ปีกนาง (เรณี)

ปีกนาง (เรณี)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160011216
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 250.00 บาท 62.50 บาท
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

พุทธศักราช ๒๕๕๖

เสื้อชูชีพบนเรือข้ามฟากกลายเป็นแค่ของประดับที่แขวนโชว์ไว้บนราว

ไม่มีใครคิดจะใส่ใจหรือคว้ามาสวม ศรศิลป์ก็เช่นกัน ผู้คนบนเรือต่างเชื่อว่า

ชีวิตแขวนไว้กับบุญและกรรมที่มองไม่เห็น หากมีเหตุให้เรือล่ม และ

จมหายไปกับกระแสน้ำ ก็นับว่าเป็นความซวยครั้งใหญ่มากกว่าจะโทษว่า

ตนเองประมาท

วันนี้เป็นวันแรกในชีวิตที่ศรศิลป์หัดสังเกตผู้คนรอบตัว อาจจะเป็น

เพราะเขาเพิ่งจะได้รับข่าวร้าย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นกรรมเก่าแต่ชาติปางไหนตาม

มาสนอง

คนส่วนใหญ่มีชีวิตดิ้นรนกันอย่างไร เมื่อก่อนศรศิลป์ไม่เคยสน

เอาแต่ยุ่งอยู่กับโทรศัพท์มือถือเหมือนชายหญิงในวัยทำงานบนเรือในขณะนี้

แต่พอตัวเองต้องมาประสบกับเคราะห์ร้าย ศรศิลป์เพิ่งรู้ว่าเขาต้องการ

เพื่อนเป็นตัวเป็นตน คนที่หวังดีและรักเขาอย่างจริงใจ มากกว่าคนที่แค่

แบ่งปันความรู้สึกผ่านหน้าจอโซเชียลเน็ตเวิร์ก

บ่ายแก่แล้ว แสงแดดต้องระลอกคลื่นสีน้ำตาลอ่อนดูระยิบระยับตา

ศรศิลป์ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นหลังคาสีอิฐที่อยู่ระหว่างบ้านเรือนไม้เก่าๆ

ริมฝั่งแม่น้ำ คนที่เขากำลังจะไปหาตอนนี้คงกำลังวุ่นอยู่กับการจัดแสดง

วัตถุโบราณในอาคารสามชั้น เนื้อที่กว้างใหญ่พอดู ไม่นับโรงเรือนเปิดโล่ง

ที่ใช้จัดแสดงศิลปวัตถุชิ้นใหญ่ๆ อย่างรูปปั้นหรือพระพุทธรูปขนาดมหึมา

ในสวนด้านหลังอีก

เรือเข้าเทียบท่า ผู้โดยสารทยอยลง ศรศิลป์ก้าวขึ้นโป๊ะอย่างระมัดระวัง

ยังหรอก...พิพิธภัณฑ์ศิลป์ไทย จุดหมายปลายทางในการมาเยี่ยมเยียน

เพื่อนสนิทจากคณะโบราณคดีครั้งนี้ยังห่างจากริมแม่น้ำไปอีกไกล

เรียกว่าพอได้เหงื่อ โดยเฉพาะแดดยามบ่ายเช่นนี้

เมื่อถึงหน้าประตู ชายหนุ่มไม่ต้องเสียค่าเข้าเพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

ยังไม่เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ แค่แจ้งกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

ว่าจะมาพบใคร แลกบัตรประชาชนแล้วเดินเข้าไปข้างในได้เลย

ภาพสะท้อนที่เขาเห็นจากประตูกระจกบานใหญ่คือเงาของตัวเอง

เมื่อก่อนศรศิลป์ชอบส่องกระจกเป็นที่สุด ภาพชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาว

สะอาดสะอ้าน แต่งกายด้วยเสื้อผ้านำสมัยราคาแพง ทรงผมตัดแต่งจาก

ช่างทำผมระดับแนวหน้าของเมืองไทย นำความภูมิใจมาให้เจ้าตัวทุกครั้ง

ที่เห็น แต่วันนี้ต้องขอบคุณประตูกระจกเลื่อนอัตโนมัติ ที่ช่วยให้เขาไม่ต้อง

ทนเห็นตัวเองนานนัก

อากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศปะทะใบหน้าทันทีที่เข้าไปด้านใน

