ร่านดอกรัก (มุกเรียง)

ร่านดอกรัก (มุกเรียง)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165000550
ผู้แต่ง: มุกเรียง
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 250.00 บาท 62.50 บาท
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

หญิงสาวร่างระหงในชุดสีดำแบบทันสมัยอุ้มเด็กน้อยวัยขวบเศษ

ก้าวเข้ามาในศาลาที่ตั้งสวดพระอภิธรรมศพ ในระหว่างพระสงฆ์กำลังสวดพระ

อภิธรรม ๗ คัมภีร์* กลายเป็นจุดสนใจของคนในศาลาที่นั่งประนมมือรับฟัง

เสียงสวดมนต์อย่างสำรวม ทุกคนต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว และส่วนหนึ่ง

ให้ความสนใจกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่หญิงสาวลากเข้ามาและเด็กน้อยที่อุ้ม

อยู่ในอ้อมแขน ก่อนหันไปพูดซุบซิบสลับกับปรายตามองเหยียดหยามอีกครั้งแล้วครั้งเล่า

หญิงสาวรับรู้ว่ามีสายตาหลายคู่มองเธออยู่ และรู้ด้วยว่ากำลังซุบซิบ

นินทาเรื่องอะไร แต่เธอไม่ใส่ใจ ดวงตาเธอจดจ่ออยู่ที่โลงสีขาว ซึ่งวางอยู่

ท่ามกลางแจกันดอกกุหลาบสีขาวสลับชมพูที่จัดวางอย่างสวยงาม ใกล้โลงสีขาว

มีรูปถ่ายขนาดใหญ่ของหญิงสาวในชุดราตรี ไม่ต่างจากภาพชุดที่ถ่ายสำหรับงาน

มงคลแต่อย่างใด ใบหน้าหญิงสาวในภาพนั้นยิ้มแย้มอย่างสดใส ดวงตาสีเดียว

กับเธอทอประกายแห่งความสุข ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แปลกแต่อย่างใดที่เจ้าสาวในภาพ

จะสดใสร่าเริงเช่นนี้ แต่มันกลับทำให้คนมองสลดหดหู่ใจ รูปพวกนี้สมควรวาง

ไว้ให้คนชื่นชมที่ห้องจัดเลี้ยงในงานวิวาห์ หาใช่มาวางไว้ที่หน้าหีบศพในศาลาที่

พระกำลังสวดอภิธรรมเคล้าเสียงร่ำไห้อย่างอาลัยอาวรณ์ของญาติมิตรที่ยังตัดใจมิขาดเช่นนี้

หน้าชุดรับรองสำหรับแขกผู้ใหญ่และเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม พรมผืน

หนาปูทับเสื่อพลาสติกขนาดใหญ่ที่ทอเป็นผืนเดียว ลาดเต็มพื้นที่ว่างจากบริเวณ

ที่วางหีบศพถึงยกพื้นที่ซึ่งพระภิกษุกำลังนั่งสวดพระอภิธรรมอยู่ บนพรมผืน

หนาบรรดาญาติของผู้ล่วงลับนั่งประนมมือรับฟังบทสวดมนต์ บางคนกำลัง

ซับน้ำตาที่ซึมออกมา หนึ่งในนั้นคือหญิงวัยกลางคนที่ดวงตาแดงก่ำจากการร่ำไห้

และกำลังได้รับการปลอบโยนจากญาติๆ ซึ่งเป็นผู้หญิงต่างวัยที่นั่งอยู่ด้วยกัน

และทุกสายตาก็เหลียวไปที่ร่างซึ่งมาหยุดยืนมองรูปถ่ายหน้าหีบศพ

“แม่ก้อย” เสียงเรียกชื่ออย่างคาดไม่ถึงดังขึ้น แม้ไม่ดังจนกลบเสียงพระ

ที่กำลังสวดอภิธรรม แต่เรียกให้สายตาหลายคู่เพ่งมองหญิงสาวเจ้าของชื่ออย่าง

เพ่งพิศมากขึ้น ก่อนที่เสียงนินทาจะดังกลบเสียงพระสวด หญิงสาววัยใกล้เคียง

กับคนที่ตกเป็นเป้าสายตาก็ยืนขึ้น เดินเข้าไปหา กระชากแขนแล้วถามลอดไรฟัน

“นังก้อย ใครให้แกมา” หญิงสาวนามแจ่มจันทร์ถามเสียงเขียว ทั้งยังออกแรงลากเจ้าของชื่อ

