เคหาสน์ร้อยรัก (ลีฬวรา)

เคหาสน์ร้อยรัก (ลีฬวรา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160008391
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 240.00 บาท 60.00 บาท
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

เรือนำเที่ยวสีเขียวเข้มแล่นมาตามลำน้ำ ผู้โดยสารต่างพากัน

ชมทิวทัศน์สองฟากฝั่งด้วยความชื่นมื่น สายลมเย็นๆ และภาพวิถีชีวิต

ของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งเป็นมนตร์เสน่ห์สำคัญซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว

ให้แห่แหนกันมาจนแม่น้ำสายนี้กลายเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวยอดฮิต

สำหรับคนกรุงในช่วงวันหยุดสั้นๆ

ระหว่างที่ผู้โดยสารกำลังเพลิดเพลินกับการล่องเรืออยู่นั้น จู่ๆ คนขับ

ก็ชะลอเครื่องพร้อมกับเสียงบรรยายของผู้ชายวัยกลางคนดังแว่วมาจาก

ลำโพงขนาดเล็กรอบเรือ

“ขอเชิญทุกท่านมองไปทางด้านซ้ายนะครับ นี่คือบ้านขุนพิทักษ์

ซึ่งเป็นอดีตขุนนางคนหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๖ ท่านเป็นบุคคลสำคัญ

มีผลงานในการปราบปรามโจรผู้ร้าย มีชื่อเสียงโด่งดังจนได้รับบรรดาศักดิ์

เป็นขุน ก็เลยเป็นที่มาของชื่อตำบลขุนพิทักษ์แห่งนี้ บ้านของท่านถือเป็น

บ้านหลังแรกที่มุงด้วยกระเบื้องว่าวซึ่งทันสมัยมากในยุคนั้นครับ”

เมื่อได้ยินคำบรรยายของมัคคุเทศก์ สายตาของนักท่องเที่ยวก็มอง

ตามการชี้ชวนทันที บ้านยุคเก่าหลังงามซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้

สร้างความสนอกสนใจให้ใครหลายคน มีเสียงชื่นชมดังไปทั่วพร้อมกับ

การยกกล้องถ่ายภาพขึ้นมาเก็บรูป

“โห! คลาสสิกสุดๆ ไม่น่าเชื่อว่าแถวนี้จะมีบ้านสวยๆ แบบนี้ด้วย”

“แต่ดูท่าจะไม่มีใครอยู่นะเนี่ย สวยๆ แบบนี้...เจ้าของไม่น่าปล่อย

ร้างเอาไว้เลย” เสียงของใครคนหนึ่งบ่นด้วยความเสียดาย

ทุกคำพูด ทุกคำวิจารณ์ในทางที่ดีนั้นสร้างความภาคภูมิใจให้ปรากฏ

บนใบหน้าของสาวสวยในชุดกระโปรงสั้นสีดำทันสมัย จนต้องหันไปส่งยิ้ม

ให้เพื่อนร่วมเดินทางซึ่งมีรสนิยมการแต่งตัวตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

“ผิดไปจากที่พูดหรือเปล่าล่ะมินต์”

สาวผมสั้นหัวเราะอย่างเก้อเขิน ก่อนจะออกตัวว่า “ก็มันไม่น่าเชื่อ

จริงๆ นี่นาว่าบ้านของพราวจะถูกบรรจุอยู่ในโปรแกรมล่องเรือนำเที่ยว

แต่ฉันก็เริ่มสงสัยเหมือนกันว่าทำไมทายาทอย่างเธอถึงปล่อยให้ร้าง

หรือว่ากลัวปลวกแถวนี้จะไม่อิ่ม”

