รอยบรรพ์ (กุลธิดา)

รอยบรรพ์ (กุลธิดา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165001205
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 220.00 บาท 55.00 บาท
ประหยัด: 165.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

แสงอรุณเพิ่งจับขอบฟ้าไดไม่นานเมื่อชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้ามาใน บริเวณโรงพยาบาล จะว่านี่คือสถานที่ซึ่งคุ้นเคยก็คงได้ เขาลืมตาดูโลกที่นี่เมื่อ สามสิบปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นเพียงตึกหลังเดียวบนพื้นที่ว่าง กว้างขวาง เวลานี้ตึกหลังนั้นลดความสำคัญลงมาก เหตุก็เพราะมีอีกหลังถูกสร้างขึ้นแทนที่ ตึกหลังใหญ่เจ็ดชั้นนั้นสร้างขึ้นทางซีกซ้าย เยื้องมาตอนหน้าของหลังเก่า

ไกลออกไปทางฝั่งซ้ายของตึกทั้งสองหลังเป็นตึกสองชั้นรูปทรงเรียบๆ

ดูไกลๆ เหมือนกล่องสี่เหลี่ยมสีน้ำตาล ตึกหลังนั้นสร้างเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว

มิได้เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลเสียทีเดียว หากเป็นสถานที่เก็บศพและชันสูตร ศพของเคาน์ตี้มากกว่า

ก่อนเลี้ยวเข้าบริเวณลานจอด เขายังอดมองไปทางตึกหลังนั้นไม่ได้ ร่าง ของมาเรียคงอยู่ที่นั่นแล้วในเวลานี้ หญิงสูงวัยน่าสงสารที่ตลอดชีวิตประกอบแต่ กรรมดี หล่อนไม่เคยคิดร้ายและไม่เคยทำร้ายใครเลย สบายใจอย่างหนึ่งว่า

อย่างน้อยหล่อนก็ไม่ได้สิ้นใจอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางถนน อย่างน้อยเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย

เท้าซึ่งกำลังผ่อนคันเร่งเพี่อเลี้ยวเข้าจอดชะงักไปนิดเมื่อจักรยานแบบเสือ หมอบพุ่งปราดออกมาจากด้านหลังของตึกหลังใหญ่ คนซึ่งอยู่บนจักรยานดู

ตัวเล็กนิดเดียว ร่างเล็กๆ บางๆ นั้นมีเสื้อโคตรสีนํ้าตาลคลุมเสียมิดชิด บนหลังมี

เป็นสีน้ำเงิน ศีรษะสวมหมวกคันน็อก จึงมองไม่เห็นใบหน้า ที่ทำให้เขาแน่ใจว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็ตรงชายขากางเกงผ้าสีฟ้าซึ่งโผล่พ้นเสื้อโคต

ตัวใหญ่นั้นออกมา รองเท้าผ้าใบสีขาวสะท้อนแสงสีทองจางยามรุ่งสาง

จักรยานคันนั้นอ้อมโค้งผ่านหน้าเขาไปอีกฝังถนน แล้วพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ท้นได้เห็นก็เพียงเสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นหมวกคันน็อกออกมานิดเดียว นิดเดียว

จริงๆ เพราะใบหน้านั้นดูเล็กมาก น่าจะเป็นผู้หญิง เขาคิดเช่นนั้น ผู้หญิงซึ่งทำงาน

ที่นี่ คุ้นเคยคับที่นี่ จึงไม่หวาดกลัวที่จะถีบจักรยานคนเดียวในโรงพยาบาล

ในเวลาเข้าซึ่งยังไม่มีผู้คนให้เห็นเลยอย่างนี้

มีรถเพียงไม่กี่คันในลานจอดด้านหน้า จากที่จอดรถตรงนี้มองตรงไป

เห็นตึกหลังเก่ารำไร สายตาเขาจับอยู่ที่นั่นขณะก้าวลงจากรถ ทุกอย่างที่นั่นยัง

คงเหมือนเดิม เหมือนเช่นที่มันเป็นเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว มีความหลังมากมาย

อยู่ที่นั่น ความหลังซึ่งเกี่ยวข้องคับแม่และพ่อที่เขารักและนับถือไม่ต่างจากพ่อ

ที่แท้จริง พ่อซึ่งเลี้ยงเขานับแต่วันคลอดจนเติบใหญ่

แผนกคนไข้โรคมะเร็งอยู่ชั้นสาม ทางปีกซ้ายของตึกหลังใหญ่ เขาคุ้นเคย คับชั้นนั้นพอสมควร พอออกจากลิฟต์ก็รู้ว่าต้องเดินต่อไปทางไหน พยาบาล