คนถูกกระชากแขนจนเกือบเซ มองกลับสายตาแข็งกร้าว เธอกลัวว่าแรง

กระชากของแจ่มจันทร์จะทำเด็กหญิงในมือร่วงตกลงไปได้ จึงขืนตัวเอา วาง

กระเป๋าที่ลากมาแล้วผลักแจ่มจันทร์กลับพร้อมพูดเสียงลอดไรฟัน

“ปล่อยแขนฉัน”

“ไม่ปล่อย ออกไปจากศาลาเลยนังก้อย” แจ่มจันทร์ทำหน้าขบเขี้ยวเคี้ยว

ฟัน ไม่ยอมปล่อยแขนหญิงสาวที่หวังอัปเปหิออกไปเสียจากงานศพ

“เธอมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉัน แล้วปล่อยแขนฉันได้แล้วนะ” ก้อยหรือ

กณิศาก็ไม่ยอมเช่นกัน เมื่อแจ่มจันทร์ไม่ยอมฟังเสียง ยังคิดจะกระชากแขนทั้งที่

เธออุ้มเด็กเอาไว้ในมือ หญิงสาวจึงผลักอีกครั้งด้วยแรงทั้งหมด แจ่มจันทร์ผงะ

ไปข้างหลังแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้นทันที

“โอ๊ย! อี...” แจ่มจันทร์ร้องโอดโอย ยกนิ้วชี้หน้าผรุสวาทด้วยความโกรธ แต่มีเสียงตวาดห้ามไว้

“หยุดเสียที นี่มันในวัดในวา พระก็กำลังสวดอยู่” หญิงวัยกลางคน

ใบหน้าซีดเซียวไร้การปรุงแต่ง ดวงตาแดงก่ำจากการร่ำไห้หันมาห้ามทั้งคู่ แม้

เสียงปรามนั้นจะตะคอกแต่ไม่ได้ดังเกินไปเพราะแค่สองคนยื้อยุดกันก็เป็นเป้า

สายตามากพอแล้ว จึงไม่อยากร่วมวงตกเป็นเหยื่อจากดวงตาอีกหลายๆ คู่ไป

ด้วย ก่อนที่นางจะหันไปหากณิศาที่มองมาอย่างสำนึกผิดและขออภัยอยู่ในที

“กลับไปคอยที่บ้านก่อน”

“แม่!” กณิศาพ้อเสียงละห้อย แต่ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีกเมื่อเห็นแววตา

แข็งกร้าวระคนตัดพ้อของนางสายบัวผู้เป็นมารดา หญิงสาวรีบยกมือไหว้ทั้งที่มี

เด็กน้อยในอ้อมแขน อ้อนวอนเบาๆ

“ให้ก้อยจุดธูปบอกพี่เกดก่อนได้ไหมคะ”

“จะบอกอะไรล่ะ บอกว่าน้องชั่วๆ ที่มันหนีไปกับแฟนของพี่สาวตัวเอง

กลับมาแล้วน่ะหรือ” แจ่มจันทร์ได้ทีจึงพูดถากถางขึ้นอีกทั้งคำพูดและสายตา

เพราะเจ็บใจที่ถูกกณิศาทำให้เจ็บตัวจนก้นระบมในเวลานี้ แต่เธอก็ถูกปรามเบาๆ จากมารดาตนเอง

“พอทีเถอะจันทร์” แล้วหันไปพูดกับหญิงสาว “กลับไปคอยที่บ้านเถอะ

แม่ก้อย ให้นายชาติขับรถไปส่ง” นางสำรวยผู้มีศักดิ์เป็นน้าบอกหลานสาว ก่อน

หันมองหาชายที่เอ่ยชื่อเพื่อจะให้ไปส่งกณิศาที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดนี้เท่าใด

นัก เมื่อไม่เห็นอยู่ในสายตาจึงหันไปสั่งบุตรสาวของตนเอง

“จันทร์ไปตามนายชาติมาซิ”

