ปทมาศวรรย์ (ปิ่นปินัทธ์)

ปทมาศวรรย์ (ปิ่นปินัทธ์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160002979
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 340.00 บาท 85.00 บาท
ประหยัด: 255.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

พุทธศักราช ๒๕๑๖

มันคงจะดีหากเรื่องราวความรักของคนเราลงเอยได้ด้วยประโยค

ที่ว่า...แล้วทั้งคู่ก็ได้แต่งงานครองคู่กันอย่างมีความสุข มีชีวิตสมบูรณ์

พร้อมและสวยงามเหมือนดังนิยายพาฝัน

แต่ชีวิตจริงของคนไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันมีอุปสรรคขวากหนาม

ให้เราฝ่าฟันไป...ไม่สิ้นสุด เพื่อพิสูจน์ว่า...นี่แหละคือรักแท้ของเรา

ปทมาศวรรย์...นั่นเป็นชื่อที่สร้อยสะบันงาผู้เป็นมารดาตั้งให้

แต่เธอชอบให้ใครๆ เรียกเธอสั้นๆ ง่ายๆ ว่า ปัทม์ เธอเป็นหลานที่

หม่อมยายแสงจันทร์รักและเอ็นดูมากที่สุด ขณะที่พฤกษ์ น้องชายเธอนั้น

เป็นหลานคนโปรดของคุณยายเอื้อง คุณยายแท้ๆ ของเธอ

เป็นที่รู้กันว่า คนในตระกูลถ้าเป็นผู้ชาย ชื่อมักหมายถึงต้นไม้

หรือไม่ก็มาจากชื่อต้นไม้ หากเป็นผู้หญิง ถ้าไม่แปลว่าดอกไม้ ก็จะมา

จากชื่อดอกไม้ ปทมาศวรรย์ไม่ชอบชื่อยาวๆ ของตัวเองแม้แต่น้อย เธอ

คิดเสมอว่าทำไมแม่ถึงไม่ตั้งชื่อเธอโดยใช้คำง่ายๆ อย่าง บัวบูชา บัวขาว

บัวดิน บัวชมพู หรือบัวเฉยๆ ก็ยังได้ ทำไมต้องตั้งชื่อเสียยาวเหมือน

ชื่อนางเอกลิเกแบบนี้

‘เราเป็นคนมีเชื้อมีสาย ก็ต้องตั้งชื่อให้เป็นมงคล ใช้คำยาวๆ ภาษา

ยากๆ ถึงจะฟังเพราะและเหมาะสม’ แม่อธิบายยามเมื่อเธอถาม

ม.ร.ว. ปทมาศวรรย์ รวิกุล แม้จะถือเป็นสามัญชน หาใช่พระ-

บรมวงศานุวงศ์๒ไม่ แต่คำนำหน้านามที่อยู่ในลำดับรองมาจากหม่อมเจ้า

ก็บ่งบอกถึงฐานันดรศักดิ์ที่ได้มาแต่กำเนิด นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่เธอภาคภูมิใจ

ทว่าแท้จริงแล้วมันกลับเป็นเสมือนป้ายคล้องคอที่บ่งชี้ว่าเธอแปลกแยก

จากทุกคนในครอบครัว เพราะเธอเป็นคนเดียวที่มีคำนำหน้าว่าหม่อมราชวงศ์

แถมยังเป็นหม่อมราชวงศ์ท่ามกลางความเคลือบแคลงใจของใคร

หลายคน โดยเฉพาะญาติๆ ฝ่ายบิดาซึ่งมักพูดให้เข้าหูตั้งแต่เด็กว่าเธอ

ไม่สมควรจะได้ใช้คำนำหน้านามอันสูงส่งนั้น ราวกับเธอไม่ใช่ลูกของพ่อ

...ไม่ได้เกิดจากชายที่เป็นสามีของแม่

‘เด็กนี่เกิดก่อนกำหนดแท้ๆ เธอยังกล้าเอาลูกชู้มายัดเยียดให้ใช้

นามสกุลพวกฉัน แบบนี้จะเรียกว่าอะไรฮึ?’

‘หยุดนะ!’ แม่ร้องตวาดเสียงแข็ง

เธอยังจำได้ติดหูติดตาถึงสายตาชิงชังของคนพูดที่ตวัดมองมา

ทางเธอซึ่งยืนแอบอยู่หลังมารดา จำภาพที่แม่โกรธจนตัวสั่นได้ดี แต่...

