แรมรัถยา (วสุทิยา)

แรมรัถยา (วสุทิยา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160012251
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 200.00 บาท 50.00 บาท
ประหยัด: 150.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

 

หล่อนยืนเท้าแขนกับหน้าต่างบานกระทุ้งที่ประดับตกแต่งด้วยไม้ฉลุลวดลายสวยงามบนชั้นสองของเรือนไม้โบราณ  ซึ่งมีความสูงไล่เลี่ยกับต้นลั่นทมต้นใหญ่ที่กำลังออกดอกสีขาวนวลสะพรั่ง  เบียดกันแน่นจน บางดอกหลุดร่วงลงมากองเกลื่อนกลาดบนพื้น  หญิงสาวเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย  แสงสีส้มของพระอาทิตย์ยามเช้าทาทาบไปทั่วลานกว้างด้านหน้า  ขับไล่ความขมุกขมัวจากฝนที่ตกหนักมาตลอดทั้งคืนให้จางหายไปเกือบหมด

เกศแก้วเป็นมัณฑนากรที่รับตกแต่งปรับปรุงภายในเรือนไม้โบราณอายุร่วมร้อยปีหลังนี้  ครั้งแรกเมื่อได้เห็น  หล่อนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าจะได้พบเรือนไม้เก่าแก่งดงามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้น้อยใหญ่ในพื้นที่ชานเมืองซึ่งความเจริญกำลังรุกคืบเข้ามาทุกขณะ  มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าของคงดูแลรักษาเป็นอย่างดี  ผิดกับเรือนไม้โบราณหลายหลังที่หล่อนเคยเห็นซึ่งเจ้าของมักไม่เห็นคุณค่าและปล่อยให้ผุพังไปตามกาลเวลาอย่างน่าเสียดาย เรือนหลังนี้มีทั้งหมด ๒ ชั้น สร้างจากไม้สักทองทั้งหลังตามแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรปแบบเรือนขนมปังขิง ฐานก่ออิฐถือปูน  สูงจากพื้นดินราว  ๑  เมตร  ส่วนหลังคาสูงทรงปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องว่าว เน้นความโล่งโปร่งสบาย มีช่องระบายลมรอบตัวบ้านที่ทาทาบด้วยสีชมพูอ่อน  ดูแล้วกลมกลืนกับสีขาวนวลของลายฉลุไม้อันอ่อนช้อยประณีตซึ่งใช้ประดับตกแต่งทั่วทั้งหลัง ยามต้องแสงตะวันยิ่งสะท้อนความงดงามออกมาจนหล่อนแทบลืมหายใจ

แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ทำให้เกศแก้วประหลาดใจมากไปกว่านั้น  คือความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างที่แล่นเข้ามาตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ทั้งๆ ที่หล่อนแน่ใจว่าเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างร้องเรียกเพรียกหาให้หล่อนกลับมา...กลับมายังสถานที่ที่จากมานานแสนนาน

เกศแก้วไม่รู้เลยว่าผู้โชคดีที่ได้เป็นเจ้าของเรือนไม้หลังงามนี้คือใคร รู้เพียงว่าเขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มชาวไทยซึ่งเกิดและเติบโตที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นเพื่อนสนิทของรฤก เจ้าของบริษัทรับออกแบบภายในที่หล่อนทำงานอยู่เท่านั้น

‘เพื่อนพี่มันจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย  ก็เลยอยากให้เราไปช่วยตกแต่งภายในบ้านให้มันหน่อย เห็นว่าเป็นบ้านเก่าของปู่หรือย่ามันนี่แหละ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่หกที่เจ็ด  เกือบร้อยปีแล้วมั้ง  อยู่แถวนครชัยศรีนี่เอง งานนี้งบไม่อั้นแต่พี่ขอด่วนหน่อยนะ เพราะมันจะกลับมาเมืองไทยเดือนหน้า