สองคนและผู้ช่วยกำลังจัดยา อีกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังดูอะไรบางอย่างบนจอ คอมพิวเตอร์ หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเขาเดินผ่าน พอเห็นชัดๆ ว่าเป็นใครก็ส่ง สายตาหยาดเยิ้มมาให้ เขาเพียงแต่ยิ้มบางๆ ที่มุมปากเป็นเชิงรับรู้ เคยชินเสีย

แล้วคับสายตาลักษณะนั้นจากผู้หญิงสาว หรือแม้แต่ไม่สาวก็ตาม เขาไม่ได้ ทักทาย ไม่คิดจะถามถึงอาการของคนไข้ที่มาเยี่ยม ในเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าอีก

ไม่นาน...

ภายในห้องนั้นมีดเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป มีเพียงไฟดวงเล็กๆ ให้แสง สว่างเพียงเล็กน้อยบริเวณหัวเตียง ช่วยให้เห็นร่างผ่ายผอมที่กำลังหลับสนิท

ตาลึกโหล เปลือกตาบางจนเห็นริ้วเส้นเลือด ขอบตาดำคล้ำ แก้มตอบ ริมฝีปาก ปราศจากสีเลือดนั้นแห้งผากและแตกเป็นขุย ไม่ต่างอะไรคับสองแขนผอมเกร็ง

 

ที่ทอดยาวอยู่ข้างตัว บนศีรษะมีเส้นผมสีเงินปนทองเหลืออยู่เพียงหร็อมแหร็ม

สายพลาสติกใสเส้นเล็กๆ คล้องอยู่กับหูสองข้าง โยงมาถึงจมูกเพี่อให้ออกซิเจน

ผ้าห่มกักลายละเอียดสีขาวนวลคลุมขึ้นมาถึงหน้าอกซึ่งกระเพื่อมขึ้นลงเป็น

จังหวะ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่าคนที่นอนอยู่ยังมีลมหายใจ หากก็เบา

เสียจนแทบดูไม่ออก

ภายในห้องเงียบกริบ มีเพียงเสียงบี๊ปเบาๆ เป็นจังหวะสมํ่าเสมอจาก

เครื่องตรวจสอบการเต้นของหัวใจข้างเตียง ตัวเลขดิจิทัลสีแดงบนเครื่องคงที่

อยู่ที่ ๖๗ บางขณะ ขึ้นไปเป็น ๖๙ แล้วตกกลับลงมาที่ ๖๗ อีกครั้ง เหนือขึ้นไป

เป็นเสาโลหะแขวนถุงพลาสติก ภายในมีนํ้าเกลือเหลือให้เห็นอยู่ครึ่งหนึ่ง มีสาย พลาสติกต่อมาที่แขนขวาของผู้ปวย

ร่างบนเตียงที่ผอมจนแทบเหลือแต่โครงกระดูกนั้นกำลังเรืองแสงขาวนวล แสงเรืองๆ ซึ่งเขาเป็นคนเดียวที่เห็นนั้นบัดนี้หมองหม่นและอ่อนจาง...สัญญาณ

บ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่ใกล้แตกดับเต็มที เขารู้ดี

เขาแตะหลังมือผอมๆ แผ่วเบา ขณะแรกไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ

หากก็เพียงครู่เดียว นัยน์ตาอ่อนล้านั้นปรือขึ้นมอง เสียงครางแผ่วโหยลอด

ริมฝีปากซึ่งแทบไม่ขยับ

“เอริค...” เสียงนั้นราบเรียบ บ่งบอกความปลื้มอกปลื้มใจลึกซึ้ง “ดีใจ

ที่คุณมา...”