ผิดกับความร้อนรุ่มในใจลิบลับ ศรศิลป์ไม่ต้องเสียเวลาเดินหาคนที่เขา

อยากเจอ เพื่อนของเขากำลังง่วนอยู่ตรงนั้น ร่างสูง ผิวคล้ำแดด ดวงตายาวรี

กำลังเขม้นมองภาชนะโบราณลายเขียนสีขนาดต่างๆ ที่วางเรียงบนโต๊ะยาว

เมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องและได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ จึงหันมามองที่ต้นเสียง

พร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้าง

ชายหนุ่มสองคนที่แตกต่างกันสุดขั้วกลับเป็นเพื่อนรักกันได้ ศรศิลป์

ใส่ใจกับเสื้อผ้าหน้าผมมาก ในขณะที่เพื่อนสนิทของเขากลับละเลยเรื่องนี้

มากเช่นกัน โปรดเกล้าสวมเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงสีดำ ดูก็รู้ว่าซื้อมาจาก

ตลาดนัด ผมเผ้าก็ตัดเกรียนเหมือนนักเรียนรด. ซึ่งทำให้เขาดูจืดชืดและ

เชยสุดขั้ว ทั้งๆ ที่รูปร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง กล้ามเป็นมัดจากการ

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็เพื่อนเขาแต่งตัวไม่เป็นเอาเสียเลย จะมีก็แต่

แววตาทอประกายคู่นั้นที่แสดงให้เห็นว่ามีอะไรพิเศษซ่อนอยู่ในตัวผู้ชาย

เชยๆ คนนี้

“เฮ้ย ไอ้ศิลป์ ลมอะไรหอบมาถึงนี่วะ ว่างงานหรือไง หนีงานมาแบบนี้

ระวังเจ้าของหนังสือเขาไล่ออกนะโว้ย” เจ้าของใบหน้าคมคายทัก

“อยากมาดูพ่องานใหญ่เปิดพิพิธภัณฑ์น่ะ” ผู้มาเยือนมองไปรอบๆ

พร้อมกับผิวปากหวือ “ใหญ่โตไม่เบา งานนี้กรมฯ ลงทุนหลายล้านเลยสิ”

“ก็เกือบร้อยล้านว่ะ กรมฯ เขามีแผนตั้งนานแล้วว่าจะตั้งพิพิธภัณฑ์

แสดงศิลปะวัตถุโบราณแยกออกมาต่างหากจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ”

ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลอ่อนวางแว่นขยายในมือ “นี่กำลังคิดว่าจะจัดเรียง

ตามชนิดภาชนะ หรือว่าตามลายเขียนสีดี” หน้าที่จัดหมวดหมู่และคิดวิธี

การนำเสนอวัตถุโบราณในพิพิธภัณฑ์คืองานของภัณฑารักษ์โดยตรง

“ยินดีด้วยนะเก้า ที่แกได้รับเลือกให้มาเป็นหัวหน้าภัณฑารักษ์ที่นี่”

สองหนุ่มเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยศิลปากร ตัวติดกัน

ตลอดเวลา เรียกได้ว่าเห็นศรศิลป์ที่ไหนต้องเห็นโปรดเกล้าที่นั่น โชคดี

ที่ตอนนั้นสองหนุ่มมีแฟนทั้งคู่ จึงรอดคำครหาว่าชอบไม้ป่าเดียวกันไปได้

โดยเฉพาะโปรดเกล้า ทุกเทอมมีผู้หญิงเข้ามาติดพันไม่ซ้ำหน้า เขา

ไม่ได้เจ้าชู้ รวยล้นฟ้า หรือว่าหล่อลากดิน หากจุดเด่นของเขาคือความซื่อ

ไร้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ เวลาสาวๆ ต้องการความช่วยเหลือ โปรดเกล้าก็มัก

ทุ่มเทช่วยเหลืออย่างเต็มที่โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ถึงจะโดนด่าว่าโง่บ้าง

ถูกหลอกใช้บ้าง เขาก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์หรือโกรธเคืองสักครั้ง