นี้แล้ว ส่วนโพรเจกต์อื่นเคทพักไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ให้ยายอัณมาดูแลแทน ลูกค้าคงไม่ว่าอะไรหรอก’ รฤกพูดด้วยน้ำ

เสียงจริงจังในวันที่หญิงสาวกำลังหัวหมุนกับการแก้แบบให้ลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท จำได้ว่าวันนั้นหล่อนเงยหน้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วถามเขากลับไปทันทีด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจ

‘ทำไมต้องเป็นเคทด้วยล่ะคะ คนอื่นที่ว่างอยู่ก็มี’

‘ก็ไอ้ภาสมันขอมาน่ะสิ’  ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ  ‘มันไปเห็นรูปบ้านพี่ที่เชียงใหม่ ก็หลังที่เคทออกแบบนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเกิดติดอกติดใจอะไรนักหนา

เจาะจงมาเลยว่าจะเอามัณฑนากรที่ออกแบบบ้านหลังนั้น แถมยังใจดีให้เราไปค้างที่นั่นได้ด้วยนะ  ถ้าวันไหนเหนื่อยๆ  เคทจะได้ไม่ต้องขับรถไปกลับ ที่นั่นมียายน้อยกับหลานของแกชื่อเจี๊ยบเป็นคนดูแลอยู่ พี่รู้จักแกมาตั้งแต่เด็กๆ  แล้ว  ไว้ใจได้’  รฤกมอบหมายงานอย่างรวดเร็วจนหล่อนไม่ทันได้

ตั้งตัว ‘อาทิตย์นี้ถ้าเคทพร้อมวันไหนก็บอกแล้วกันนะ พี่จะได้โทร. ไปบอกให้แกเตรียมห้องไว้ให้’

ด้วยคำขอร้องแกมบังคับนี้จึงทำให้เกศแก้วมาเยือนเรือนไม้หลังงามนี้ในที่สุด โดยมีเด็กสาวชื่อเจี๊ยบมารอเปิดประตูให้หล่อนอยู่ก่อนแล้ว

เจี๊ยบเป็นเด็กสาววัยสิบห้าปีที่อาศัยอยู่กับยายซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่มาตั้งแต่เกิด เจ้าหล่อนเล่าให้เกศแก้วฟังว่า ตั้งแต่วันที่หล่อนตกปากรับคำทำโพรเจกต์นี้ ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนก็โทรศัพท์ข้ามทวีปมากำชับเด็กสาวทุกวันให้เตรียมต้อนรับหล่อนอย่างดีที่สุด

‘คุณภาสเธอโทร. มาทุกวันแหละค่ะ บอกแล้วบอกอีกให้หนูกับยายช่วยดูแลคุณให้ดี สงสัยคงกลัวคุณจะไม่ยอมมาทำงานให้’

‘ฉันอยู่ไม่ทุกวันหรอกจ้ะ  อาจจะเป็นช่วงแรกๆ  นี้เท่านั้น  แล้วก็ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษหรอก’ มัณฑนากรสาวกล่าวขณะก้าวตามหลังเจี๊ยบขึ้นไปบนชั้นสองของเรือน

‘ไม่ได้หรอกค่ะ คุณภาสเธอสั่งมาแล้ว นี่ขนาดให้หนูทำความสะอาดห้องฟ้าให้คุณพักเลยนะคะ ปกติชั้นสองไม่ค่อยให้ใครขึ้นไปพักหรอกค่ะ’

‘ห้องฟ้า?’

‘ค่ะ’ เด็กสาวหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มสดใส แล้วหันไปผลักประตูไม้บานพับฉลุลายประณีต เดินนำหล่อนเข้าไปภายใน

แวบแรกที่เห็น เกศแก้วรู้ทันทีว่าทำไมห้องนี้จึงได้ชื่อว่า ‘ห้องฟ้า’ ก็เพราะเป็นห้องเดียวในเรือนหลังนี้ที่ตัวห้องเป็นสีฟ้าคราม  ผิดกับตัวเรือนด้านนอกที่ทาด้วยสีชมพูอ่อน

