ผยอง (ดวงดาว)

ผยอง (ดวงดาว)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9789740647171
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 350.00 บาท 87.50 บาท
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

“เหินฟ้า ! เหินฟ้า !” เสียงตะโกนกู่จากเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งยืนเด่น

อยู่บนยอดผานั้นดังปลิวไปในอากาศ ล่องลอยผสมเข้ากับกระแสลมและเสียง

ครั่นครืนจากฟ้า ความอลวนป่นป่วนของพายุในหุบเขาแห่งนั้นแล้ว มันก็กลายเป็น

ดุจเสียงเรียก เหินฟ้า ! เหินฟ้า ! อันเป็นเสียงอำนาจยิ่งยงสะท้านสะเทือนกระจาย

ออกกว้างและไกล ดุจเสียงเรียกจากอำนาจเหนือมนุษย์

ตัวเราก็เป็นมนุษย์สามัญเหมือนใครทั้งหลาย แต่เราก็ได้มายืนอยู่ที่สูงสุด

บนนี้ สูงและแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่กำลังโกรธเกรี้ยวสำแดงอิทธิฤทธิ์ด้วยลม

พายุ อำนาจของสิ่งเหล่านี้ช่วยล่งเสริมความรู้สึกให้ตัวเราใหญ่ผยอง ล่าพองขึ้นใน

อก ชื่อของเราที่เราร้องก้องทั่วหุบเขา ฟังดูราวกับไม่ใช่ชื่อของเรา มันด้งปนกับพายุ

ต้นไม้ซึ่งหวั่นไหวไปทั่ว ๆ และความสูงโดดของชะเงื้อมผา จิตใจเราก็เบ่งบานขึ้น

ความครุ่นปรารถนาถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ่อนเร้นเป็นอำนาจสีกลับ ก็เติบโตไปตามเสียง

เรียก...มันรวมตัวกันก่อใหญ่กว้างขึ้น สูงขึ้น ใหญ่โตแทบจะคับทรวงอก...มันคือ

อำนาจอะไร?

เหินฟ้า...เด็กหนุ่มวัยสิบห้าไม่เกินสิบหก ร่างสันทัดค่อนข้างผอมสูง มือเท้า

ใหญ่ แสดงสัญลักษณ์ให้รู้ว่าจะเติบใหญ่ต่อไปอิกมาก แต่ขณะนี้ยังไม่เติบใหญ่

เท่าที่ควร เพราะดูราวกับขาดธาตุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะบำรุงเลี้ยง หากแต่บางทีตัวเจ้าของ