เจ้าของบ้านยิ้มน้อยๆ พลางเหลือบมองไปยังตัวคฤหาสน์ยุคเก่า

สายลมพัดปอยผมลอนสีน้ำตาลอ่อนปลิวมาปรกหน้า เธอจึงดึงแว่นตา

กันแดดขึ้นไปคาดผม เผยให้เห็นโครงหน้ารูปไข่ซึ่งแต่งแต้มสีสันของ

เครื่องสำอางชั้นดีอย่างเหมาะเจาะ ช่วยเสริมให้องค์ประกอบต่างๆ บน

ใบหน้ายิ่งดูสวยจับตา ทั้งเส้นคิ้วที่โค้งลงมายังสันจมูกโด่ง โหนกแก้ม

ซึ่งปัดสีชมพูระเรื่อเช่นเดียวกับปากหยักสวยของเจ้าตัว ทว่าสิ่งที่ดึงดูด

ความสนใจของใครต่อใครมากที่สุดนั้นก็คือดวงตาที่ถูกล้อมด้วยแพ

ขนตาหนา แต้มสีฟ้าและเน้นความกลมโตด้วยอายไลเนอร์จนคมกริบ

แลดูเหมือนผีเสื้อแสนสวยที่มีชีวิตชีวายิ่งนัก

‘พราวพิรุณ’ หรือที่เพื่อนเรียกจนติดปากว่า ‘พราว’ นั้น เป็นผู้หญิง

ที่มีรูปร่างหน้าตาดี บุคลิกสง่างามเป็นธรรมชาติ จับตาผู้คน โดยเฉพาะ

เมื่อสวมชุดกระโปรงด้วยแล้ว ยิ่งหาคนมาเทียบเรื่องความสวยความงาม

ได้ยาก ขนาดคนที่มีนิสัยห้าวๆ ไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องแต่งตัวอย่างรมิตา

ยังอดมองด้วยความชื่นชมไม่ได้ เช่นเดียวกับสายตาของผู้ชายในละแวก

นั้นที่เหลือบมองเธอเป็นตาเดียว แต่เหมือนเจ้าตัวจะจดจ่ออยู่กับบ้าน

หลังงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“ก็ฉันเพิ่งเป็นเจ้าของได้ไม่ถึงสามเดือนนี่นา”

“อ้าว! แล้วก่อนหน้านั้นเป็นของใครกันล่ะ”

“บ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดของคุณย่าใหญ่ซึ่งเป็นลูกสาวคนโต

ของคุณทวดฉัน หรือท่านขุนพิทักษ์วารีที่ไกด์คนเมื่อกี้พูดถึง คุณย่าท่าน

เพิ่งเสียไปเมื่อสี่เดือนก่อนนี่เอง”

“อ้อ...ที่แท้เธอก็เป็นทายาทสายตรงของท่านขุนพิทักษ์นี่เอง มิน่าล่ะ

ถึงได้ใช้นามสกุลพิทักษ์วารี...พราวพิรุณ พิทักษ์วารี”

“ใช่...นามสกุลของบ้านฉันมาจากบรรดาศักดิ์ของท่าน” พราวพิรุณ

พูดพลางดึงสร้อยพระเส้นเล็กๆ ซึ่งสวมออกมาให้เพื่อนดู “พระที่ฉันสวม

ติดคออยู่เนี่ยก็เป็นพระซึ่งคุณทวดสร้างขึ้นตอนแซยิด ด้านหลังจะสลัก

นามสกุลพิทักษ์วารีเอาไว้ด้วย เห็นหรือเปล่า”

รมิตามองพระองค์เล็กๆ ในกรอบสีทองล้อมเพชรด้วยสายตา

ทึ่งจัด “โห...นี่มีพระประจำตระกูลเลยเหรอเนี่ย แสดงว่าแต่ก่อนคุณทวด

ของพราวเนี่ยจะต้องเป็นคนสำคัญของย่านนี้จริงๆ”

“แล้วขอบอกนะ ว่านี่ไม่ใช่พระธรรมดานะ เพราะผ่านพิธีปลุกเสก

ด้วยพระเก้าวัด ขลังสุดๆ ไปเลย” พราวพิรุณโอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจ

ก่อนจะเล่าถึงประวัติของครอบครัวตัวเองต่อไป

“คุณทวดท่านมีลูกสองคน คนโตคือคุณย่าใหญ่เจ้าของบ้านหลังนี้

กับคุณปู่ของฉัน คุณย่าใหญ่ท่านไม่ได้แต่งงานก็เลยเขียนพินัยกรรม

แบ่งสมบัติให้บรรดาหลานๆ พี่แพรได้บ้านของท่านที่อยู่กลางกรุง” น้ำเสียง

ของคนเล่าเจือความน้อยใจอยู่ลึกๆ เมื่อคิดถึงมูลค่าของทรัพย์สินที่ต่างกัน

ลิบลับของพี่สาวคนโต จากนั้นก็เล่าต่อไปว่า “ส่วนฉันก็ได้บ้านหลังนี้

ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอกว่าท่านมีบ้านอยู่ที่นี่ด้วย จนตอนเปิดพินัยกรรม

นั่นแหละ...ก็เลยงงอยู่พักใหญ่ว่าบ้านหลังไหน จะถามคุณปู่ ท่านก็เสียไป

นานแล้ว ดีที่แม่ครัวของฉันเคยอยู่แถวนี้มาก่อนก็เลยพามาถูก พอเห็น

ตัวบ้านจริงๆ ก็เลยรีบโทร.ไปหาเธอทันทีเลยยายมินต์”