หรือว่ามันจะเป็นจริง? เพราะตอนนั้นแม่ไม่ได้โต้เถียงอะไรกลับ

ไปเลย แถมยังรีบลากตัวเธอกลับทันที

‘เชอะ! พูดแทงใจดำละซี้...ถึงรีบเผ่นแน่บ เลี้ยงมันให้ดีก็แล้วกัน...

อย่าให้แปดเปื้อนเสื่อมเสียชื่อเสียงมาถึงรวิกุลของฉันได้เหมือนอย่างแม่มันล่ะ’

จำได้ว่าเสียงแดกดันของฝ่ายนั้นยังไล่หลังตามมา เธอยังอดคิด

ไม่ได้ว่า พวกผู้ใหญ่นี่ก็แปลก ชอบพูดอะไรๆ ต่อหน้าเด็กโดยไม่คำนึงเลย

ว่าภาพและคำพูดเลวร้ายเช่นนั้นจะฝังแน่นในใจไปตลอดชีวิต

ใช่แค่คำครหาจากญาติข้างพ่อ ตระกูลทางแม่ของเธอเองก็ถูก

สังคมเดียดฉันท์ ด้วยคุณยายซึ่งเป็นถึงอดีตคุณข้าหลวง กลับมีสามี

ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นลูกหลานของกบฏแผ่นดิน ปูมหลังของครอบครัว

ประกอบกับการถูกปรามาสทำให้สร้อยสะบันงา แม่ของเธอต้องการให้

เธอ...ทายาทคนเดียวของตระกูลรวิกุล รักษาเลือดสีน้ำเงินนี้ไว้ แม่จึง

เลี้ยงดูฟูมฟักเธออย่างดี...อย่างที่ลูกผู้ดีมีสกุลควรจะเป็น เพื่อเชิดชู

วงศ์สกุล ทั้งยังเข้มงวดและเคี่ยวเข็ญ พยายามตีกรอบให้เธอเดิน

หารู้ไม่ว่าปทมาศวรรย์หรือ ‘หญิงปัทม์’ นั้นเป็นเด็กดื้อเงียบ

แต่เล็กจนโต เธอไม่มีวี่แววของความเฮี้ยวใดๆ ดังนั้นกว่าที่สร้อยสะบันงา

จะรู้ตัวว่าลูกสาวคนเดียวลอบเลาะรั้วออกนอกกรอบ ปทมาศวรรย์ก็สอบ

เข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว

เธอขัดใจมารดาโดยแอบไปสอบเทียบ และเมื่อผ่าน ก็แอบไป

สมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยเลือกคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยธรรม-

ศาสตร์ไว้ทุกอันดับที่มีสิทธิ์เลือกได้ และดีใจเป็นที่สุดเมื่อรู้ว่าตนเองสอบ

เข้าเรียนในคณะศิลปศาสตร์ได้ ด้วยหลงใหลในเส้นสายตัวอักษรศิลา-

จารึกจำลองบนผนังตึกคณะนี้มานานแล้ว แม้จะอ่านไม่ออกเลยสักตัว

แต่ก็ชอบแหงนขึ้นมองในทุกคราที่เดินผ่าน

แต่สำหรับมารดาซึ่งเป็นลูกหลานข้าหลวงเก่า ทั้งยังเป็นหม่อม

ของหม่อมเจ้า สร้อยสะบันงาไม่ชอบใจนักที่ลูกสาวคนเดียวจะเข้าไป

เป็นนักศึกษาในสถาบันที่ผู้ก่อตั้งเป็นผู้นำคณะราษฎร คณะบุคคลที่ทำการ

เปลี่ยนแปลงการปกครอง ลิดรอนพระราชอำนาจของกษัตริย์

อีกทั้งเมื่อปีก่อน๓ นักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังเป็นผู้นำเดิน

ขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น ฉะนั้น มารดาผู้ซึ่งไม่อยากให้คนในครอบครัว

ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกแล้ว จะสนับสนุนหรือชอบใจได้อย่างไร

‘พ่อแม่ส่งเสียเงินทองให้เข้าไปเรียน ไปศึกษาหาความรู้ กลับพากัน

ไปเดินขบวนเรียกร้องอะไรก็ไม่รู้ให้บ้านเมืองวุ่นวายเล่นเสียอย่างนั้น

ไม่รู้ที่มหาวิทยาลัยสั่งสอนกันยังไง เด็กไม่อยู่ส่วนเด็ก ...หญิงปัทม์

เรานี่ก็จริงๆ เลยนะ นึกยังไงถึงไปสอบเข้าที่นี่ เดี๋ยวคนบ้านโน้นรู้เข้า

ก็จะเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีก’