เองจะไม่รู้สึกเดือดร้อน ด้วยความรู้สึกใหญ่ยิ่งลำพองเกิดจากภายใน ลบล้าง

ความบกพร่องทางกายเสียสิ้น

 ความพอใจ ความร่าเริงผาสุกอันสมบูรณ์ เกิดแก่ดวงจิตวัยแรกรุ่นทุกครั้ง

ที่ได้ขึ้นมาเหยียบอยู่บนพื้นศิลาบนยอดเขาสูงแห่งนี้ เพราะบนที่นี้ไม่มีใคร มีแต่

ความสันโดษ ก้อนหินและต้นไม้...และตัวเขาคนเดียว เป็นเวลาแสนสุขที่จะตะโกน

ก้อง ไม่มีใครมองอย่างพิศวง ไม่มีใครหัวเราะความพิสดารจากการกระทำของเรา

ตะโกนเรียกชื่อตัวเอง คอยพิงลำเนียงอุโฆษสะท้อนกลับที่ใหญ่ทรงพลังยิ่งยง

เทียบเท่ากับความมโหฬารสูงสง่าของขุนเขาแต่ละยอด มันมีใช่ความบ้าหลังอย่าง

ใด มันเป็นเพียงการแสดงออกอย่างอิสระเสรีจากหัวใจที่กดดัน และฉงนฉงาย

ของตนเองเท่านั้น

มองลงไป จะแลเห็นภาพทุ่งนาปาเขาลาดตํ่าลงไป แล้วก็เนินเขาเขียวแต่ละ

ยอดเหมือนเสกสรรแสร้งหยิบแต่งให้เห็นงามตา ความเขียวชอุ่มของไม้ใหญ่และ

ป่าไผ่เหลืองระเรื่อ กำลังปลิวยอดไม่หยุดนิ่ง เขาย่นเหยียดกายตรง สูดลมหายใจ

เข้า แล้วเงยหน้าขึ้นร้องตะโกนชื่อตนเองออกไปอิก

ดูสิ ฟังดู น่ากลัว น่าเกรงขามอย่างกับเป็นชื่อท่านจอมพล จอมทัพ แต่ดู

เหมือนจะเกรียงไกรยิ่งกว่า เพราะมันอิงคะนึงปนไปด้วยเสียงรามสูรขว้างขวาน

คำรามมาจากแดนสรวง ! แสงแวบแปลบประกายหยักเป็นสายของฟ้าแลบแหวก

ลิบๆ ตัดสีมัวของอากาศ

เออแน่ะ เผลอประเดี๋ยวเดียว ท้องฟ้าเริ่มมัวลงโดยเร็ว เพิ่งสังเกตเห็น

รอบ ๆ กาย ดูเหมือนห้อมล้อมด้วยเงาหมอกสีเข้มและหนักอยู่ใกล้เหลือเกิน ทั้ง

เบื้องบนและเบื้องล่าง คล้ายโลกทั้งโลกวิปริตรโกรธริ้ว พายุพัดโหมที่เขาเคยอาบ

ลมอย่างระเริงเมื่อครู่ ขณะนี้เปลี่ยนไปรวดเร็ว ดูกระเหี้ยนกระหือรือน่าสะพรึงกลัว

ฟ้าสีหม่นมีเมฆรวมตัวเป็นก้อนเคลื่อนลิ่วลดตํ่าลง ใกล้เข้ามาโดยเร็ว

ยอดไผ่ ยอดไม้ทิศนั้นเอนลู่ดาดาษเป็นทิวมา...ใกล้เข้ามาปะทะตัวเขา หมุนรอบๆ

ตัวเขา ซึ่งเปรียบกับเศษกิ่งไม้เล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่กำลังจะถูกกวาดให้ราบไป

แน่ล่ะ คงจะถูกลมกวาดไป หากแต่ริบกระโดดลงมาเสียท้น จากการยืน

เป็นเป้าเด่นอยู่บนที่สูงโดยปราศจากที่กำบังเช่นนี้

ดวงอาทิตย์แดงก่ำเป็นสีไฟร่าเริงอยู่นาทีก่อน ก็หายลับกลืนไปบังอยู่หลัง

เมฆก้อนหนามหึมา เงาขุนเขาเขียวเข้มทั้งหลายแหล่แปรสภาพจากงามสอดสี

กลายเป็นภูเขาสีม่วงคล้ำทั่วกัน

“ช้าไม่ได้จะต้องรีบไปเสียเดี๋ยวนี้ ก่อนที่จะคํ่ามืดลงกลางทางก่อนถึงบ้าน...”

เด็กหนุ่มบอกตัวเอง แม้ว่านิสัยชอบต้านลม ชอบยืนโดดเดี๋ยวบนที่สูง และรักเสียงสะท้านชองแรงพายุโหมหมู่ไม้ ทำให้เกิดเสียงครั่นครืน ทำให้เกิด ความตื่นเต้นหวั่นไหวก็จริง แต่ทว่าครั้งนี้มันยิ่งกว่าตื่นเต้น...มันมากับลางเตือน ถึงอันตรายก็ว่าได้ โอ๊ย นั่น เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ครืน ต้นหว้าใหญ่หักกรอบล้มทอด ลงมาสู่พื้นพสุธา ไม่ควรอยู่สนุกเสี่ยงกับปลายหางไต้ฝุ่นเช่นนี้ อย่าง'น้อยมันก็'จะ ทำให้คนทางบ้านเป็นห่วง

