ภาพพราย (ธารใส)

ภาพพราย (ธารใส)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160013814
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 240.00 บาท 60.00 บาท
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

กุสุมภ์ยืนอยู่หน้าประตูรั้วไม้สีเทาหม่นและมองอย่างพินิจ มันสูง

เพียงหน้าอกของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเช่นเขา ล้อมกรอบด้วยชมนาดต้นใหญ่

เลื้อยพันกับซุ้มไม้ระแนงเหนือบานประตูให้ร่มเงาพร้อมส่งกลิ่นหอมในคราว

เดียวกัน เขาดูบ้านเลขที่ให้แน่ใจว่ามาถูกหลัง ก่อนก้าวไปหยุดยืนหน้าประตู

เล็กด้านขวาซึ่งมีแม่กุญแจใหญ่คล้องอยู่ และใช้กุญแจในมือไขให้หลุดจากพันธนาการ

เมื่อแรกย่างก้าวเข้าไปภายในอาณาเขต ‘บ้านริมน้ำ’ ชายหนุ่มก็รู้สึก

ถึงแรงลมเย็นเยือกจนทำให้ขนลุกชันขึ้นมาวูบหนึ่ง เขาหันมองโดยรอบทว่า

ไม่เห็นใบไม้สักใบกระดิกไหว จึงขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัยเมื่อรู้สึก

ไม่ชอบมาพากล แต่แล้วก็ให้เหตุผลแก่ตัวเองว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ

เจ้าพระยา จะมีลมเย็นพัดมาบ้างก็คงไม่แปลก เขาต่างหากที่เห็นแปลกที่

แปลกทางเลยระแวงไปก่อน

ที่นี่เป็นบ้านเก่าของตา จะมีอะไรผิดแปลกได้อย่างไรกัน

ชายหนุ่มได้รับบ้านหลังนี้มาเป็นมรดก ถ้าจะพูดให้ถูกคือมารดาเขา

เป็นผู้ได้รับ แต่หลังจากนั้นท่านก็โอนบ้านริมน้ำให้เป็นชื่อเขาทันที พร้อมกับ

บอกว่ายกให้เขาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับอสังหาริมทรัพย์หลังนี้ กุสุมภ์

จึงตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องการที่อาศัยยามเริ่มต้น

ทำงานใหม่อยู่แล้ว

ตอนนั้นเขาแจ้งความประสงค์ และขอให้มารดาย้ายจากจังหวัดทาง

ภาคใต้มาอยู่ด้วยกันในกรุงเทพฯ แต่นวลจันทร์ปฏิเสธบุตรชาย

‘ก้องไปเถอะ หนุ่มๆ วัยนี้คงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า จะให้แม่

ไปอยู่เป็นภาระทำไม ขออยู่ทำไร่ทำสวนดีกว่า’

‘โธ่...ทำไมแม่พูดอย่างนั้นล่ะครับ ผมเคยเห็นแม่เป็นภาระที่ไหนกัน

อีกอย่าง...แม่เป็นคุณนายสวนต่างหาก ไม่ต้องทำสวนเองเสียหน่อย ย้ายไป

ก็ยังมีคนงานอยู่นี่ครับ’

‘กลัวไปอยู่ด้วยแล้วคร้านจะเสียใจ พาสาวๆ มาเยี่ยมบ้านไม่ได้น่ะสิ’

ผู้เป็นมารดาแกล้งเย้า

‘แม่เห็นผมเป็นเพลย์บอยไปได้’ เขาตัดพ้อ ‘สัญญาเลยว่าถ้าจะพา

ผู้หญิงเข้าบ้าน ผมจะพามาให้แม่รู้จักก่อน’

“ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก แม่ก็พูดดักคอไปอย่างนั้นแหละ

เห็นหนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้เขาไม่ถือกันแล้วไม่ใช่หรือ เพื่อนฝูงไปมาหาสู่กัน

ไม่แปลกอะไร แต่พวกค่านิยมแบบฝรั่งที่ก้องไปคลุกคลีอยู่ด้วยน่ะก็ไม่ไหว

แม่ขออย่างเดียวว่าอย่าเลือกผู้หญิงเปรี้ยวเข็ดฟันนักก็แล้วกัน”

‘แม่พูดเหมือนเดาใจถูก นั่นก็ไม่ใช่สเปกผมเหมือนกัน’