“ผมขับรถไปส่งเองครับ” เสียงทุ้มแทรกขึ้นจากด้านหลังของหญิงสาวที่

กำลังถูกกีดกันออกไปให้พ้นจากบริเวณงาน ทุกคนหันไปมองพร้อมเพรียงกัน

ชายเจ้าของคำพูดยิ้มบางๆ ให้ทุกสายตา ก่อนจะหันมาค้อมศีรษะให้กณิศา

“เชิญครับคุณก้อย” เขาเอ่ยชวนอย่างสนิทสนม แล้วหยิบกระเป๋าเดินทาง

ของเธอมาถือเอาไว้ เพื่อไม่ให้หญิงสาวปฏิเสธได้

กณิศามองชายหนุ่มแล้วหันกลับไปมองมารดาที่ยังวางหน้านิ่งเหมือน

ไม่ไยดี ไม่เหมือนสำรวยและแจ่มจันทร์ที่ยังจับจ้องเธอและเด็กน้อยในอ้อมแขน

ผู้เป็นน้าพยักหน้าสนับสนุน ส่วนแจ่มจันทร์ผู้เป็นลูกกลับแสยะมุมปากส่งสายตา

เหยียดหยาม กณิศาไม่สนใจคนทั้งคู่เท่ามารดาของตนเอง และรู้สึกเจ็บแปลบ

เมอื่ นางสายบวั เมนิ หนี หนั ไปสนใจกบั เสยี งสวดพระอภธิ รรมตอ่ หญงิ สาวตดั สนิ -

ใจเดินตามชายคนดังกล่าวไป เพราะขืนยืนอยู่ตรงนี้ต่อ นอกจากจะเป็นเป้า

สายตานานขึ้นแล้ว หัวตาเธอก็เริ่มร้อน น้ำตาที่เกิดจากความน้อยใจมารดากำลัง

จะเอ่อคลอ แต่ยังมิวายหันไปมองรูปถ่ายของกนกกรพี่สาวที่ล่วงลับอย่างสำนึก

ผิดที่ตนยังไม่ได้มีโอกาสจุดธูปหน้าหีบศพเพื่อขออโหสิกรรมในสิ่งที่ผ่านๆ มา

สายตาหลายคู่เฝ้ามองจนกณิศาอุ้มเด็กน้อยออกไปนอกศาลา เดินตาม

ชายหนุ่มไปที่ลานจอดรถ แล้วหันกลับมาซุบซิบพูดคุยจนบางคนตั้งหน้าตั้งตา

พูดถึงเรื่องของหญิงสาว จนลืมไปว่าเวลาและสถานที่นี้พึงอยู่ในความสำรวม

“ถ้าเป็นลูกสาวฉัน จะตีให้หลังลายแล้วขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมาร่าน หนี

ตามผู้ชายไปแบบนี้หรอก”

“หน้าไม่อาย ยังมีหน้ากลับมาอีก แถมกระเตงลูกมาด้วย เป็นฉันจะ

ตะเพิดไปให้ไกลไม่ให้เหยียบเข้าบ้านหรอก ขายขี้หน้าจริงๆ”

“เด็กที่อุ้มมาน่ะเหมือนจะเป็นผู้หญิงเสียด้วย คอยดูเถอะอีกหน่อยก็

หัวกระไดไม่แห้ง ดอกทองเหมือนแม่มันนั่นแหละ”

“แอ้ม!”

เสียงกระแอมดังขึ้นด้านหลังวงนินทาจนทั้งหมดสะดุ้งโหยง หุบปากที่

กำลังจะด่าว่าอย่างเมามัน แต่ไม่มีสักคนที่จะกล้าหันกลับไปมองว่าผู้ใดส่งเสียง

ขัดจังหวะขึ้น มือที่ประนมไว้แค่ระดับตักรีบยกขึ้น ก้มหน้าสำรวมประหนึ่งคน

ซาบซึ้งในรสพระธรรม แต่ยังมิวายชายตามองซึ่งกันและกันเป็นระยะๆ เหมือน

จะมีสัญญาต่อกันว่าเรื่องที่พูดนั้นยังไม่จบไม่สิ้น ในขณะที่คนส่งเสียงขัดขึ้นด้วย

ความรำคาญนั้นหันไปมองตามร่างหญิงสาวที่ถูกนินทาอย่างเวทนา ต่อไปแม้จะ

เสร็จสิ้นงานศพของกนกกรแล้ว แต่เธอจะต้องตกเป็นเหยื่อจากปากของชาวบ้านไปอีกนานทีเดียว