เขาวิ่งถลาลงจากแผ่นหิน ความกลัวเริ่มแล่นเช้าจับใจ วิ่งบ้าง เดินบ้าง โดด ลดหลั่นลงมาตามพื้นกรวดปนดิน แทรกตัวปนไปในหมู่ไม้ที่โบกโบยกิ่งก้านไม่หยุด ยั้ง และหลายคราวที่พายุกระโชกเอาผงคลี ใบไม้แห้งเช้ามาที่จมูก ปาก ทำให้ต้อง คลำทาง...ถลาลงไปตามลาดเนินเขา...โดดหย็อยปะทะหินก้อนย่อม ๆ แง่หิน แหลมคมโผล่มาเฉี่ยวเนื้อหนัง หากแต่ไวหน่อยจึงไม่เป็นอันตราย โหนขึ้นไปเดิน บนท่อนไม้ล้ม พาตัวสัดเลาะประเปรียวว่องไวด้วยความเคยชินต่อสถานที่จน แทบจะรู้จักทุกซอกทุกมุม ตื่นลงมาสู่ลาดใกล้เชิงเขาทุกขณะ ดูเป็นวิญญาณซุกซน แกว่นกล้าเพียงดวงเดียวที่เร่ร่อนอยู่ในที่นี้...แต่ครั้นแล้ว หามิได้...ไม่ใช่วิญญาณ ดวงเดียวหรือชีวิตเดียว มือคว้าเหนี่ยวกิ่งไม้จากกำลังวิ่งให้หยุดวิ่งอย่างฉับพลัน หูแว่วสดับสำเนียงครางหงิง...ด้งมาจากช้างทางที่เขาเพิ่งวิ่งตะลุยผ่านมา...

จับสำเนียงถนัดแล้ว ช่วงขาเพรียวในกางเกงขาสั้นหมุนกลับบุกใบไผ่

สวบ ๆ เช้าไปสู่กองหินก้อนย่อม ๆ สองสามก้อน ก้มตัวลงชะโงกหน้าลงไปสอด- ลายสายตาหาจนทั่ว แล้วหยุดนิ่ง อาการหัวเราะปรากฏขึ้นบนดวงหน้า

“โอ๋ ไอ้หนู น่าสงสาร !” อุทานของเด็กหนุ่มบอกความสมเพชอย่างจริงใจ

เจ้าลูกสุนัขขนเกรียน สีเขียวตุ่น ๆ ขี้ริ้วตัวนั้น อายุคงเพิ่งครบเดือน กระจ้อยร่อย หมอบตัวสั่นเงยมองดูเขาด้วยนัยน์ตาแสนเศร้า อ้อนวอน และ

เกรงกลัว

“วิ้ว ๆ วิ้ว ๆ”

เมื่อเขาผิวปากปราศรัย ดวงตาของมันก็มิแววขึ้นด้วยความหวัง กระดิก หาง...เออ

เล็กเปียกเท่านี้รู้จักฝากตัว ครั้นแล้วมันก็ตัวสั่นงันงกต่อไปใหม่

“เจ้าหลงมาถึงนี่ได้อย่างไร เพราะซน...แม่ห้ามไม่เชื่อ หรือว่าตามแม่มา หากิน

แล้วแม่ทิ้งเจ้าไว้ เจ้าตามกลับไม่ถูก? เอ...หรือว่ามนุษย์ใจร้ายกำจัดเจ้า เอามาปล่อย?”

เขาพูดกับมันเหมือนพูดกับคน

“ขืนช้าอีกนิด คํ่าลง เจ้าคงตายด้วยความหิว ด้วยความหนาว และความกลัว มิฉะนั้นสัตว์ร้ายจะดอดมาฉีกเนื้อกินเจ้าเสีย”

แขนยาวของเหินฟ้าโน้มเอื้อมลงมา ลูกสุนัขตัวสั่นเทาถอยกรูดมุดเช้าใต้

โพรงหิน เขาจึงควานตามลงไป ล้วงคว้าเอาตัวมันขึ้นมากกไว้กับตัว ปล่อยให้มันตัวสั่น ครางหงิง

“เจ้ารอดตายแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”

