ เป็นการแต่งเรื่องที่เกี่ยวกับสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ซึ่งผู้แต่งเนี่ยสามารถทำให้เราที่อ่านแล้วรู้สึกติด และหลงรักเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ เพราะว่าการบรรยายในความรู้สึก หรือแม้แต่สถานที่ต่างๆที่ประกอบเรื่องนี้นั้น ทำให้เราจินตนาการตามไปได้ไม่รู้จบเลยค่ะ ทั้งความสาวงาม ความเศร้าของตัวละคร แถมเรื่องนี้พระเอกนางเอกของเรื่องนี่น่าสงสารมากที่สุดค่ะ เพราะต้องห่างจากกันทั้งๆที่รักกันมาก แต่เวลาการสื่อความรู้สึกรักกันก็บรรยายออกมาได้แบบเราที่อ่านไปนี่ฟินเลยทันน่ารักมากๆค่ะ เป็นการอ่านนิยายที่ต้องลุ้นตามไปว่าสุดท้ายแล้วทั้งคู่เนี่ยจะลงเอยกันได้อย่างไรมีการพลิกล็อกต่างๆนา และที่สำคัญนะคะยังทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นี่เพิ่มเติมด้วยค่ะ เป็นไงคะได้ทั้งความสนุกพร้อมทั้งความรู้ เชื่อว่าหลายๆคนพลาดไม่ได้แล้วล่ะค่ะ
จตุพร | 3 รีวิว
17/08/2014

วันนี้ดิฉันจะมารีวิวนิยายอีกหนึ่งชุดที่ดิฉันชื่นชอบค่ะ นั่นคือชุด “กาลเวลา สงคราม ความรัก” มาเริ่มกันที่เล่มแรกของชุดนี้เลยดีกว่า “นักรบแห่งมาซิดอน” นิยายรักย้อนข้ามเวลาที่เกิดขึ้นระหว่างยุคปัจจุบันกับยุคสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ฯ นางเอก “มาธวี” เป็นนักศึกษาสาวคนสวย ว่าที่ดอกเตอร์ทางด้านโบราณคดี ซึ่งได้เดินทางติดตามอาจารย์ของเธอมาเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ฯ แต่ใครจะไปคาดคิดเมื่อจู่ๆ เธอกับอาจารย์ รวมถึง “โรเจอร์” และ “จาฟาร์” เกิดหลงเข้าไปอยู่ในยุคพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ฯค่ะ ฝ่ายพระเอก “ลีโอนีดาส” เขาเป็นนายพลฯ ทหารเอกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ฯ เขามักฝันประหลาดถึงผู้หญิงคนหนึ่งเสมอ และไม่รู้ทำไมเขาถึงตกหลุมรักนางในฝันของเขาทั้งๆที่เธอไม่มีตัวตน งานนี้มีเฮค่ะ เพราะนางในฝันของพระเอกก็คือนางเอกนั่นเอง แต่เมื่อนางเอกหลงมายุคปัจจุบัน เธอจึงปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อความปลอดภัย และได้มีโอกาสมาเป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของพระเอก เพราะ “บาลาครัส” ทหารคนสนิทของพระเอกพานางเอกมาให้ถึงที่ แหมๆ พระเอกก็เกิดหวั่นไหวแปลกๆกับเด็กหนุ่มในปกครอง เขาจึงคิดว่าตนเองผิดปกติเพราะชอบผู้ชาย ทั้งสงสารทั้งขำพระเอกเลยค่ะ แต่ในที่สุดแล้วพระเอกก็รู้ความจริงว่านางเอกเป็นผู้หญิง เขาจึงสารภาพความในใจกับเธอ แต่นางเอกแม้จะรู้สึกดีๆกับเขา แต่ก็ไม่สามารถรับรักเขาได้ เพาะตัวเธอไม่ใช่คนในโลกอดีต เธอยังมีบ้านที่ต้องกลับไปในยุคปัจจุบัน จึงตัดสินใจจากเขามา เพราะทั้งอาจารย์และโรเจอร์รอที่จะกลับไปยังอนาคตพร้อมเธอ ส่วนจาฟาร์ ไม่ถูกกับพวกนางเอกมาตั้งแต่แรกเพราะเขาแสดงชัดว่าต้องการมาหาสมบัติก็ไม่ค่อยมีกล่าวถึงเท่าไหร่ แต่คนมันรักไปแล้วเนอะ พระเอกเรื่องนี้คาเรกเตอร์เป็นหนุ่มจริงจัง หึงแรงด้วยนะเออ แต่ก็ให้อภัยค่ะ ก็เขารักนางเอกมากนินา และเขาก็ไม่อยากปล่อยนางเอกไปด้วย ไม่ว่านางเอกจะหนียังไงก็หนีไม่พ้นค่ะ สุดท้ายเลยแพ้ใจตัวเอง ยอมอยู่กับพระเอก ทั้งคู่จึงตกลงแต่งงานอยู่กินฉันผัวเมียกันซะเลย เมื่อความรักของทั้งคู่ลงตัวแล้ว ยังมีเรื่องสงครามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นางเอกแม้จะเป็นคนมาจากโลกอนาคตและศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มา หลายครั้งเธอช่วยให้พระเอกสามารถชนะศึกหลายครั้งด้วยการบอกใบ้ตามที่เธอเคยศึกามา แต่มีผิดคาดเพราะโดนโรเจอร์นำความไปบอกนายพลฯฝ่ายไม่ดี เรื่องราวจึงไม่เป็นตามประวัติศาสตร์ อีตาโรเจอร์นิก็ตัวดีค่ะ อยากรวย แต่ก็แอ๊บทำดีกับพวกนางเอก เพราะคิดว่าพวกนางเอกรู้แน่ๆว่าสมบัติซ่อนอยู่ที่ไหน นางเอกอยู่แล้วว่าความรักของทั้งคู่จะไม่ยืนยาว ไม่ได้ครองคู่กันไปจนแก่เฒ่า แต่เธอก็รักเขา ในที่สุดนางเอกก็ตั้งท้อง พระเอกก็รู้ตัวนะคะว่าเขาไม่มีชื่อจารึกว่ารอดชีวิตจากสงคราม เพราะตอนหลังนางเอกสารภาพว่าเธอเป็นใครมาจากไหน เขาจึงตัดสินใจจะฝังสมบัติเพื่อให้นางเอกและลูกมีชีวิตที่สบาย ถึงนางเอกจะกลับไปยุคปัจจุบันก็สามารถกลับมาขุดได้ ผู้เขียนไม่ได้ใจร้ายหรอกค่ะ เพราะตอนจบแฮปปี้ พระเอกตามนางเอกมาอยู่ในยุคปัจจุบัน รวมถึงพ่อหนุ่มบาลาครัวด้วย แต่เรื่องราวระหว่างก่อนพระเอกจะได้มาอยู่กับนางเอก สนุกและลุ้นมาก คือบับว่า ระยะเวลามันก็นานอะเนอะ คิดดูสิคะ จนลูกโตขึ้นแล้ว พระเอกกับนางเอกห่างกันนานเป็นปีเลยน้า กว่าจะมาพบกันอีกครั้ง แค่นี้ก็บอกได้แล้วค่ะ ว่าต้องมันส์แน่ๆ ตามไปให้กำลังใจพระเอกต่อได้ในเล่มเลยค่า
ภัทราพร | 3 รีวิว
17/06/2014