“เช่นกัน แฟรงค์”

ชายร่างสูงหนาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งวางอยู่ข้างเตียง พิจารณาดวงตาสีฟ้า อมเทาปราศจากประกาย ผิวหน้าเผือดสี ดูเผินๆ เหมือนมีแผ่นฟิล์มสีขุ่นเคลือบไว้

“ได้เวลาแล้วใช่ไหม”

เอริคเงียบ ไม่ตอบคำถามนั้น หลับตาลงอย่างหดหู่เมื่อได้ยินประโยค

ต่อมา คราวนี้ปลายเสียงคนพูดสั่นเครือ

“วิลลี่จะเป็นยังไงบ้าง”

เขารู้ว่าแกถามถึงหลานคนไหนในบรรดาหลานแปดคนที่มี หลานคนนั้น ติดยาเสพติดมานานปี คนดีมักคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอแม้ในเวลา

ที่กำลังจะหมดลมหายใจ เท่าที่เขาเห็นมาจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง

“อย่าห่วงเลย แฟรงค์ วิลลี่จะเลิกยาได้ แต่อาจต้องใช้เวลา”

มีเสียงเหมือนถอนใจยาวเป็นคำตอบ ก่อนแฟรงค์จะถามถึงคนต่อมา

“เทเรซ่าจะเป็นยังไงบ้าง” คนป่วยหมายถึงภรรยาวัยเดียวกันของตัวเอง “เทเรซ่าจะตามคุณไปในไม่ช้านี้”

“ไม่เลย แฟรงค์ เทเรซ่าจะไม่ทรมาน”

มีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง

“เมื่อถึงเวลาของเทเรซ่า คุณจะไปอยู่กับเธอเหมือนที่คุณอยู่กับผมตอนนี้ ไต้ไหม ช่วยจับมือเธอแทนผม เธอจะไต้ไม่กลัว” เสียงขอร้องนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนคนพูดกลํ้ากลืนอะไรบางอย่าง “เทเรซ่ากลัวโน่นกลัวนี่ทุกครั้ง” ประโยค ท้ายสั่นเครือขึ้นมาอีก

“ผมจะพยายาม แฟรงค์ ผมจะพยายาม หลับให้สบายเถอะ อย่ากลัว

ไม่มีอะไรต้องกลัว อย่าห่วง ไม่มือะไรต้องเป็นห่วงอีกแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มนวล ปลอบประโลม เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาทำหน้าที่นี้

เสียงบี๊ปจากเครื่องตรวจสอบการเต้นของหัวใจคนไข้ข้างตัวเขารัวถี่ขึ้น อย่างกะทันหัน ชายหนุ่มหันขวับไปดู เห็นไฟแดงกะพริบถี่ๆ ตัวเลขดิจิทัลบอก ระดับการเต้นของหัวใจซึ่งเมื่อครู่คงที่ เวลานี้กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็น

ห้าสิบหก...ห้าสิบห้า...ห้าสิบสาม...และยังลดลงเรื่อยๆ

ชายร่างสูงใหญ่ขยับลุกจากเก้าอี้ ก้มลงกระซิบที่ช้างหูคนป่วยซึ่งจิต วิญญาณกำลังหลุดลอย

“ไปกับพระเจ้าเถอะนะ แฟรงค์ ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว เทเรซ่าจะตาม คุณไปในไม่ช้านี้”

เอริคลุกขึ้นยืน ทาบมือลงบนหลังมือเหี่ยวย่นมีเส้นเลือดปูดโปนอีกครั้ง บีบเบาๆ ก่อนหันไปทางประตูเมื่อพยาบาลและผู้ช่วยผลุนผลันเปิดเข้ามา เขา

ถอยห่างออกมาจากเตียงแล้วเลี่ยงออกจากห้องไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

 

ทางดินแคบๆ ซึ่งนำไปสู่โรงรถดูเปียกชื้น เมื่อคืนอาจมีฝนตก แต่ วาดตะวันไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะอยู่แต่ในตึกทั้งวันทั้งคืนอย่างนั้น สนามหญ้า สองข้างทางดูเหมือนเปียก หรือไม่ก็อาจเป็นน้ำค้างซึ่งยังคงค้างคามาจากเมื่อคืน แสงอาทิตย์ในเวลานี้ยังไม่จัดจ้าพอจะเผาผลาญทั้งหมดที่เห็น

หญิงสาวแวะเปิดตู้จดหมายที่เสาเตี้ยๆ หน้าบ้าน มีจดหมายสี่ฉบับ จาก บริษัทให้บริการบัตรเครดิตของเธอฉบับหนึ่ง พอเห็นอีกฉบับคิ้วเรียวก็ย่นเข้าหา กันนิดหนึ่ง เธอไม่เคยเห็นลายมือนี้มาก่อนเลย ที่อยู่บนหน้าชองเขียนด้วยดินสอ ตัวอักษรโตเท่าหม้อแกง แต่โย้เย้เหมือนเด็กเล็กๆ เขียน ไม่มีชื่อหรือแม้แต่ที่อยู่