คนบ้านโน้นที่มารดาพูดถึง ไม่ใช่ใคร หากแต่เป็นอาหญิงของเธอนั่นเอง

‘ก็ไหนคุณแม่บอกปัทม์ว่า ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของท่านอาไง

เราไม่เคยไปยุ่งเกี่ยว ไปวิสาสะแล้ว แล้วทำไมหนนี้ถึงต้องไปแคร์ด้วย

แต่คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ปัทม์เรียนที่นั่นเพราะตั้งใจจะไปหาความรู้

ใส่ตัวมากกว่าจะไปยุ่งเรื่องการเมือง’

ในเมื่อญาติข้างพ่อผู้มีศักดิ์สูงส่งไม่ยอมรับ เธอก็จะแสดงให้เห็น

เช่นกันว่า เธอก็ไม่ได้สนใจอยากจะนับญาติด้วย เธออยากอยู่ในสังคม

ที่มีความเท่าเทียม มีอิสระ ไม่อยู่ในกรอบบังคับของใครมากกว่า

ไม่ว่าแม่หรือใครๆ จะคิดเห็นว่าอย่างไร ปทมาศวรรย์ไม่สนใจ

เธอรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์น่าจะเป็นสถานศึกษาที่

เหมาะกับเด็กสาวอย่างเธอที่สุด เธอเชื่อว่าที่นั่นจะช่วยเปิดโลกกว้างใบใหม่

และสอนให้เธอรู้จักความหมายและคุณค่าของชีวิตที่เธออยากจะค้นหา

แล้วเธอก็ไม่ผิดหวัง

“ข้าเพิ่งรู้ว่ะว่าเพื่อนใหม่๔ คณะเราปีนี้มีพวกเชื้อเจ้าหลุดเข้ามาคนหนึ่ง”

“เฮ้ย...จริงเหรอ” อีกคนย้อนถามเสียงแปลกใจ “ไหน...คนไหนวะ”

คนเปิดหัวข้อสนทนาพยักหน้าบุ้ยใบ้ไปยังโต๊ะตัวหนึ่งใต้ถุนตึก

คอมมอน๕ ของคณะศิลปศาสตร์ “โต๊ะไอ้ต่อเอกจิต๖ กลุ่มเด็กปัญญาชน

คนที่กำลังคุยกับไอ้ต่ออยู่นั่นไง ผู้หญิงผมยาว แต่งตัวเปรี้ยวๆ หน้าสวยคม

คนนั้นแหละ ได้ยินว่าเป็นเด็กสอบเทียบเข้ามา หน้าตาท่าทางหยิ่งๆ สมกับ

เป็นพวกผู้ดีมีเงินชะมัด”

เด็กสาวในชุดนักศึกษาซึ่งไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกรุ่นพี่โต๊ะอื่นเอ่ยถึง

กำลังนั่งเท้าคางมองรุ่นพี่โต๊ะกลุ่มตัวเองที่เพิ่งเดินมาถึง พร้อมตั้งคำถาม

“วันนี้โต๊ะเราเงียบจัง ไม่มีใครมาเลยเหรอ เห็นเงียบๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว”

คนถามถามพลางหย่อนก้นลงนั่งที่โต๊ะกลุ่ม ซึ่งใช้แผ่นไม้ยาวขนาด

เมตรกว่าๆ หลายแผ่นเรียงต่อกันเป็นโต๊ะตรงกลาง สองด้านของโต๊ะ

เป็นแผ่นไม้ยาวลักษณะเดียวกัน ต่อเป็นเก้าอี้ สำหรับใช้เป็นที่นั่งประจำ

ให้นักศึกษารุ่นพี่รุ่นน้องพบปะพูดคุยกัน โดยแบ่งเป็นโต๊ะ กลุ่มใครกลุ่มมัน

แต่ละโต๊ะก็จะมีรุ่นพี่คอยดูแลให้คำปรึกษาน้องๆ เสมือนเป็นพี่เลี้ยง

ให้นักศึกษาเข้าใหม่

“ฝนมาค่ะ แต่ไปไหนแล้วไม่รู้” เธอหมายถึงสาวิตรี เพื่อนสาวร่วมโต๊ะ

“ไม่มีใครนั่งด้วย เหงาละซี” พิพัฒน์มองหน้านักศึกษารุ่นน้อง แล้ว

ส่งยิ้มน้อยๆ ให้ “เป็นไงบ้างล่ะ ปัทม์เริ่มชินหรือยังกับพวก...”