"หลงรักเรื่องนี้สุดๆ" ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าชื่อชอบผลงานของ ‘ณารา’ มากค่ะ เรื่อง กาลเวลา สงคราม ความรัก1 ตอนนักรบแห่งมาซิดอนเป็นหนังสือนิยายเรื่องแรกที่เริ่มอ่านของนักเขียนนามปากกา ‘ณารา’ และอ่านเรื่องอื่นๆ ต่อมาเรื่อยๆชอบทุกเรื่องค่ะ เรื่อง กาลเวลา สงคราม ความรัก เป็นนิยายแนวย้อนประวัตศาสตร์ไปในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่บ่งบอกว่าคนเขียนตั้งใจถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสืออย่างลึกซึ้งโดยที่สื่อออกมาทางความรู้สึกแทบทุกอารมณ์ ความสุขอย่างอิ่มเอมหัวใจและความเศร้าคละคลุ้งกันไปในเวลาเดียวกัน รวมไปถึงข้อมูลที่ผู้เขียนนำมาอ้างอิงซึ่งอ้างอิงมาจากเรื่องจริงที่บอกเล่าไว้ในหนังสือซึ่งผู้เขียนได้ศึกษามาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและนำมาถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องเป็นราว ใส่ตัวละครเข้าไปเพื่อเพิ่มความสนุกและความรู้สึกในแต่ละฉาก รักทุกถ้อยคำทุกบทกลอนที่ณาราปรุงแต่งขึ้นมาสำหรับนิยายเรื่องนี้เพราะทำให้คนอ่านได้เข้าถึงความรูสึกของตัวละครและจิตนาการณ์ตามได้อย่างไม่มีเบื่อ ฉากแต่ละฉากที่ณาราบรรยายถึงสถานการณ์ในอดีตก็บรรยายได้อย่างละเอียดทำให้คนอ่านจินตนาการณ์ภาพตามได้รวมไปถึงภาษาสนทนาที่ใช้ที่ต้องเป็นภาษาจักรๆวงศ์ๆซึ่งณาราก็ได้ศึกษามาดีแถมคนอ่านยังได้รับความรู้เพิ่มเติมและสามารถคล้อยตามกับบทสนทนาด้วยทำให้คนอ่านรู้สึกเศร้าและรู้สึกมีความสุขจริงคล้อยตามไปกับตัวละครทุกตัวโดยเฉพาะฉากของพระเอกนางเอกที่ต้องจากกันด้วยความจำเป็นบางอย่างในฉากนี้ณาราบรรยายได้เศร้ามากค่ะ รวมถึงการกระทำในการแสดงความรักของพระเอกที่จำใจต้องจากนางเอกโดยที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าจะไม่มีวาสนาได้เจอกันอีกแล้วทั้งสองแสดงความเศร้า ห่วงหา เจ็บปวด สื่อถึงกันและกันจนคนอ่านรู้สึกอดเจ็บปวดไปด้วยไม่ได้ เพราะว่าคนเขียนบรรยายได้ออกมาดีมากจริงๆเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครทุกตัว ทุกตัวละครที่ณาราบรรยายลักษณะออกมาทำให้คนอ่านอดรู้สึกรักและจินตนาการณ์ตามไปด้วยไม่ได้ รู้สึกมีความสุขเมื่อได้อ่านเพราะหลงรักตัวละครมากๆ คนเขียนมีการทิ้งปมและหักมุมได้ดีมากๆค่ะเพราะตอนแรกที่อ่านก็สงสัยเหมือนกันว่าจะหักมุมยังไงแต่พออ่านไปจนจบแล้วก็ยิ้มตามเพราะรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลค่ะ สนุกมากๆค่ะ

สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024