ของผู้ส่ง เธอเดาไม่ออกเลยว่าเป็นใคร แต่เธอก็ไม่ติดใจอะไรนัก เพราะเห็นหน้า ชองอีกฉบับเสียก่อน คราวนี้ยิ้มออกมาได้เพราะจำลายมือนั้นได้ดี ตัวอักษรลง

เส้นหนาหนักแบบนี้จะใครเสียอีก ไม่ต้องดูชื่อผู้ส่งก็รู้ ฉบับ,ที่สี่จ่าหน้าซองถึง เบียทริซ หญิงสูงวัยผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ นอกนั้นก็เป็นแผ่นโฆษณาสินค้า

ลดราคาของห้างสรรพสินค้าในเมือง และโฆษณาร้านแว่นซึ่งเพิ่งเปิดได้ไม่นาน

วาดตะวันรวบทั้งหมดไร้ด้วยกัน ถอดหมวกกันน็อกแล้วเข็นรถจักรยาน ไปจอดหน้าบ้านก่อน ประตูหน้าบ้านยังปิด แสดงว่าเบียทริซยังไม่ตื่น หรือไม่ก็ตื่นแล้ว แต่ท่าอาหารเช้าอยู่ในครัว

วาดตะวันเสียบจดหมายฉบับนั้นไว้กับชอกประตูแล้วเข็นจักรยานต่อไป ทางด้านหลัง โรงรถและที่พักของเธอนั้นตั้งอยู่เลยไปทางด้านหลังของบริเวณบ้านมากพอสมควร

ภายในโรงรถมีคาดิลแลค เอส.อาร์.เอ็กซ์. ค้นค่อนข้างใหม่จอดอยู่

ประจำ รถค้นนั้นเป็นของขวัญวันเกิดจากพ่อเมื่อปีที่แล้ว ท่านให้ ‘อา’ โอนเงินมาให้เธอชื้อรถยนต์ค้นใหม่เมื่อรู้ว่าค้นเก่าซึ่งเธอใช้มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักเรียน แพทย์ได้ขึ้นไปตายสนิทอยู่บนยอดเขา ท่านสั่งให้บอกเธอว่าเป็นเงินของอา แต่

พอเธอแทบจะเค้นคอถาม อาก็จำต้องบอกความจริง

นับแต่มาเรียนหนังสือตั้งแต่ระดับมัธยมที่อเมริกาเมื่อหลายปีก่อน

วาดตะวันกลับไปเยี่ยมพ่อที่เมืองไทยน้อยครั้งมาก และเพราะปัญหาขัดแย้งที่

ทำให้ไม่ลงรอยกับพ่อ ท่านจึงยกให้ ‘อา’ เป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ของเธอ และ

ทุกครั้งที่อามาอเมริกาก็จะแวะมาเยี่ยมเธอเสมอ จะมาเล่าถึงความเป็นไปที่

โรงพยาบาลของพ่อให้ฟัง และจบด้วยคำพูดที่ว่า

‘ทุกคนรอวาดอยู่นะ ตำแหน่งก็มีแล้ว ไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรกลับไปก็ได้

และทุกครั้งที่อาถามอย่างนั้น เธอจะตอบเหมือนๆ กันว่า ‘แต่วาดตั้งใจ

จะทำงานด้านนิติเวชนี่คะ ทำไงได้ล่ะ’

นั่นหมายถึงว่าเธอตั้งใจจะไม่ไปทำงานในโรงพยาบาลของพ่อ ในเมื่อ โรงพยาบาลเอกชนของพ่อแม้จะมีแผนกนิติเวช แต่ก็เล็กมาก และมีไว้เป็นที่พัก

ศพคนไข้ซึ่งเสียชีวิตเพียงชั่วคราวจนกว่าญาติจะมารับเท่านั้นเอง ในกรณีที่เป็น

คดีความกันก็จะถูกล่งต่อไปยังสถาบันนิติเวชของโรงพยาบาลของรัฐ ที่นั่น ต่างหากที่เธออยากไปทำงาน และอาทำได้ก็เพียงส่ายหน้าอย่างระอาใจกับความ

รั้นของหลานเหมือนเช่นทุกครั้ง

ห้องเช่าเหนือโรงจอดรถของวาดตะวันมีขนาดเล็ก เป็นเพียงห้องเดียวซึ่ง รวมหมดทุกอย่างไว้ในนั้น นับตั้งแต่ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น เป็นครัว ด้วยก็ได้ แต่เธอใช้ห้องเดียวนั้นเพี่อประโยชน์อย่างเดียวคือเป็นที่เก็บหนังสือ จะเรียกว่าเก็บก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะทุกชอกทุกมุมมีหนังสือวางระเกะระกะ