โปรดเกล้าเคยคบหากับผู้หญิงหลายคน แต่ทุกคนก็ทิ้งเขาไปหมด

ด้วยเหตุผลที่ว่าเบื่อหนุ่มแสนดี อยากจะไปหาความเร้าใจกับพวกหนุ่ม

เจ้าเสน่ห์แทน โปรดเกล้าจึงมักบ่นให้ได้ยินเสมอว่า ผู้หญิงปากก็บอกว่า

อยากได้ผู้ชายที่ซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียว แต่พอเห็นพวกเจ้าชู้พราวเสน่ห์

ก็ชอบเล่นกับไฟทุกที

‘ไอ้เรามันซื่อๆ ผู้หญิงเขาว่าไร้เสน่ห์ ไม่เร้าใจ แต่ฉันว่าเพราะฉัน

จนมากกว่า รถก็ไม่มีไปรับไปส่งเขา กินข้าวดูหนังทีฉันก็ไม่มีปัญญาจะ

เลี้ยงเขาทุกมื้อ ฉันว่าฉันไม่มีแฟนดีกว่าว่ะ’

ศรศิลป์อมยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนซี้ที่เหมือนคำมั่นสัญญากับ

ตัวเอง จากนั้นโปรดเกล้าก็ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอีกเลยกระทั่งจบ

มหาวิทยาลัย

และด้วยความที่ทั้งคู่ไม่ชอบการออกภาคสนาม พอเรียนจบสองหนุ่ม

จึงไม่เลือกเป็นนักโบราณคดีภาคสนาม ที่ต้องออกไปขุดค้นโบราณวัตถุ

หรือซ่อมแซมวัดวาอารามต่างๆ เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ

ศรศิลป์เบนเข็มไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของนิตยสารท่องเที่ยว

เชิงวัฒนธรรม เขามีหัวทางวาดเขียนมากกว่าใครๆ สมัยเรียนก็รับวาดรูป

โบราณวัตถุที่ขุดค้นได้ให้เพื่อนๆ เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลขึ้น

ทะเบียน

ส่วนโปรดเกล้ามีความฝันที่จะทำให้พิพิธภัณฑ์กลายเป็นแหล่ง

พักผ่อนหย่อนใจร่วมสมัย ให้ได้รับความนิยมเหมือนกับห้างสรรพสินค้า

หลังจากเข้ารับราชการในกรมศิลปากรได้เพียงปีเดียว โปรดเกล้าก็สอบ

ชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาโทด้านภัณฑารักษ์ที่ประเทศอังกฤษ

หลังเรียนจบจากประเทศอังกฤษ เขาก็กลับมาทำงานให้แก่กรม

ศิลปากรต่อ เพียงแค่สามปีโปรดเกล้าเติบโตในหน้าที่การงานแบบก้าว

กระโดด นั่นเพราะเขาทุ่มเทกับงานเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน ศรศิลป์

เชื่อว่าการหาใครสักคนที่หลงใหลในงานศิลปะโบราณมากเท่าโปรดเกล้า

คงยากพอๆ กับงมเข็มในมหาสมุทร

“แล้วนี่มีอะไรน่าสนใจบ้างล่ะ” ศรศิลป์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ โต๊ะ

ตัวยาว

“ก็ของเดิมๆ ไม่แปลกใหม่ ส่วนใหญ่แบ่งมาจากพิพิธภัณฑสถาน

แห่งชาติ ซึ่งนี่แหละที่ฉันกำลังกลุ้มใจ”

ศรศิลป์ฟังเพื่อนบ่นอย่างใจเย็นทั้งๆ ที่ตัวเองก็มีเรื่องกลุ้มมากพอ

อยู่แล้ว ดีเหมือนกัน การได้ฟังปัญหาของคนอื่นอาจทำให้เขาลืมสิ่งที่ตัวเอง

กำลังเผชิญอยู่ไปได้บ้าง

“เอ้อ แกได้ข่าวหรือเปล่าเรื่องที่พี่สิฐนำทีมขุดค้นสมบัติที่พญา-

ฟ้าเมืองซ่อนเอาไว้ในวัดเขตอรัญวาสี สมัยที่อาณาจักรสุโขทัยล่มสลายน่ะ

เจอทั้งอาวุธทั้งเครื่องประดับ ฉันอยากไปดู แต่แกก็รู้ ฉันกับพี่สิฐเข้าหน้า

กันไม่ค่อยติด”