หมุนตัวออกจากที่นั้น เดินต่อไป เลี้ยวลัดยํ่าไปตามก้อนหินดินทรายลอด

พุ่มพฤกษ์ที่ลาดน้อยลงทุกที จนกระทั่งมาสุดเอาตรงเชิงเขาลูกนั้น พื้นที่เรียบ

เสมอกัน

เสียงซู่ซ่าหวีดหวิวของพายุยังก้องอึงคะนึงอยู่ทั่ว ๆ หยุดยืนพักให้หาย

เหนื่อยหอบลักครู่ ช้างหน้าที่แลเห็นคือ ถนนหลวงโรยลูกรังสีแดงเม็ดละเอียดแต่

แกร่งและคม ถนนนั้นแล่นเสียบเนินเขา ยาวเหยียดไปจนสุดสายตา สองฟากเป็น

พื้นดินมีหญ้าต้นเล็ก ๆ แห้งเกรียม ลึกจากหญ้าช้างทางเช้าไป คือไร่พืชหรือไม้

เบญจพรรณ ต้นใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เหนือที่เป็นถนนปราศจากต้นไม้ จึงดูโปร่งโล่ง

ก็ยิ่งทำให้ถูกลมปะทะ...ลมซึ่งยิ่งร้ายและเพิ่มกำลังแรง

ครั้นเขาเริ่มออกวิ่งเหยาะมุ่งไปตามหนทางนั้นก็ยิ่งสำนึกว่าถูกพายุกระโชกไล่ ผลักหลังมา