บางเล่มเปิดกางอยู่ที่หน้าซึ่งเปิดอ่านค้างไว้ บางเล่มก็ควํ่าหน้าไว้ มีหลายๆ เล่ม

กองไว้ด้วยกันจนเป็นตั้งสูง นอกจากหนังสือก็เป็นเสื้อผ้าใส่แล้ว ส่วนใหญ่เป็น

ชุดสีฟ้าซึ่งเธอสวมเวลาทำงาน เธอควรล่งเครื่องแบบเหล่านั้นชักนานแล้ว แต่ชุด

ที่ใส่กลับบ้านหลังอยู่เวรยังคงกองทิ้งอยู่ที่นี่ จนเมื่อไหร่เห็นว่ามีหลายชุดเต็มที

จึงได้ฤกษ์รวบรวมส่งไปซักเสียที

วาดตะวันปลดเป้ลงจากหลังแล้วเหวี่ยงลงบนเตียง วางหมวกกันน็อกไว้ ข้างๆ พิจารณาซองจดหมายซึ่งมีชื่ออาเป็นผู้ล่งแล้วยิ้มขบชัน อาเคยบ่นว่า มีเทคโนโลยีสมัยใหม่มากมายให้ผู้คนติดต่อกันได้ง่ายแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้วิธี

เขียนจดหมายถึงเธอ เพราะโทรศัพท์มาครั้งใดเธอมักไม่อยู่บ้าน ทิ้งข้อความไว้

ให้โทร. กลับ เธอก็ไม่เคยทำตามนั้นสักครั้ง อีเมลก็มี แต่เธอก็ไม่ชอบเซ็กอีเมล

ของตัวเองเสียอีก เธอใช้คอมพิวเตอร์เพี่อการเดียวคือค้นข้อมูล บางครั้งอาล่ง

อีเมลมาห้าเดือนแล้ว เธอเพิ่งได้เห็นก็มี

คงได้เวลาโทรศัพท์ไปรายงานความเป็นไปของตัวเองกับอาแล้วกระมัง ในเมื่ออีกไม่กี่วันเธอก็จะหายไปเป็นสัปดาห์ ควรให้อารู้ไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่โทร. มาตอนเธอไม่อยู่ ดีไม่ดีจะคิดว่าเธอเป็นอะไรไป

อารับสายเกือบจะทันทีที่มีเสียงสัญญาณเรียกเข้า

“ว่าไงวาด ได้ฤกษ์โทร. มาจนได้ ดูฤกษ์ดูยาม ดูทิศทางลม ดูเวลา

ตกฟากดีแล้วหรือถึงได้โทร. มา แล้วนี่ได้รับจดหมายของอาหรือยัง”

วาดตะวันทำตาโตใส่เครื่องโทรศัพท์

“อารู้ด้วยว่าเป็นวาด เบอร์นี้วาดเพิ่งได้เอง”

“เบอร์นี้ทำไมอาจะจำไม่ได้” เสียงห้าวๆ ฟังดูเหมือนอยู่ตรงหน้านี่เอง “แล้วนี่ได้รับจดหมายของอาหรือยัง”

“เพิ่งได้รับค่ะ”

“อ่านหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ อาเล่าดีกว่าว่าเขียนมาว่าไงบ้าง”

“เป็นงั้นไป อานั่งเขียนอยู่ตั้งนานสองนาน เขียนด้วยมือด้วยนะ”

วาดตะวันหัวเราะคิกคัก กับอาแล้วเธอกลับเป็นเด็กหญิงตัวน้อยได้ทุกครั้ง

“อาเล่าดีกว่าค่ะ”

“ก็ไม่มีอะไร แค่รายงานไปว่าทางนี้เป็นยังไงกันบ้าง ท่านถามอาด้วยว่า เมื่อไหร่วาดจะมาเมืองไทยอีก อาก็บอกไปว่าไม่รู้ นี่คิดจะมาเมืองไทยอีกหรือ เปล่า”

ครั้งสุดท้ายที่เธอไปเยี่ยมบ้านก็หลังจากจบสิ้นการเป็นแพทย์ฝึกหัด

ใหม่ๆ และกำลังจะย้ายมาเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลในเมืองนี้ คราวนั้น อยู่บ้านได้เพียงสี่รันก็ต้องตาสีตาเหลือกกลับมา เธอไม่เคยอยู่บ้านพ่อได้นาน