เตียงไม้ขนาดไม่ใหญ่นักตั้งอยู่มุมห้อง  มีมุ้งคลุมเตียงสีขาวสะอาดผูกไว้ที่ปลายเสาทั้งสี่ด้าน เหนือขึ้นไปเป็นหน้าต่างบานพับสองบานเปิดกว้างอยู่ ส่วนม่านสองไขก็ถูกรวบชายไว้เรียบร้อยเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก

ดูแล้วน่าจะเป็นห้องนอนของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง  อาจจะเป็นห้องนอนของท่านเจ้าของเรือนคนใดคนหนึ่งในอดีตหรือไม่ก็คงเป็นลูกหลานผู้ชายสักคน

‘ห้องนี้เป็นห้องของใครเหรอจ๊ะ’

‘หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าปิด ไม่ได้ใช้มาหลายปีแล้ว ปกติหนูจะเข้ามาทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง’

‘อ้าว แล้วเวลาที่คุณภาสอะไรนั่นกลับมา เขานอนที่ไหนล่ะ’

‘ห้องคุณภาสอยู่ฝั่งขวาโน้นน่ะค่ะ เธอไม่ค่อยเข้ามาห้องนี้หรอก’

หล่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และไม่ได้ติดใจอะไร ก่อนที่เสียงนาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่เหนือประตูจะดังขึ้นเป็นสัญญาณยุติการสนทนาไปโดยปริยาย

‘คุณเคทจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวหนูลงไปรอข้างล่าง แล้วเราค่อยไปหายายด้วยกัน’

มัณฑนากรสาวพยักหน้าน้อยๆ พร้อมรอยยิ้มเป็นเชิงรับรู้ก่อนที่เด็กสาวจะเดินออกจากห้องไป

 

บ้านพักของเจี๊ยบและยายเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวที่แยกตัวเป็นเอกเทศ เยื้องไปทางด้านหลังของเรือนใหญ่เล็กน้อย ร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์ที่คอยให้ร่มเงา

เกศแก้วก้าวไปตามทางเดินที่ปูลาดด้วยอิฐมอญสีน้ำตาลเข้มอย่างสบายอารมณ์ พลางสูดกลิ่นหอมของดอกมะลิที่แข่งกันส่งกลิ่นหอมเย็นมา

ตามสายลมหนาวยามเช้าตรู่

“ยายน้อยอายุเท่าไหร่แล้วเจี๊ยบ” หล่อนถามโดยไม่ได้หันมองเด็กสาวที่เดินตามมาติดๆ

“แปดสิบสี่แปดสิบห้าแล้วมั้งคะ  แต่ความจำแกยังดีอยู่เลย  ไม่หลงไม่ลืม แถมบางครั้งยังจำแม่นกว่าหนูซะอีก” เจี๊ยบพูดกลั้วหัวเราะ “จะแย่หน่อยก็ตรงที่ร่างกายแกไม่ค่อยแข็งแรง  ป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายปี โชคดีที่คุณภาสเธอส่งเงินค่ารักษาพยาบาลมาให้ทุกเดือน ไม่อย่างนั้นคงแย่ค่ะ”

“แล้วเจี๊ยบอยู่กับยายแค่สองคนเท่านั้นเหรอ”

“ค่ะ  พ่อกับแม่หนูเสียตั้งแต่หนูยังเล็กๆ  ยายก็เลยเอาหนูมาเลี้ยงที่นี่”  เด็กสาวพูดเสียงเจื้อยแจ้ว  ก่อนหยุดฝีเท้ากะทันหัน  เมื่อจู่ๆ  คนที่เดินนำก็ชะงักกึกหน้าเรือนเล็ก พร้อมกับทำท่าทางเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ดอกไม้อะไรน่ะเจี๊ยบ กลิ่นหอมเชียว” หล่อนว่าพลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั้น

“กลิ่นเหรอคะ”

“จ้ะ ไม่รู้ว่ากลิ่นอะไร หอมแปลกๆ”