เศษผงกิ่งไม้ เปลือกไม้แห้ง ถูกพัดพาลิ่วๆ เลยหน้าเขาไป มิช้าก็ผ่าน

มาถึงหน้ารั้วไม้รวกของบ้านหลังหนึ่ง

คนหลายคนกำลังชุลมุนวิ่งเก็บข้าวของที่ตากอยู่ตามลานกลางแจ้ง อาจจะ

เป็นผักดอง เมล็ดถั่วลิสง หรือบางทีก็กล้วยตาก หลายคนหยุดมือจากงานเมื่อ

เหลือบมาเห็นเขากำลังวิ่ง พากันล่งเสียงเร่ยกแล้วก็หัวเราะกิ่วก้าว จะเรียกว่า

อย่างไรเขาได้ยืนไม่ถนัด เสียงพายุและฝนไล่หลังด้งกลบหู...เดาได้จากกิริยาที่

แม่เด็ก ๆ รุ่นสาว พากันกวักมือหย็อย ๆ แสดงว่าเรียกให้เขาเช้าไปพักในบ้านจน

กว่าจะหมดพายุ แต่เนื่องจากหลายสาวหัวเราะเปิดเผย จึงทำให้เขาเก้อเขิน เขาจึง

ไม่หยุดและไม่ยิ้มตอบความเอื้อเฟือ กลับเมินมองตรงไปทางเดิมเสียด้วยซํ้า วิ่ง

ไปพลางนึกเห็นภาพตนเองนุ่งกางเกงขาสั้น ช่วงขายาว ๆ ยื่นออกมาจากปลาย

กางเกง กำลังจํ้าอ้าว ๆ อยู่นั้น คงเป็นภาพตลกขายหน้าแท้ จึงเป็นที่ชวนหัว

สำหรับแม่สาวรุ่นวัยเดียวกับเขาทั้งสามสาว

กิ่งแก้ว กิ่งกาญจน์ กิ่งผกา และแม้แต่โกเมน คนผู้ชาย

ประหม่าแกมโกรธ มือเขากอดลูกสุนัขน้อยวิ่งผ่านรั้วโปร่งบ้านนั้น บ้านที่

อุดมด้วยลูกสาวยิ่งกว่าลูกชาย ไปอย่างเร่งรีบกว่าเดิม แต่ยิ่งเร่งก็เหมือนถูกแกล้ง

ให้ยิ่งช้า เพราะต้องต้านกระแสลมแทบจะหายใจไม่ออก ผงหินลูกรังเบา ๆ ปลิว

กราวจนถนนกลายเป็นฝุ่นแดง ลืมตาแทบไม่ขึ้น และไม่รู้ตัวว่ามันได้แปลงโฉม

ผิวกาย ตลอดจนเส้นผมทั่วศีรษะให้มีสีสันผิดไปเป็นอ้นมาก

ไม่รู้ว่าเศษธุลีต่างๆ ปลิวไล่หลัง หรือปะทะมาทางด้านหน้า หรือว่ามันหมุน อลวนรอบ ๆ

เช่นลมงวงช้าง ขึ้นหนึ่งกระเด็นเช้าตา ยิ่งขยี้ยิ่งแสบจึงหรี่ตาลงทั้ง ๆ

วิ่งให้พ้นๆ ไป จากเสียงเรียกของสาวๆ ไกลจนเสียงเหล่านั้นขาดห้วงหายไป แต่

แรงอายทำให้ลืมตัววิ่งต่อไป ทั้งๆ ตาหรี่ขยี้ตาไปตามทาง จนกระทั่งซัดเซไปชน

กับอะไรเช้าเต็มแรง อะไรสิ่งนั้นล่งเสียงร้องแหลม จนต้องสะดุ้งสุดตัว

ตายละวา เจอผู้หญิงอีกแล้ว !

เขาคิดตกใจ กะทันหัน รีบเบิ่งตาขึ้นมองในความระคายปนแสบของฝุ่น

สีแดง ก็แลเห็นร่างร่างหนึ่งนั่งเหยียดยาวอยู่กลางถนนตรงนั้นพอดี เป็นทางแยก

ตัดจากทางหลวงตรงเช้าสู่ตัวหมู่บ้านใหญ่

เออ ไม่ยักทันรู้หรอกว่า วิ่งรวดเดียวก็มาถึงทางสามแยก จึงไม่ทันระวัง นี่

ดีแต่เป็น,ชนคน ถ้าเป็นเกวียนสักเล่ม เขามีปิดตาวิ่งเร่อเช้าชนรัวเทียมเกวียนเช้า

เต็มรักละสิ...แทนที่จะเป็นวัว คนที่ถูกชนกำลังวุ่นวายอยู่กับผ้าผืนใหญ่ที่ปลิวว่อน

คลุมหน้าคลุมตาคนคนนั้นเหมือนอ้ายโม่ง

‘แช่งด่าใหญ่ก็ไม่รู้ ที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดของเรานักหรอก ต้องโทษพายุไต้ฝุ่น...’

เหินฟ้านึกเช้าช้างตัวเอง มือก็ตะกายวิ่งไล่จับตะครุบผ้าผืนอื่น ๆ ซึ่งปลิว

ว่อนไปคนละทิศละทาง แล้วหอบมายัดใส่ตะกร้าหูหิ้วใบหนึ่งซึ่งล้มกลิ้งโด่โล่อยู่บน

พื้นหญ้า แล้วจึงหันมาช่วยดิงเอาผ้าผืนที่กำลังคลุมโปงสะบัดชายอย่างร่าเริงออก จากศีรษะของคนที่นั่งอยู่

“โอ๊ะ ตายแล้ว สวยน่ะเอง !”

เป็นเสียงอุทานตกใจของเหินฟ้าทันทีที่เผยโฉมหน้าไอ้โม่งขาวให้ประจักษ์ตา

เป็นดวงหน้าขาวแต่บูดบึ้ง ผมสั้นๆ ปรกคอยุ่งเหยิง เจ้ากางเกงฟิตๆ นั่นลวงตาให้

นึกว่าเป็นผู้ชาย แท้ที่จริงก็เป็นเด็กหญิงวัยสิบสองหรือสิบสามซึ่งเหินฟ้ารู้จัก อาจ

กล่าวได้ว่า ดุ้นเคยกันยิ่งกว่าเพื่อนต่างเพศทุกคน

“ดีละ เหินฟ้า”

หล่อนขบฟันคาดโทษเขา “โธ่ ใครจะไปรู้ว่าเป็นสวย...”

เขาพูดงงๆ แต่แล้วก็อดหัวเราะไม่ไดในลักษณะท่าที่สวยนั่งถ่างขา แขนทั้ง

สองเอนไปข้างหลังยันอยู่กับพื้น หน้าแหงนขึ้น ตาสีเข้มหรี่ลงอย่างโกรธแค้น ทำให้

เขาต้องหัวเราะอีกครั้ง

“ไม่ยักนึกว่าเป็นสวย นึกว่าเป็นอ้ายโม่งสีกลับ หลงมาจากโรงหนังเสียอีก”

“มัวแต่พูดอยู่นั่นแหละ ไม่เห็นมันจะน่าขบขันตรงไหน”