เลย ความคุ้นเคยที่อยู่คนเดียวมานานปีทำให้ยอมรับอะไรๆ ได้ยากขึ้นเมื่อต้อง ไปอยู่กับคนอื่น แม้จะเป็นผู้ให้กำเนิด และแม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ก็ตาม

“ยังไม่แน่เลยค่ะ”

เพียงแค่นั้นอีกฝ่ายก็เข้าใจ เรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและกินใจ

ทั้งพ่อและลูก จึงได้เปลี่ยนเรื่องเสีย

“มีอีกเรื่องที่อาบอกมาในจดหมายด้วย” เขาเกริ่นแล้วเงียบไป

(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

วาดตะวัน แพทย์ฝึกหัดและแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในอเมริกาได้พบกับเอริคโดยบังเอิญเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถสิบแปดล้อชนรถแวน เอริครู้ทันทีว่าวาดตะวันถึงฆาตแล้ว และคิดจะช่วยเธอแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ช่วงนั้นในเมืองนี้มีคนร้ายฆ่าข่มขืนผู้หญิงบ่อยๆ และวาดตะวันถูกดักทำร้ายในคืนหนึ่ง แต่เอริคมาช่วยได้ทัน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็สนิทสนมกัน พอพ่อของวาดตะวันรู้เรื่องที่เธอถูกทำร้ายก็ส่งอานนท์ น้องชายของภรรยาใหม่ มารับลูกสาวกลับเมืองไทย 
ในเวลาเดียวกันวาดตะวันเริ่มรู้แล้วว่าเอริคไม่ใช่คนธรรมดา เธอรู้สึกเหมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่จริง เอริคยอมเล่าให้ฟังว่าเขาคือผู้นำสาร เห็นความตายล่วงหน้าได้ เขาจะคอยปลอบประโลมผู้ใกล้ตายให้จากไปอย่างสงบ และเขาเหลือเวลาโลกมนุษย์อีกไม่นาน วาดตะวันดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เขาจากไปเพราะหลงรักเอริคเข้าให้แล้ว ต่อมาพ่อของเธอโรคหัวใจกำเริบ วาดตะวันต้องกลับเมืองไทย เวลาที่จะได้อยู่กับเอริคสั้นลงทุกที ความหม่นหมองและท้อแท้เป็นใจให้วาดตะวันกับเอริคได้เสียกัน และวาดตะวันก็ตั้งท้องโดยไม่รู้ตัว 
จนคืนหนึ่งมีวิญญาณมากมายปรากฏให้วาดตะวันเห็น เมื่อวาดตะวันไปรู้สึกตัวที่โรงพยาบาล เอริคก็หายไปแล้ว และไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย 
อานนท์สารภาพรักกับวาดตะวันในที่สุดและขอวาดตะวันแต่งงาน วาดตะวันไม่กล้าปฏิเสธทันทีเพราะกลัวว่าอานนท์จะทิ้งงานของพ่อไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการที่อดีตพ่อตาเสนอให้ ต่อมาวาดตะวันรู้ว่าตัวเองกำลังท้อง เธอจึงตัดสินใจกลับอเมริกาและสารภาพกับอานนท์ว่าเธอไม่เคยรักเขาแบบชายหนุ่มหญิงสาว อานนท์เข้าใจ และยอมรับความพ่ายแพ้ 
เมื่อกลับถึงอเมริกา เอริคมาคอยรับวาดตะวันอยู่ที่สนามบินในสภาพที่จำอะไรไม่ได้เลย รู้ก็แต่ว่าในคืนที่ตัวเองหายไป ลูกในท้องวาดตะวันซึ่งเพิ่งมีอายุครรภ์ได้เพียงไม่กี่วันต้องตาย และจิตของผู้นำสารซึ่งเคยครอบครองร่างของตัวเองมา 30 ปีได้เข้าไปแทนที่ ความทรงจำของเอริคมีเหลืออยู่ตั้งแต่คลอดจนอายุ 15 ปี ซึ่งก็คือเวลาที่จิตของผู้นำสารเริ่มเข้ามาแทนที่ นั่นหมายถึงเอริคจำวาดตะวันไม่ได้ด้วย แต่เขาจำความรักที่มีให้ใครคนหนึ่งได้ขึ้นใจ และทั้งคู่ก็เริ่มสานต่อความรู้สึกนั้นไปด้วยกัน

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024