ถามพลางปรายตาไปรอบๆ ที่มีโต๊ะกลุ่มของนักศึกษาตั้งเรียงรายอยู่

“ปัทม์คงต้องเตรียมใจไว้หน่อย ว่าปัทม์อาจจะเป็นที่สนอกสนใจ

ของหลายๆ คน ก็ที่นี่ไม่ค่อยจะมีนักหรอก พวก...” เขาหยุดนิดหนึ่งอย่าง

ชั่งใจ ก่อนเอ่ย “พวก...คนมีเชื้อมีสาย ลูกเจ้าลูกนาย แล้วช่วงนี้กระแส

ต่อต้านชนชั้นปกครอง ต่อต้านเผด็จการ ก็กำลังเป็นประเด็นเผ็ดร้อน

ปัทม์คงรู้สึกได้ตั้งแต่วันรับน้องแล้วใช่ไหมว่าแนวคิดของที่นี่เป็นยังไง”

“ค่ะ ที่นี่ถือว่าคนทุกคน ทุกชนชั้น เท่าเทียมกัน และให้ความสำคัญ

กับชนชั้นกรรมาชีพ”

ปทมาศวรรย์ยิ้มบางๆ ยังจำได้ถึงบทกวีอันไพเราะซึ่งได้ยิน

เป็นครั้งแรกในวันรับเพื่อนใหม่

“เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ

เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน

ข้าวนี้น่ะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน

เบื้องหลังซิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว

จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว

จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ

เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น

ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน

น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน

สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน

มันสะท้านสะเทือนเข้าไปในจิตใจ จนเธอต้องจดบทกวีบทยาวนี้

ลงบนกระดาษ และท่องจำจนขึ้นใจ

“ปัทม์ไม่ได้เลือกที่นี่แค่เพื่อให้เอนท์ติดนะคะพี่ต่อ แต่ปัทม์

ตั้งใจมาเรียนที่นี่ อยากเห็นบรรยากาศของการมีเสรีภาพ บรรยากาศของ

ความเท่าเทียม ปัทม์เชื่อว่าธรรมศาสตร์จะเปิดโลกกว้าง สอนให้ปัทม์รู้จัก

ความหมายของชีวิตที่แท้จริงได้ ใครจะพูดจะว่าอะไรมาเข้าหูบ้าง ปัทม์

ไม่คิดมากหรอกค่ะพี่ อีกหน่อยพวกเขาก็จะรู้เองว่าปัทม์เป็นคนธรรมดา

มาก ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง หรือยึดติดอะไรเลย”

“พี่รู้” หนุ่มรุ่นพี่ลากเสียงตอบ รอยยิ้มแฝงความเอ็นดู “ถึงได้ชวน

เราเข้าชุมนุมค่ายอาสาฯ ไง เสียดาย นี่พวกที่ชุมนุมฯ เขาก็บ่นๆ ว่าปัทม์

อุตส่าห์เข้าเป็นสมาชิกแล้ว แต่กลับไม่ได้ไปออกค่ายกับพวกพี่ ไม่งั้น

จะได้เห็นโลกภายนอกที่กว้างกว่านี้อีกเยอะ”

พิพัฒน์หมายถึงชุมนุมค่ายอาสาพัฒนาชนบทซึ่งเขาเป็นคน

ชักชวนเธอเข้าไป และตัวเธอเองก็ไม่ขัดข้อง เพราะไม่ต้องการนั่งเฉยๆ ใต้

ตึกในที่โล่งแจ้งให้คนคอยจับตาซุบซิบกล่าวถึง

“ปัทม์ยิ่งเสียดายกว่าอีก วันๆ ได้แต่เดินไปเดินมา เวลาไม่มีเรียน

ก็นั่งคุยเล่นใต้ตึก แลกเล็กเชอร์ จับกลุ่มกินขนมจนน้ำหนักขึ้นเอา

ขึ้นเอาแล้ว”

“เรายังกินได้อีกเยอะ”

คนพูดไม่พูดเปล่า หากแต่กวาดสายตามองจนเธอเขิน

“ไม่เห็นจะอ้วนเอิ้นตรงไหนเลย แต่ถ้าอยากผอม ก็ต้องไปออกค่าย

บ่อยๆ” เขาพูดยิ้มๆ

“อธิบายยังไง คุณแม่ก็ไม่ยอมให้ไป” เอ่ยเสียงอ่อย

“ก็เรามันเป็นถึงหม่อมราชวงศ์นี่ ลูกคนเดียวด้วยไม่ใช่เหรอ”