หล่อนค้อนขวับอย่างเคือง ๆ

เหินฟ้ารีบหุบปากทันที ยื่นมือไปช่วยรั้งแขนหล่อนให้ลุกขึ้น ส่วนอีกข้าง

นั้นกอดลูกหมาแน่นไม่ยอมให้หลุดมือ พายุยังเกรี้ยวกราดกระโชกแรงทำให้แทบ

ตั้งตัวไม่ติด

“ขอโทษเถิดนะ สวย...ฝุ่นเข้าตาฉัน ต้องหลับตาวิ่ง ไม่ทันเห็นว่าอะไรเป็น

อะไรไม่นึกว่าจะเป็นสวย เลยชนเข้าเต็มแรง เจ็บหรือเปล่า?”

“อ้อ ถ้ารู้ว่าเป็นสวย เหินฟ้าจะไม่ยอมชนหรือไง?”

“ก็คงจะระวัง เธอตัวเล็กแค่นี้ ฉันชนปลิวไปเลย”

“หือ อื้อ ฉันกระแทกอยู่กับถนน...ผ้าซิปลิว เหินฟ้าเก็บหมดหรือยัง”

ว่าแล้วหล่อนก็หันไปดูรอบ ๆ ตัว ช่วงขาของหล่อนแข็งแรง ทรวดทรง ทะมัดทะแมงรัดกุม

อวบเกินกว่าอายุที่แห้จริง จนดูจะสูงกว่าเหินฟ้า ซึ่งแก่กว่า

หลายปี

“ผ้าเก็บหมดแล้ว แต่คงจะเปื้อนบ้างล่ะ ติดฝุ่นแดง น่ากลัวต้องซักใหม่”

“มันก็ต้องซักอยู่ดี สกปรกอยู่ก่อนแล้ว เก็บมาจากโรงหมอ จะเอาไปซักรีด

ที่บ้าน”

“งั้นก็แล้วไป ฉันหลับตาวิ่งเปะปะ มาถึงก็เบรกไม่ทันเสียแล้ว ขอโทษเถอะ

นะสวย”

“สวยก็หนีเสียจนสุดทาง” หล่อนตอบ เสยผมที่ปลิวป่ายให้พ้นไปจากตา

“แต่เหินฟ้าก็ตามชนจนได้ ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันรู้ว่าเหินฟ้าไม่ได้แกล้ง ถ้าเป็น

เจ้าเด็กๆ ในหมู่บ้านก็คงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉันเอาเรื่องกับมันแน่”

“แต่ฉันนะ ถ้าสวยจะเอาเรื่อง ฉันก็ยอมแพ้ ไม่สู้หรอก”

“ฮื่อ พูดยังงี้ ฉันไม่ชอบฟังหรอก อะไร ยอมแพ้ง่ายๆ โดยยังไม่ได้ทดลอง

ต่อสู้เลย”

“ก็สำหรับสวย...เป็นคนรู้จักชอบพอกัน ฉันไม่ต้องการโกรธหรือสู้กับคนที่ ฉันชอบนี่”

“เป็นผู้หญิงก็ยกไว้เถอะ แต่ถ้ากับผู้ชาย อย่าพูดอย่างนี้ให้ใครได้ยิน”

“ฉันพูดความจริงใจ มันเป็นนิสัยชองฉัน”

“เหินฟ้า!” สวยร้อง ยกมือลูบหน้าคล้ายซ่อนความเสียใจ “อะไรๆ เธอก็ดี

หมด นอกจาก...”

“นอกจากอะไร?”

“มีอะไรอย่างหนึ่งในจิตใจเธอที่ฉันไม่เช้าใจ”

“ฉันแปลกกว่าใครยังไง ?”

“บอกไม่ถูก” สวยตอบ พยายามจะให้เป็นคำพูดเหมือนอย่างใจคิด แต่

อายุชองหล่อนยังน้อยนัก ยากที่จะพูดในสิ่งที่ยุ่งยากเกินความสามารถ “บางอย่าง

เหมือนเช่นเหินฟ้าทำตัวเลี่ยงห่างออกจากคนที่ชวนทะเลาะวิวาท เขาจะรวนมาก

เท่าไร เหินฟ้าก็เดินไปเสียเฉยๆ เหมือนไม่ได้ยิน อย่างนี้ทำให้คนอื่นเช้าใจผิด”

“เช้าใจผิดว่าอย่างไร?”