เจี๊ยบมองหน้าหญิงสาวอย่างงงๆ พลางทำจมูกฟุดฟิดอยู่สักพักแล้วพูดยิ้มๆ “หนูไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย สงสัยเป็นกลิ่นดอกนางแย้มหรือไม่ก็ดอกกรรณิการ์มั้งคะ  ยายแกปลูกเอาไว้เต็มเลยค่ะ  อยู่ข้างๆ  เรือนนี่เอง”

เด็กสาวตอบโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ก่อนเปิดประตูนำ

หล่อนเข้าไปในเรือนเล็ก ปล่อยให้เกศแก้วยืนนิ่ง นึกค้านอยู่ในใจ

ไม่ใช่หรอก...หล่อนมั่นใจว่ากลิ่นหอมเย็นประหลาดนี้ไม่ใช่กลิ่นหอมจากดอกไม้ทั้งสองชนิดที่เจี๊ยบพูดอย่างแน่นอน

หญิงสาวเผลอสูดกลิ่นหอมเย็นชวนชื่นใจที่ลอยฟุ้งรอบตัวอยู่พักใหญ่

ก่อนหลุดจากห้วงภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเด็กสาว  น่าแปลกที่กลิ่นหอมนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน

...ไม่เป็นไร เอาไว้ตอนขากลับค่อยถามเจี๊ยบอีกครั้ง เผื่อจะขอตัดไปใส่แจกันในห้องสักหน่อย...

เกศแก้วคิดก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในเรือนเพื่อพบกับหญิงชราที่นั่งรอหล่อนอยู่ก่อนแล้ว

ภายในเรือนเล็กของยายน้อยมีเครื่องเรือนสำหรับใช้สอยอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น  แต่ก็จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยจนดูโล่งโปร่งสบาย  หญิงชราผู้เป็นเจ้าของผมสีดอกเลาตัดสั้นเข้ารูปกำลังง่วนทำงานฝีมืออะไรสักอย่างด้วยความตั้งอกตั้งใจที่โต๊ะไม้ริมหน้าต่าง หล่อนจึงเดินเข้าไปหา

“คุณเคทจ้ะยาย คนที่จะมาตกแต่งเรือนใหญ่ให้คุณภาสไง”

สิ้นเสียงแนะนำของเจี๊ยบ  เกศแก้วรีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม  ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงชราเงยหน้าขึ้น  วินาทีที่ดวงตาภายใต้แว่นกรอบทองคู่นั้นเห็นหล่อน  หญิงชราก็แน่นิ่ง  ปล่อยถุงผ้าเล็กๆ  ที่ถืออยู่ในมือหล่นลงไปกองบนพื้นราวกับคนหมดเรี่ยวแรง  คิ้วขมวดมุ่นเป็นปมเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  ก่อนที่วินาทีถัดมาดวงตาคู่นั้นจะเบิกโพลงแล้วจ้องมองมาที่หล่อนเขม็ง “คุณ!”

“มีอะไรหรือจ๊ะยาย ทำไมจ้องคุณเคทตาไม่กะพริบอย่างนั้น” ผู้เป็นหลานสาวเอ่ยถามน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ก่อนก้มเก็บข้าวของที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะตามเดิม

“ปละ...เปล่า  ไม่มีอะไร”  ยายน้อยตอบไม่เต็มเสียงนักก่อนหันกลับมาทางมัณฑนากรสาวอีกครั้ง  “ว่าแต่ว่าคุณชื่ออะไรนะคะ  เมื่อกี้ยายได้ยินไม่ถนัด”

“เกศแก้วค่ะ แต่คุณยายจะเรียกหนูว่าเคทเฉยๆ ก็ได้นะคะ” หล่อนพูดพร้อมกับยกมือไหว้อีกครั้ง

หญิงชรารับไหว้ รำพึงแผ่วๆ ด้วยแววตาครุ่นคิด “เกศแก้ว...”