หนทางที่ทอดยาวไปข้างหน้าแม้จะเป็นเพียงถนนลูกรังสีแดงฝุ่นฟุ้ง

กระจายยามหน้าแล้ง ที่เห็นกันเจนตาในชีวิตชนบทห่างไกลความเจริญเช่นเมือง

หลวงหรือเมืองใหญ่ แต่สองข้างทางหาได้มืดมิดหรือรกครึ้ม เพราะมีดวงไฟให้

แสงสว่างเป็นระยะๆ เรียกได้ว่าไม่อันตรายจากสัตว์ร้ายสำหรับคนเดินเท้าใน

เวลาค่ำคืน แต่สำหรับอันตรายจากน้ำมือมนุษย์นั้น แม้จะมีไฟทางส่องสว่าง หรือ

จะเป็นแสงจากพระอาทิตย์ดวงกลมโตเวลากลางวันแสกๆ ผู้มีจิตใจหยาบช้าก็

สามารถทำสิ่งผิดกฎหมายไร้ซึ่งมนุษยธรรมได้โดยไม่สนใจเวล่ำเวลา

ภายในรถกระบะโฟร์วีลคันใหม่เอี่ยมที่กำลังแล่นไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

หญิงสาวอุ้มเด็กน้อยที่ผล็อยหลับอิงอกเอาไว้ สายตาเธอมองไปข้างหน้าอย่าง

สนใจ เวลาเกือบสองปีที่ไม่ได้เหยียบย่างมาที่แห่งนี้ทำให้เห็นถึงความแปลกตา

สองข้างทางที่เคยรกร้างไปด้วยต้นไม้ไร้ประโยชน์และวัชพืช กลางคืนก็มืดสนิท

จนไม่มีใครกล้าเดินผ่าน มาบัดนี้กลับสว่างไสวไปด้วยไฟทางสีนวลที่ส่องเป็น

ระยะๆ ต้นไม้รกๆ ข้างทางก็ตัดแต่งเป็นรูปเป็นทรงไม่ให้กิ่งก้านเกิดเงาบดบัง

แสง เมื่อผ่านชุมชนก็เห็นบ้านเรือนริมถนนต่างพร้อมใจกันติดไฟส่องสว่างหน้า

บ้านตนเอง ผิดไปจากเมื่อก่อนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“แปลกตาใช่ไหม” สารถีหนุ่มถามขึ้นเมื่อเห็นว่ากณิศาสนใจมองข้างทาง

เป็นนานสองนาน จนไม่พูดคุยกับเขาเลยตลอดเส้นทางที่ผ่านมา

หญิงสาวเหลียวมามองเขาช้าๆ ก่อนพยักหน้าให้เล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ย

วาจาอันใด ชายหนุ่มจึงพูดต่อ

“พี่ชายผมเป็นคนเข้ามาพัฒนาและปฏิรูปความเป็นอยู่ของคนที่นี่ ถนน

หลายสายลาดยาง บางสายแม้ไม่มีงบประมาณมาลาดยางมะตอย แต่ก็ถมลูกรัง

อัดแน่นฝนตกไม่เละ ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ แล้วก็ติดไฟส่องสว่างทุกสายเพื่อความ

ปลอดภัยของผู้สัญจร หน้าบ้านก็ขอความร่วมมือให้เปิดไฟคนละหนึ่งดวงตลอด

คืน คุณก้อยรู้ไหมว่าลดปัญหาอาชญากรรมได้มากทีเดียวนะครับ”

ชายหนุ่มพูดอย่างภูมิใจเสมือนเป็นคนทำโครงการดังกล่าวเสียเอง แต่

เหมือนหญิงสาวผู้ร่วมโดยสารมาในรถจะไม่ให้ความสนใจมากเท่าใด เธอแค่

พยักหน้ารับทราบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาก็เข้าใจดี เวลานี้จิตใจหญิงสาว

คงหดหู่กับการเสียชีวิตของพี่สาวและเหตุพิพาทในวัดเมื่อสักครู่

“น้องชื่ออะไรครับ ผู้หญิงใช่หรือเปล่า” เขาอยากหาเรื่องคุยกับเธอจึงถาม

ถึงเด็กน้อยที่หลับอยู่แนบอก แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้งหลังทำใจได้ไม่