คนฟังเกาหัวตัวเองดังแกรกๆ ด้วยความงุนงง “แล้วทำไมต้อง

โทร.หาฉันด้วยล่ะ หรือว่าพราวอยากจะแบ่งสมบัติให้ฉันด้วย”

พราวพิรุณหัวเราะในความขี้เล่นของเพื่อนพลางตีอีกฝ่ายที่ต้นแขน

“จะบ้าเหรอ ก็ฉันเห็นเธอทำงานเป็นสถาปนิก น่าจะชอบบ้านสวยๆ พูดแล้ว

มันเหมือนโม้ใช่ไหมล่ะ จู่ๆ ฉันก็ได้เป็นเจ้าของบ้านสุดคลาสสิกอายุร่วม ร้อยปี

ของแบบนี้สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ฉันก็เลยต้องพามินต์มาพิสูจน์ให้เห็นกันจะจะไปเลย”

ครั้นพอได้ยินดังนั้นคนฟังก็หัวเราะในลำคอ “ไม่ลงทุนไปหน่อยเหรอเพื่อน”

“ก็เพราะคิดจะลงทุนน่ะสิ...” พราวพิรุณทอดเสียงเพื่อหยั่งเชิง ทว่า

อีกฝ่ายไม่มีท่าทางประหลาดใจดังที่คาดเอาไว้เลย

ก็แน่ละ...ถ้ารมิตาไม่ใช่เพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม

ก็คงตกอกตกใจไม่น้อย ทว่าคนอย่างพราวพิรุณก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหน

แต่ไรแล้ว ลองเจ้าหล่อนคิดจะทำอะไรแล้วมักจะดันทุรังสุดกู่ เพราะฉะนั้น

อย่าไปห้ามเสียให้ยาก

“คราวนี้จะทำอะไรอีกล่ะพราว” เสียงคนถามเนือยๆ ชอบกล

จนพราวพิรุณเลิกคิ้ว แล้วก็คิดว่ามันเป็นผลมาจากความร้อนของแดด

ยามบ่ายมากกว่าคำพูดของตัวเอง จึงจูงมือเพื่อนรักมานั่งใต้ร่มกันแดดคันใหญ่

“ฉันว่ามินต์นั่งลงก่อนดีกว่า ท่าทางงานนี้เราคงต้องพูดกันอีกยาว”

เมื่อเรือเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง ไม่นานบ้านขุนพิทักษ์ก็เริ่มไกลสายตา

กระทั่งเรือเลี้ยวโค้งตามลำน้ำ ทุกอย่างตรงนั้นก็พลันลับตาไป ทว่าก่อน

ที่สองสาวจะได้สนทนาถึงเรื่องที่คุยค้างเอาไว้ ชายหนุ่มท่าทางตุ้งติ้งก็

นำเครื่องดื่มมาบริการเสียก่อน โดยที่ทั้งสองไม่ต้องเอ่ยปากแต่ประการใด

“น้ำส้มเย็นเจี๊ยบค่ะคุณพราว คุณมินต์”

“ขอบใจมากนะต้อยติ่ง แหม กำลังคอแห้งอยู่พอดี”

“ยังรู้ใจนายเหมือนเดิมนะต้อยติ่ง” รมิตาหันไปทักคนสนิทของเพื่อน

“ไม่ได้รู้แค่ใจหรอกค่ะ อย่างต้อยติ่งเนี่ย เขาเรียกว่ารู้ลึกไปถึง

ไส้ติ่งต่างหาก ขนาดคุณพราวจะเข้าห้องน้ำเวลาไหน ต้อยติ่งยังรู้เลย”

ต้อยติ่งอวดพลางรีบขยับหนีฝ่ามือของเจ้านายอย่างฉิวเฉียด

“รู้มากจริงๆ...” คนเป็นนายส่ายหน้าด้วยความระอา

“จะไปไหนก็ไปไป๊” ต้อยติ่งต่อประโยคให้จบ ก่อนขยับตัวออกห่างด้วยท่าทางทะเล้น

รมิตาระเบิดหัวเราะเสียงดัง ทั้งขำทั้งหมั่นไส้ชายร่างเล็กแทนเพื่อน

จากนั้นก็ดึงบทสนทนากลับเข้าเรื่อง

“เรามาคุยเรื่องนั้นให้จบก่อนดีกว่า พราวกำลังคิดจะทำอะไรเหรอ”

“ความจริงที่ฉันพาเธอมาที่นี่ไม่ได้แค่อยากจะโชว์บ้านหรอกนะ แต่

มีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษาต่างหาก”