“อย่าพูดว่าเข้าหน้ากันไม่ติดเลย บอกว่าเกลียดขี้หน้ากันน่าจะถูกกว่า

ก็แกดันไปแข่งกับพี่เขาทุกเรื่องนี่หว่า พี่เขาประกวดโครงงานอะไรแกก็

ตามไปส่งผลงานเข้าประกวดด้วย พี่เขาชอบผู้หญิงคนไหนแกก็เข้าไปตีสนิท

อีก ยั่วโมโหพี่เขาทุกเรื่องสิน่า”

“ก็ฉันไม่ชอบที่พี่แกวางอำนาจตอนรับน้องนี่ รุ่นน้องก็คนนะโว้ย

ขนาดรู้ว่าแกน่ะขี้กลัว ฉันเองก็แหยงป่าอย่างกับอะไรดี ยังจะแกล้งทิ้งให้

หลงทางอยู่เป็นชั่วโมงๆ มันน่าไหมล่ะ”

น้องปีหนึ่งที่ออกภาคสนามกับรุ่นพี่เป็นครั้งแรกมักจะโดนรับน้อง

แรงๆ แบบนี้ โดยเฉพาะวิสิฐจอมโหด ซึ่งมีภารกิจหลักคือแกล้งรุ่นน้องให้

ร้องไห้ โดยเฉพาะรุ่นน้องผู้ชาย

“แล้วยังไง อยากได้ของที่พี่เขาเพิ่งขุดค้นมาประดับพิพิธภัณฑ์ก็ต้อง

ไปง้อเขาหน่อยละ แต่ฉันว่าแค่แกไปถึงเขตโบราณสถาน พี่สิฐก็ไล่ตะเพิดแก

ออกมาแล้ว ไม่ทันได้เห็นของหรอก”

ศรศิลป์พูดพลางหัวเราะ เขารู้ดีว่าจริงๆ แล้ววิสิฐคือไอดอลของ

โปรดเกล้า แต่เพื่อนเขาอายเกินกว่าจะยอมรับ ที่ตั้งหน้าตั้งตาแข่งกับรุ่นพี่

คนนี้ทุกเรื่องก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เก่งทัดเทียมกับวิสิฐนั่นเอง

ที่บอกว่าจะหาใครสักคนที่บ้าในศิลปวัตถุเท่าโปรดเกล้าก็เหมือน

งมเข็มในมหาสมุทรนั้น ศรศิลป์ลืมไปเสียสนิทว่าวิสิฐก็คือเข็มเล่มนั้น

ไม่ใช่ใครอื่น

“ฉันถึงอยากให้แกไปด้วยกันไง ถึงไอ้พี่สิฐมันนิสัยไม่ดี ชอบรังแก

รุ่นน้อง จะเก่งกาจยังไงเขาก็มีจุดอ่อน แกจำไม่ได้หรือว่าพี่สิฐชอบมาขอเงินแก”

สมัยเป็นนักศึกษาวิสิฐค่อนข้างลำบาก ฐานะทางบ้านยากจนและ

ตัวเองก็เป็นนักเรียนทุน มีปัญหาเรื่องเงินอยู่บ่อยๆ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็

พยายามประหยัดอย่างเต็มที่แล้ว

“พี่สิฐเขามายืมแล้วก็คืน ไม่ได้มาขอสักหน่อย”

“ก็นั่นแหละ ถือว่าแกมีบุญคุณกับพี่เขา ให้ยืมง่ายๆ ไม่เคยทวงถาม

พี่สิฐถึงได้มายืมแกทุกครั้งไง งานนี้ถ้าพี่สิฐไม่ยอมมีแฉ ถ้าแกไปด้วยฉัน

จะได้มีพยาน รับรองพี่สิฐแกให้แน่ๆ แกกลัวขายหน้าลูกน้องจะตาย แต่

ว่าก็ว่าเถอะ เผลอๆ ผลงานครั้งนี้อาจทำให้พี่สิฐได้เลื่อนขั้นด้วยนะ อิจฉาชะมัด”

“ถึงแกไม่ชวน ฉันก็จะขอตามไปด้วยอยู่ดี เสาร์อาทิตย์นี้เลยไหม”

โปรดเกล้าเลิกคิ้ว “เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ทำไมจู่ๆ คุณชายศรศิลป์ถึง