นาน เพราะกณิศานับเป็นคนบ้านเดียวกันที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ และเขาก็แอบ

ชอบเธอมาตั้งแต่เริ่มแตกพาน เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่ชอบและคิดจะจีบ

แต่เวลานั้นทั้งตัวเขาและกณิศาต่างเข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ จะมีพบเจอกันบ้างก็

ตอนปิดเทอม เขาจำได้ดีว่าจะยิ้มอย่างขัดเขินเสียทุกครั้งเมื่อพบเจอหญิงสาว

ไม่ว่าสถานที่ใด พบเจอตามลำพัง หรือมากับบุคคลอื่น

กณิศาและกนกกรพี่สาวนับเป็นสาวหน้าตาดีถึงขั้นสวยที่สุดในหมู่บ้าน

ทำให้เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั่วไป ตัวเขาจึงมีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก แต่

เรียกได้ว่ายังไม่ได้เปิดตัวลงแข่งขัน รางวัลแห่งชัยชนะก็มีคนคว้าไปเสียแล้ว

เมื่อกณิศาหนีหายไปพร้อมชายอีกคนที่กำลังจะแต่งงานกับกนกกร เป็นที่

กล่าวขานกันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ตอนกณิศาหายหน้าไปใหม่ๆ ครอบครัวของเธอ

แทบจะเข้าหน้าชาวบ้านไม่ติด ไม่พบปะเพื่อนบ้าน ไม่กล้าเหยียบย่างไปในตลาด

เพราะทนกับคำถามและสายตาเหยียดหยามของคนเหล่านั้นไม่ไหว

กนกกรที่ถูกน้องสาวแย่งคนรักไปเสียใจทุกข์ใจมากมายแต่คงไม่เท่านาง

สายบัวผู้เป็นมารดา เพราะถือว่าอับอายชาวบ้านเป็นสองเท่า ลูกสาวคนโตเป็น

ม่ายขันหมากทั้งที่เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนลูกสาวคนเล็กก็ทำเรื่องงาม

หน้าหนีตามคู่รักของพี่ตนเองไป อันเป็นเหตุให้งานแต่งของพี่สาวต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย

ส่วนตัวเขาก็แทบไม่เป็นผู้เป็นคน หมดอาลัยในชีวิตไปพักใหญ่ แต่ไม่มี

ใครรู้ว่าสาเหตุมาจากเรื่องของกณิศา เพราะเขายังไม่ทันได้เอ่ยปากให้ใครรู้ว่า

ชอบเธอ กับเจ้าตัวแล้วยิ่งไม่เคยได้เผยความในใจเพื่อสานต่อความสัมพันธ์

แต่อย่างใด เรียกได้ว่าเขาอกหักเสียตั้งแต่ในมุ้งเลยทีเดียว

“ลูกสาวค่ะ ชื่อรวงข้าว” เสียงตอบสั้นๆ ของกณิศารั้งชายหนุ่มกลับมา

จากความหลังที่กำลังหวนรำลึก

“ชื่อน่ารักจังนะครับ คงจะเหนื่อย หลับปุ๋ยเลย” เขายิ้มให้เธอแม้ไม่มี

รอยยิ้มหรือคำพูดตอบแต่อย่างใด

หญิงสาวปล่อยให้ความเงียบครอบครองพื้นที่ภายในห้องผู้โดยสาร

อีกครั้ง ชายหนุ่มลอบถอนหายใจช้าๆ คงเปล่าประโยชน์ที่จะชวนเธอพูดคุย

แม้อยากจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเธออีกมากมาย เขาพารถมุ่งหน้าไปยัง

จุดหมายซึ่งเป็นบ้านหลังงามที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางพอสมควร

รถคันใหม่เอี่ยมแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านที่เปิดไฟสว่างไสวทว่าดู