“มีน้องชายอีกหนึ่งคนค่ะ”

“เหรอ เรียนชั้นไหนแล้ว จะสอบเข้าที่นี่ตามพี่สาวหรือเปล่า”

ปทมาศวรรย์ส่ายหน้าก่อนตอบ “ไม่หรอกค่ะ พฤกษ์สนใจวาดรูป

เลยไปสอบเข้าเพาะช่าง”

“เอาอย่างนี้ไหม ชวนน้องพฤกษ์ไปออกค่ายด้วยกัน”

“คะ?”

“เมื่อไหร่พี่จะได้มีโอกาสไปกราบคุณแม่น้องปัทม์บ้างนะ ถ้าท่าน

ได้พูดคุยกับพี่ เชื่อว่าท่านคงยอมอนุญาตให้เราไปออกค่ายด้วยกันแน่”

ปทมาศวรรย์รู้สึกแปลกๆ กับสายตาวับหวานของชายหนุ่มจนต้อง

เสมองไปทางอื่น

“แต่ช่วงนี้เราคงไม่ได้ไปออกค่ายที่ไหนกันอีกนาน เพราะบรรยากาศ

การเมืองในมหาวิทยาลัยกำลังคุกรุ่น ก็อย่างที่เห็นๆ แหละ รัฐบาลเผด็จการ

เดี๋ยวๆ ก็ปฏิวัติล้มอำนาจกัน คนนั้นขึ้นมา คนนี้ถูกโค่นไป ผลัดกันแย่ง

อำนาจวุ่นวาย แถมยังมีข่าวลือหนาหูเรื่องคอร์รัปชัน เอาประโยชน์เข้าฝ่าย

ตัวเอง เห็นแก่พวกพ้อง ประชาชนทั่วไปก็ถูกปิดหูปิดตา ชนชั้นแรงงาน

ก็ถูกกดขี่ เฮ้อ...คิดๆ แล้วก็น่าสงสารประเทศชาติ”

“เข้ามาเรียนที่นี่แล้วรับรู้ได้เลยค่ะว่า ลูกแม่โดมค่อนข้างตื่นตัว

เอาใจใส่กับเรื่องพวกนี้”

“มันเป็นจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ที่สั่งสมกันมานานในหมู่ชาว

เหลืองแดงน่ะ” พูดอย่างภาคภูมิใจไม่ปิดบัง

“มันเป็นยังไงคะ จิตวิญญาณธรรมศาสตร์”

“อืม...เรื่องแบบนี้มันอธิบายไม่ได้ ต้องรู้สึกเอง”

พูดจบพิพัฒน์ก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา

“อ้าว...มัวแต่คุยกัน จะบ่ายสามแล้วเหรอ ได้ยินว่าพี่แว่นจะขึ้น

ไฮด์ปาร์กตอนสามโมง จะไปฟังด้วยกันไหมล่ะ” เขาหมายถึงนักศึกษาสาว

ดาวไฮด์ปาร์ก ขวัญใจมวลชนในช่วงนั้น

คราวนี้เป็นปทมาศวรรย์บ้างที่มองดูเวลา เธอมองหน้าปัดนาฬิกานิ่ง

ชั่งใจชั่วครู่แล้วตอบ

                              (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เพราะคลางแคลงในชาติกำเนิด ทำให้ ?ม.ร.ว. ปทมาศวรรย์? เหวี่ยงชีวิตออกนอกกรอบจนกลายเป็นสาวน้อยหัวขบถ เหตุการณ์วิกฤตินักศึกษาช่วงหกตุลา ทำให้เธอต้องหนีการกวาดล้างไปเป็นกองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์ในป่าลึก ที่นั่นแร้นแค้น เหน็บหนาว ทุกย่างก้าวอันตราย หากเธอได้พบกับ ?สหายสิงห์? ชายหนุ่มผู้มีเบื้องหลังอันดำมืด เขามาคอยดูแลปกป้อง สร้างความอบอุ่นในหัวใจ เมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย เธอและเขาพร้อมผสานกายใจเป็นหนึ่งเดียว แต่ภาระหน้าที่กับความรัก กลับท้าทายให้ทั้งคู่ต้องตัดสินใจ...โดยใช้หัวใจเป็นเดิมพัน


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024