สาวผมสั้นหุบยิ้มทันควัน รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาด น้ำเสียง

อ้อนๆ แบบนี้แหละที่มักจะนำเรื่องปวดหัวมาให้เสมอ

“ฉันอยากทำรีสอร์ตน่ะมินต์ ฉันอยากจะแปลงบ้านหลังนั้นให้เป็น

บูติกรีสอร์ตแบบเก๋ๆ”

คนฟังแทบจะสำลักน้ำที่เพิ่งยกดื่มเข้าไป พลางมองหน้าเพื่อนเพื่อ

จะถามให้แน่ใจอีกครั้ง ครั้นพออีกฝ่ายพยักหน้ารับก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

“เรื่องใหญ่นะพราว ทั้งเรื่องของเงินทุน เรื่องของการบริหารงาน

ไหนจะเรื่องคนงานอีก บอกตามตรง ฉันว่าพราวยังเด็กไปสำหรับงานใหญ่

ขนาดนี้ อันนี้ขอเตือนด้วยความหวังดีสุดๆ”

“ฉันนึกว่ามินต์จะเห็นดีเห็นงามด้วยเสียอีก” พราวพิรุณบ่นอุบอิบ

ด้วยความผิดหวัง แล้วพยายามพูดชักจูงเพื่อนรักอีกครั้ง “ไม่เอาน่ามินต์

เธอก็เห็นว่าบ้านหลังนั้นแจ่มแค่ไหน ตอนฉันมาดูครั้งแรกนะ บอกตามตรง

ว่าในหัวฉันเห็นภาพแบงก์เรียงบนพื้นเต็มไปหมด มองไปตรงไหนก็เห็นแต่

โอกาสทำเงิน ฉันจะเนรมิตที่นั่นให้กลับไปในยุครัชกาลที่ ๖ เพื่อให้แขก

ที่มาพักได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดโรแมนติกในสมัยนั้น เก๋จะตาย”

“ใช่...จะตายตั้งแต่ตอนคิดแล้วแหละ ของแบบนี้มันไม่ใช่แค่จะมา

นั่งจินตนาการว่าธุรกิจของฉันจะไปได้ด้วยดี ฉันจะเอาแบบนั้นจะเอา

แบบนี้นะพราว ถ้าจะทำจริงๆ งั้นขอถามหน่อย พราวมีแผนธุรกิจแล้วเหรอ

เงินทุนล่ะ พราวจะเอามาจากไหน ถ้าจำไม่ผิดพ่อของพราวประกาศว่าจะ

ให้เงินทุนตอนขอทำร้านกาแฟนั่นเป็นครั้งสุดท้ายนี่นา ถึงพราวจะเซ้งมัน

ให้คนอื่น ได้เงินคืนกลับมาบางส่วน แต่มันพอสำหรับโมเดลธุรกิจขนาดนี้เหรอ”

พราวพิรุณหน้างอทันที เพราะชินกับการตามใจมากกว่าถูกคัดค้าน

พอโดนเพื่อนเบรกความคิดสุดบรรเจิดจึงโพล่งออกมาเสียงแหลมว่า

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง คนอย่างฉันมีหัวคิดพอ”

“ฉันเป็นห่วงนะพราว ถ้าไม่หวังดีจริงก็คงยุส่งเดช ปล่อยให้ลุยดุ่มๆ

ไปแล้ว จะเจ๊งหรือรุ่งก็ช่างหัวมัน แต่ฉันไม่อยากเห็นพราวเจ็บปวดอีก ถึงได้

ห้าม” รมิตารีบออกตัวเมื่อเห็นท่าทีของเพื่อน

“ตอนร้านกาแฟ ฉันพลาดเพราะว่ายังอ่อนประสบการณ์ แต่ตอนนี้

ฉันโตขึ้นมาก ทำอะไรรอบคอบกว่าเดิมเยอะ ที่สำคัญฉันทำแผนการลงทุน

ไปคุยกับทางธนาคารมาแล้ว เขายังบอกเลยว่าน่าสนใจ แถมยังเสนอเงินกู้ก้อนโตให้ด้วย”

“เฮ้ย! นี่อย่าบอกนะว่าพราวจะกู้เงินมาลงทุน” รมิตายิ่งฟังก็ยิ่งปวด ขมับ

ใช่...ฉันตัดสินใจแล้ว จะใช้บ้านและที่ดินของคุณย่าใหญ่ค้ำประกัน

เพื่อเอาเงินมาลงทุนทำรีสอร์ต” พราวพิรุณประกาศอย่างมาดมั่น

“แล้วนี่พราวปรึกษาคุณพ่อคุณแม่หรือยัง”