เงียบเหงาจนวังเวง นิพลเปิดประตูลงจากที่นั่งคนขับอ้อมมาเปิดประตูให้กณิศา

ชายหนุ่มส่งมือไปหวังรับเด็กน้อยมาอุ้มเอาไว้เพื่อให้กณิศาลงจากรถได้อย่าง

สะดวก ทว่าหญิงสาวปฏิเสธไม่ยอมส่งเด็กหญิงตัวน้อยที่อุ้มเอาไว้แนบอก ขยับ

ลงจากรถด้วยตนเองจนนิพลต้องรีบหลบทางให้ แล้วเดินไปยกกระเป๋าเดินทางลงจากกระบะท้าย

กณิศาหยุดยืนหน้าบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้หลังเดิม บ้านที่ไม่ได้มาเหยียบเป็น

เวลาสองปีกว่า บ้านแสนสุขที่อบอวลไปด้วยความรักในอดีต แต่บัดนี้เวลานี้บ้าน

กลับดูวังเวงเงียบเหงา ช่วงเวลากลางคืนไม่ได้เป็นเงื่อนไขทำให้บ้านดูเหงาลงไป

มากขนาดนี้ แต่นั่นเป็นเพราะความสูญเสียที่เกิดขึ้นในบ้าน บ้านที่มีแม่เป็น

หัวหน้าครอบครัวตั้งแต่บิดาเสียชีวิตไปตอนเธอเรียนมหาวิทยาลัยปีแรกเท่านั้น

เอง แม่ต้องอยู่กับกนกกรตามลำพังเพราะตัวเธอเองเข้าไปเรียนระดับอุดมศึกษา

ที่กรุงเทพฯ ขณะที่กนกกรเรียนวิทยาลัยอาชีวะอยู่ที่บ้านเกิด

วันหยุดไม่ว่าจะช่วงยาวเช่นปิดเทอมหรือช่วงสั้นเช่นเสาร์อาทิตย์หรือวัน

นักขัตฤกษ์ กณิศาก็พยายามกลับมาบ้าน งานของเธอคือช่วยแม่ดูแลสวนผลไม้

และไร่องุ่น ส่วนกนกกรนั้นถนัดทำงานบ้านมากกว่าออกไปตากแดดให้เหงื่อไหล

ไคลย้อย จนบางครั้งแม่ยังเอ่ยแซวว่าสาวชาวกรุงไม่กลัวแดด แต่สาวบ้านนอก

กลับกลัวแดดยิ่งกว่ากลัวผี การได้นอนหนุนตักแม่ และรับประทานอาหารพร้อม

หน้าสามคนแม่ลูกเป็นช่วงเวลาที่เธอมีความสุขที่สุดหลังบิดาจากไป แต่เวลานี้

ภาพแห่งความสุขเหล่านั้นไม่มีวันหวนคืนมาอีกแล้ว

กณิศาเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาข้างแก้ม ก่อนมองหากระเป๋าเดินทางที่นิพล

ยกลงมาจากกระบะท้าย ชายผู้มีน้ำใจยังถือไว้มิได้วางลง ซ้ำยังหิ้วเดินไปมองที่ประตูหน้าบ้าน

“คุณก้อยมีกุญแจไหมครับ บ้านล็อกนี่นา” นิพลหันกลับมาถาม ก่อนจะ

                              (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เพราะกณิศาทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดี ชยธรจึงปันใจให้หญิงอื่น และเพราะเขาทรยศหักหลัง เธอจึงไม่อาจอภัยได้ ความรักที่เคยมั่นคงมีอันต้องสลายกลายเป็นความแค้น ชิงชัง และการลงทัณฑ์ เธอและเขาต่างห้ำหั่น เอาชนะกันและกัน แต่ไยทั้งเขาและเธอจึงรวดร้าวไปทั้งหัวใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดเพราะการกระทำของตน กิเลส ตัณหา ความโลภโมโทสันไม่เคยให้คุณแก่ใคร ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่พอใจสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ตราบนั้นเขาก็จะไม่มีความสุขได้เลย ร่านดอกรัก นวนิยายของ มุกเรียง เป็นนวนิยายรักที่มุ่งให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ซึ่งผู้เขียนทำหน้าที่นั้นได้ดี หากในอีกแง่ มุกเรียงก็แฝงคติธรรมไว้ได้อย่างน่าชื่นชม โดยการตีแผ่ด้านมืดในจิตใจมนุษย์ได้อย่างถึงแก่น ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง ผ่านอุปนิสัยของตัวละครในเรื่อง และบทสรุปจากการกระทำของแต่ละบุคคลก็ชี้ให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษอย่างชัดเจน


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024