อยากจะออกต่างจังหวัดไปนอนกลางดินกินกลางทรายล่ะ นึกว่าฉันจะ

ต้องเสียเงินเลี้ยงข้าว หลอกล่อให้แกไปด้วยเสียอีก”

ศรศิลป์ไม่ยอมตอบว่าทำไม แถมยังรีบนัดหมายกับเพื่อนซี้ “บอกมา

เลยว่าวันเสาร์จะออกจากกรุงเทพฯ กี่โมง จะไปยังไง นั่งเครื่องหรือขับรถไปเอง”

“ค่าเครื่องมันแพง ฉันไม่มีเงิน ขับรถไปเองดีกว่า ออกคืนวันศุกร์

เลย อยากแวะไหนก็แวะ ไม่ต้องรีบร้อนมาก”

ตกลงกันเรียบร้อย ศรศิลป์ก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ “แวบมานานแล้ว

ฉันไปก่อน บอกเจ้านายว่าจะออกมาดูศิลป์ไทยว่าจะเสร็จทันลงสกู๊ปฉบับ

หน้าไหม ท่าทางจะไม่ทัน เอาเป็นว่าฉันจะลงเรื่องพิพิธภัณฑ์ของแกปักษ์

ต่อไปแล้วกัน น่าจะยังโปรโมตทัน”

“อ้าว อะไรวะ บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป เออ แต่ที่ทำงานแกมัน

แค่ข้ามฟากไปอีกฝั่งนี่หว่า แล้วฉันจะโทร. ไปถามแกอีกทีนะ เผื่อแก

เปลี่ยนใจไม่ยอมไปด้วย”

“ฉันไม่เปลี่ยนใจแน่นอน”

โปรดเกล้ามองตามเพื่อนสนิทที่กำลังเดินผ่านประตูกระจกอัตโนมัติ

ออกไป ตั้งคำถามกับตัวเองทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สามารถหาคำตอบได้ เพราะเจ้าตัว

หนีไปเสียแล้ว

“มันเป็นอะไรของมัน ทีตอนเรียนหนีวิชาที่ต้องออกภาคสนาม

ต่างจังหวัดแทบตาย แต่คราวนี้ขอตามไปดูวัดกลางป่าด้วย ทำอย่างกับ

อยากจะหลบอะไรอย่างนั้นแหละ”

 

แค่ศรศิลป์ถอดรองเท้า เขาก็ได้ยินเสียงโวยวายดังออกมาจากห้อง

รับแขก ใจหนึ่งอยากจะเดินหนี แต่อีกใจหนึ่งก็กระดากเกินกว่าจะปล่อยให้

ผู้เป็นแม่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เลวร้ายเพียงลำพัง

ชายหนุ่มเดินเข้าไปภายในบ้าน เห็นแม่นั่งอยู่ท่ามกลางหุ้นส่วนบริษัท

บริการนำเข้าและส่งออกสินค้า ซึ่งพ่อของเขาเคยเป็นเจ้าของและดำรง

ตำแหน่งประธานกรรมการ ถือหุ้นใหญ่ถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์

“อะไรกัน คุณบุษราคัมไม่รู้ว่าคุณศรุตหนีไปอยู่ที่ไหนงั้นหรือ ผัวเมีย

กันจะไม่รู้ได้ยังไง อย่ามาปิดดีกว่า”

“โธ่ คุณมาลีคะ” แม่ของเขาโอดครวญกับผู้หญิงร่างท้วม ศรศิลป์

จำได้ว่าเธอคือรองประธานบริษัท หุ้นส่วนใหญ่รองจากพ่อ

“คุณศรุตอ้างกับดิฉันว่าจะไปจัดการเรื่องงานที่อินเดียแค่สองสามวัน

แต่จนถึงวันนี้ยังไม่กลับมาเลย ดิฉันมารู้ว่าเขาขนเงินติดตัวไปด้วยเกือบ

สามสิบล้านก็ตอนที่คุณมาลีโทร.มารายงานกับดิฉันเมื่อวันพุธนั่นแหละ

ค่ะ ดิฉันเองก็รอให้เขากลับมา แต่เขาก็ไม่กลับมาเสียที เรื่องบ้าๆ นี่จะได้กระจ่าง”