“ทำไมหรือจ๊ะ ยายรู้จักคุณเคทมาก่อนเหรอ ว่าแต่ว่ายายไปเจอคุณเคทตอนไหน วันๆ ก็อยู่แต่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนกับเขาซะหน่อย” เจี๊ยบพูดพร้อมทำหน้าทะเล้น

หญิงชราผู้เป็นยายไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเจี๊ยบแต่เลือกที่จะนิ่งเงียบ

ไปชั่วอึดใจ ก่อนหันมาสั่งหลานสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ “เชิญนั่งก่อนเถอะค่ะคุณ มาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำดื่มท่าเสียก่อนนะคะ เจ้าเจี๊ยบน่ะไปเอาน้ำเอาท่ามาให้คุณเขาซี”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณยาย  หนูเรียบร้อยมาแล้ว”  เกศแก้วชิงตอบเมื่อเห็นเจี๊ยบทำท่าจะลุกขึ้นก่อนทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามสองยายหลาน

“แล้วนี่คุณยายกำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ”

“พวกนี้น่ะเหรอคะ บุหงารำไปค่ะ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยว

ย่นของหญิงชราเจ้าของเรือนแย้มยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด ไม่ใช่ดำจากการกินหมากกินพลูอย่างหญิงชราทั่วไปที่หล่อนเคยพบ

“บุหงารำไป?”

“บุหงารำไปเป็นเครื่องหอมโบราณอย่างหนึ่งน่ะค่ะ  เด็กๆ  สมัยนี้ไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว คนสมัยก่อนเขาเอาไว้อบผ้านุ่งผ้าถุงให้มีกลิ่นหอมติดตัว แต่เดี๋ยวนี้เห็นเขาเอาไปทำเป็นของชำร่วยแจกกัน” ยายน้อยพูดพลางยื่นถุงผ้าโปร่งที่เย็บเป็นรูปต่างๆ ภายในบรรจุกลีบดอกไม้แห้งไว้เต็มส่งให้หล่อน

“หอมจังเลยค่ะ หอมมาก”

“ถ้าชอบก็แบ่งเอาไปนะคะคุณ  สาวๆ  สมัยนี้เขาไม่ค่อยสนใจ  เห็นเป็นของโบราณล้าสมัย  จะบอกจะสอนกี่ทีก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราว  สอนยากสอนเย็นยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก”  หญิงชราแกล้งบ่นเสียงดัง เกศแก้วอมยิ้มเมื่อเห็นอาการหน้ามุ่ยของเจี๊ยบ แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อออกมาตรงๆ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าสาวๆ สมัยนี้ที่ยายน้อยพูดถึงนั้นหมายถึงใคร

“แหม  ก็มันไม่ใช่ง่ายๆ  เลยนะจ๊ะยาย”  สาวๆ  สมัยนี้บ่นอุบ  “ของ

(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เพราะต่างเคยพลัดพราก จึงกลับมาพบรักกันอีกครั้ง ทว่าการพบกันครั้งนี้ ไม่เหมือนกับครั้งก่อน จากสาวแสนซื่อกลับมาเป็นมัณฑนากรสาวแสนสวย จากชายหนุ่มผู้อาภัพรักกลับมาเป็นนักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอม รักคงไม่เกิดหากทั้งสองไม่อาจจำ "สัญญา" เก่า ทว่าทั้งสองกลับจำได้แม่น และผูกพันทันทีที่ได้พบ แต่บาปกรรมไม่อาจยกเว้นผู้หนึ่งผู้ใด เขากับหล่อนก็เช่นกัน มาร่วมลุ้นกันว่า รักแท้ จะอยู่เหนือกาลเวลาจริงหรือ มหัศจรรย์รักจากดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์จะช่วยพวกเขาได้แค่ไหน และเจ้ากรรมนายเวรจะสามารถพลัดพรากหัวใจรักได้ทุกภพชาติอีกหรือไม่ ในนวนิยายรักเร้นลึกที่เป็นบทพิสูจน์สำหรับทุกดวงใจที่ไม่เคยลืม "รัก"


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024