“ว่าเหินฟ้ากลัว ไม่กล้าสู้คน เธอขี้ขลาด แต่ฉันเองไม่คิดเช่นนั้นหรอก ฉัน เกือบจะเช้าใจนิสัยเธอ”

“เช้าใจว่ายังไง ?”

“ว่าที่จริงนั้น เธอไม่ขี้ขลาด นอกจากเธอดูถูกคนที่ชวนทะเลาะวิวาท ไม่

อยากเกี่ยวช้อง เธอมองคู่วิวาทเหมือนอ่านชั้นเชิงชองเขา และลงความเห็นว่า

คนนั้น ล้าเป็นบันไดก็เป็นบันไดชั้นตํ่า ส่วนเธอเป็นบันไดชั้นสูงสุดงั้นใช่ไหมล่ะ?”

เหินฟ้านิ่ง แววตาครุ่นคิด และในความคิดนั้นแฝงความหม่นหมองจนเห็น

ชัดและเขาก็อดนึกชันข้อเปรียบเทียบประสาเด็กชองหล่อนมิได้

“เธออาจจะพูดถูกก็ได้ แต่...ฉัน...ฉันเองก็บอกไม่ถูกหรอกนะสวย ว่าจิตใจ

ชองฉันเองเป็นอย่างไร มันก็มีเค้าอย่างที่เธอพูดบ้างเหมือนกัน สักวันหนึ่งฉันอาจ

รู้จักจิตใจตัวเอง และวางตัวให้สมแก่กาลเทศะ ไม่ให้เธอติได้ทีเดียว” เขาหยุด ฝืน

หัวเราะเก้อ ๆ “สวย เราเสียเวลาพูดกันกลางลมกลางพายุเป็นนาน ฝนดูเหมือน

จะใกล้เช้ามา ถ้าเธอจะกลับบ้าน ฉันจะไปส่ง”

เขาใคร่จะไปให้พ้นจากการพูดถึงปัญหาชีวิตจิตใจข้อนี้เสียทันที คว้ากระเช้า

ใส่ผ้าชองสวยคล้องแขน แล้วชวนกันออกวิ่งไปด้วยกัน

ไม่นานก็แลเห็นลาดเนินสองข้าง มีปากทางเล็กๆ ขนาดรถแล่นได้คันเดียว

                                   (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

 

รายละเอียด

เหินฟ้า เพิ่งได้ประจักษ์ในชาติกำเนิดอันแท้จริงของตนว่า เขาคือ ม.ร.ว. เหินฟ้า จตุรพล ทายาท ม.จ. จอมเทพ จตุรพล และเป็นเจ้าของวังเพลินจิตแต่เพียงผู้เดียว
ทว่าก้าวแรกที่ก้าวสู่วังเพลินจิต กลับมิได้รับไมตรีจากพระเชษฐภคินีของ ม.จ.จอมเทพ และลูกๆของท่านหญิง กลับถูกดูถูกเหยียดหยามจนสุดที่จะอดกลั้น จำต้องเรียกร้องสิทธิ์อันชอบธรรมของตน เหินฟ้าแสดงให้ทุกคนเห็นว่า ทรัพย์มรดกมิได้มีความสำคัญเท่ากับความหยิ่งผยองในสายเลือด ‘จตุรพล’ และความดีเท่านั้น
แม้เหินฟ้าได้กลายมาเป็นที่หมายปองของหญิงสาวในกลุ่มสังคมชั้นสูง แต่หัวใจของเขายังมี สวย เด็กสาวที่เป็นเพื่อนเล่นมาแต่เยาว์วัย ประทับอยู่ในหัวใจไม่รู้ลืม หากสวยกลับเข้าใจผิดว่าเหินฟ้าหลงระเริงสังคมสวยหรูของกรุงเทพฯ จนลืมเพื่อนเก่าเช่นเธอ
ความอาฆาตพยาบาทโกรธแค้นจึงปรากฏขึ้นในหัวใจของสวย
เหินฟ้าจึงต้องพิสูจน์ความจริงนี้...ด้วยหัวใจรักเท่านั้น

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024