ศรศิลป์ยกมือไหว้หุ้นส่วนของพ่อที่นั่งกันหน้าสลอน คนพวกนั้น

ยกมือขึ้นรับไหว้ด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่ง

ข้างผู้เป็นแม่ กุมมือสั่นเทาไว้หลวมๆ

“เรื่องที่พ่อเอาเงินสดออกนอกประเทศไป ผมกับแม่ไม่รู้เรื่องจริงๆ

พวกคุณคิดมากไปหรือเปล่า บางทีพ่อผมอาจจะกลับมาภายในวันสองวันนี้ก็ได้”

“โอ๊ย รออีกวันสองวันไม่ไหวหรอก รู้ไหมวันนี้ตำรวจแห่กันมา

ที่บริษัทแล้ว ตำรวจอินเดียค้นเจอสารเคมีต้องห้ามยัดไว้ในตู้คอนเทนเนอร์

บนเรือขนส่งสินค้าของเราตอนขึ้นท่าโกลกาตา นี่ก็ประสานมาทางตำรวจไทย

จะเล่นงานบริษัทเราข้อหาลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย ปลอมแปลง

เอกสารรับของ ตำรวจสงสัยว่าเงินที่พ่อเธอขนหนีไปน่ะ จะเป็นเงินสกปรก

ที่ได้รับค่าจ้างมาน่ะสิ” มาลีบรรยายยาวเหยียดก่อนจะพูดต่อ “แล้วอย่างนี้

จะกลับมากับผีอะไรยะ ผัวคุณน่ะแอบรับจ้างขนของเถื่อน รับเงินไว้คนเดียว

พอตำรวจจับได้ก็เผ่นหนีไปแล้ว ไม่มีทางกลับมาหรอก”

“ไม่จริงนะคะ ไม่จริง” สิ้นคำบุษราคัมถึงกับหน้ามืดเป็นลมใน

อ้อมแขนของลูกชาย ศรศิลป์ต้องประคองผู้เป็นแม่ให้นั่งกึ่งนอนบนโซฟา

และเรียกหายาดมจ้าละหวั่น

“พวกคุณใจเย็นๆ ก่อนนะครับ”

“ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว ตำรวจจะมาลากคอพวกเราเข้าตะรางฐาน

สมรู้ร่วมคิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ขอโทษนะ พวกเราจะให้การว่าพ่อเธอเป็น

ตัวการเรื่องขนสารเคมีต้องห้ามนั่นคนเดียว พวกเราไม่รู้ไม่เห็นด้วย”

ศรศิลป์อยากจะเถียงว่าศรุตไม่มีทางทำอย่างนั้น แต่พอมองแม่

                         (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

พิณแก้ว นักบินสาวสวย เก่ง สมบูรณ์แบบ เธอมีทุกอย่างที่ผู้หญิงทุกคนอยากมี เธอจึงคาดหวังที่จะเจอผู้ชายที่คู่ควรหรือต้องดีกว่าเท่านั้น กระทั่งได้พบกับเขานักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งมากเสน่ห์ แสนเพอร์เฟกต์ เธอวาดหวังว่าเขาคือคนที่ใช่ แต่ไฉนเลยพรหมลิขิตช่างเล่นตลก พาเขาอีกคนมาให้พบ ภัณฑารักษ์หนุ่มที่ดูด้อยกว่าและไม่อาจเทียบได้กับเขาอีกคน แถมยังตกเป็นผู้ต้องหาคดีปล้นสมบัติโบราณของชาติอันโด่งดังอีกต่างหาก 
แต่ความรักไม่เข้าใครออกใคร คนที่ดูเหมือนใช่กลับมีเล่ห์ร้ายซ่อนลึก คนที่ดูเหมือนไม่ใช่กลับเป็นคนที่เธอไม่อาจเอาใจออกห่าง หัวใจของหญิงสาวจึงเหมือนยืนอยู่บนทางแยก 
เมื่อใจไม่อาจแบ่งเป็นสองและความลับไม่อาจถูกปิดซ่อน รักแท้จึงต้องพิสูจน์ด้วยอุปสรรคและการเสี่ยงอันตราย กระทั่งเมื่อเหตุการณ์ร้ายผ่านไป มีเพียงหนึ่ง “ชาย” ที่ยืนเคียงข้างเธอเสมอ 
มาลุ้นกันว่า “เขา” ที่ว่าคือใคร และรักแท้จะเลือกได้ไหมระหว่างคนที่ใช่กับคนที่รัก

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024