“พวกท่านก็ไม่เห็นด้วยตามเคย เพราะมองว่าฉันไม่เก่งเหมือนพี่แพร

แต่ถึงอย่างไรฉันก็จะทำ เพื่อพิสูจน์ว่าคนอย่างฉันไม่ได้แค่สวยอย่างเดียว

แต่ยังมีความสามารถไม่แพ้ลูกรักของพวกท่านอีกด้วย”

รมิตาอ้าปากค้าง นึกในใจว่าขนาดพ่อแม่ห้ามแล้วยังไม่ฟัง แล้วใคร

หน้าไหนจะมีปัญญาคัดค้านความคิดในการสร้างรีสอร์ตของเพื่อนรักได้

“คนอย่างฉัน ถ้าคิดจะทำอะไรแล้วไม่มีวันถอยเด็ดขาด เพราะ

ฉะนั้น...” คนพูดดึงมืออีกฝ่ายมากุมไว้แน่น “ฉันก็เลยอยากจะมีใครสักคน

คอยสนับสนุน เป็นกำลังใจ โดยเฉพาะเพื่อนรักอย่างเธอนะมินต์”

“ถ้าลาออกจากตำแหน่งนี้ยังทันหรือเปล่า”

“ไม่เอาน่ามินต์ ไหนเคยสัญญาว่าเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปไง”

“นี่ยายพราว มั่นใจขนาดนี้แล้วจะมาหาคนสนับสนุนอีกทำไมมิทราบ”

“อย่าเอาแต่ต่อต้านสิ ลองฟังแผนธุรกิจของฉันก่อน แล้วค่อยติก็ยัง

ไม่สาย” พราวพิรุณปิดทางหนีของเพื่อนด้วยการจับอีกฝ่ายฟังบรรยาย

แผนธุรกิจอย่างละเอียดทันที โดยไม่สนใจไยดีกับสีหน้าของอีกฝ่ายที่บ่งบอกว่ากำลังเซ็งสุดๆ

 

แม้ว่าเรือนำเที่ยวจะพาผู้โดยสารกลับมาส่งที่ท่าเรือแล้ว แต่การ

สนทนาของสองสาวก็ยังไม่จบลงง่ายๆ หลังจากพราวพิรุณพยายาม

โน้มน้าวใจเพื่อนรักจนเกือบจะกลายเป็นการสะกดจิต ในที่สุดรมิตาเริ่ม

จะเห็นดีเห็นงามด้วย ที่จริงความคิดในการทำรีสอร์ตของพราวพิรุณ

ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาด ด้วยวาทศิลป์ระดับแชมป์โต้วาทีสมัยเรียน...

ภาพของรีสอร์ตซึ่งเจ้าตัวตั้งชื่อไว้อย่างสวยหรูว่า ‘วิมาน’ ก็เริ่มบรรเจิดขึ้น

          (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

พราวพิรุณ สาวหน้าใสผู้เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ เธอไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงที่สวย รวย เก่ง แบบเธอ ทำไมถึงทำธุรกิจเจ๊ง เมื่อได้รับมรดกเป็นบ้านโบราณหลังหนึ่ง เธอจึงคิดจะสร้างรีสอร์ตเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง หญิงสาวไปสำรวจพื้นที่ แต่ขากลับได้พบบ้านโบราณอีกหลัง เธอถูกใจและติดต่อขอซื้อมาได้สำเร็จ ไม่นึกเลยว่าบ้านหลังนี้จะนำความวุ่นวายมาให้ ธีรธรรศ ช่างภาพหนุ่มชื่อดัง เขากลับมาจากไปทำงานที่ต่างประเทศแล้วก็ต้องช็อกเมื่อพบว่าบ้านของเขาหายไป! น้องชายตัวดีสวมรอยเป็นเขาหลอกขายบ้าน เมื่อไปทวงบ้านคืน ปรากฏว่าบ้านของเขาเก่าเกินกว่าจะเคลื่อนย้ายกลับไปไว้ที่เดิมได้ เขาจึงจำใจตอบตกลงเป็นหุ้นส่วนรีสอร์ตกับเธอ ขุนพิทักษ์กับหลวงชำนาญวานิช วิญญาณเจ้าของบ้านทั้งสองหลังนั้นเป็นอริกันมาก่อน ทั้งคนทั้งผีจึงวุ่น เพราะต่างไม่มีใครยอมใคร ศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างสองตระกูลเริ่มต้นขึ้นแล้ว!


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024