แวบหนึ่งเขานึกถึงหญิงสาวที่เคยคบหา ทว่ากลายเป็นอดีตของกัน

และกันไปเสียแล้ว หล่อน ‘เปรี้ยวเข็ดฟัน’ อย่างที่มารดาจำกัดความเอาไว้

ไม่น้อย ทำให้เขากับหล่อนไม่อาจเดินทางเดียวกันได้ตลอดรอดฝั่ง

ขายาวๆ ก้าวผ่านสวนขนาดย่อมอันแสนร่มรื่นด้วยแมกไม้ใหญ่น้อย

จนไปถึงเรือนไม้หลังเก่าซึ่งสีซีดจางตามกาลเวลา ทว่าสภาพยังสมบูรณ์ดีอยู่

เรือนหลังนี้มีขนาดกะทัดรัด สมกับที่มารดาเล่าให้ฟังว่าเคยเป็นบ้านพัก

ของตายายผู้ล่วงลับ ก่อนจะย้ายไปปลูกบ้านหลังใหญ่กว่าเมื่อครอบครัว

ขยายขึ้น และกว่าจะกลับมาอาศัยอีกครั้งก็เมื่อยายจากไป เหลือตาเพียงคนเดียว

‘ทำไมผมถึงไม่เคยไปเยี่ยมคุณตาที่นั่นมาก่อนเลยล่ะครับ’ เขาถามมารดา

‘บ้านริมน้ำปิดไว้นานจนสมาชิกในครอบครัวแทบจะลืมไปหมดแล้ว

จนกระทั่งคุณตาบอกว่าจะย้ายกลับไปอยู่ที่นั่นแม่กับลุงทิตย์ถึงนึกได้

ตอนเด็กแม่กับลุงก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นเหมือนกัน ยังค้านกันอยู่เลยว่าบ้านเก่า

ขนาดนั้นขายไปเสียดีกว่า แต่คุณตาบอกว่าท่านยังรักษาไว้เป็นอย่างดี มา

ตอนนี้แม่ว่าก็ดีเหมือนกัน บ้านทำเลริมน้ำหาไม่ได้ง่ายๆ แล้วละ’

เขาเห็นด้วยกับมารดา ยังนึกขอบคุณที่ไม่มีใครในครอบครัวขายไป

จริงๆ ไม่อย่างนั้นการหาที่พักในกรุงเทพฯ อาจจะยากขึ้นอีก ด้วยราคาที่ดิน

ถีบตัวสูง บ้านราคาเหมาะสมก็อยู่ค่อนไปทางชานเมือง กว่าจะฝ่ารถติด

มาถึงที่ทำงานกลางใจเมืองได้คงกินเวลาไม่น้อย เหนื่อยทั้งกายและใจเปล่าๆ

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจย้ายมาอาศัยอยู่ก่อนวันเริ่มงานใหม่หนึ่งสัปดาห์

 

ภายในบ้านจัดแปลนง่ายๆ นอกจากโถงกว้างและห้องนอนซึ่งกั้นด้วย

ผนังไม้ยาวจนสุดด้านขวาแล้ว ด้านซ้ายยังมีประตูบานเล็กเชื่อมต่อไปยังส่วน

ครัวนอก และมีห้องน้ำซึ่งต่อเติมอยู่ภายนอกของเรือนหลัก มีเฟอร์นิเจอร์

ไม้รูปทรงเรียบๆ ไม่กี่ชิ้น บ่งบอกว่าผู้เป็นเจ้าของอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่มี

ข้าวของมากเกินจำเป็นอย่างคนสมัยปัจจุบัน

เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนเป็นอันดับแรก และเปิดหน้าต่างออก

เพื่อมองวิวสวน เห็นแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่แค่เอื้อม ลมเบาๆ พัดกระทบใบหน้า

ให้ความรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลายจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว กุสุมภ์จำได้ว่า

มารดาบอกว่าบ้านหลังนี้ปิดเอาไว้ตั้งแต่ตาเสียชีวิตไปเมื่อเกือบครึ่งปีก่อน

ทว่าไม่มีกลิ่นอับเลยแม้แต่น้อย สภาพก็ยังดีมาก โดยรวมแล้วเขาแทบ

ไม่ต้องเหนื่อยแรงซ่อมแซมอะไร นอกจากหาซื้อของจำเป็นเพิ่มเติมเท่านั้น

จากตรงนี้เขามองเห็นศาลาไม้เล็กๆ ตั้งอยู่ริมน้ำเยื้องจากบานหน้าต่าง

ไปทางซ้าย ชายหนุ่มมองอย่างสนใจ แล้วเดินออกจากบ้านตรงไปยังศาลานั้น

รูปลักษณ์ของมันออกจะแปลกกว่าศาลาริมน้ำที่เขาเคยเห็น ซึ่งมัก

มีบันไดทอดลงไปยังแม่น้ำหรือลำคลองเพื่อให้คนขึ้นลงสะดวกเมื่อเรือ

จอดเทียบ ทว่าศาลาของบ้านริมน้ำหลังนี้ไม่มีบันไดพาด มีเพียงตัวศาลา

สร้างอย่างง่ายๆ ตั้งอยู่ริมตลิ่ง อาจเพราะมันผุพังไปตามกาลเวลาและตาไม่

เห็นความจำเป็นต้องซ่อมแซม หรือจงใจไม่ให้มีบันไดแต่แรกแล้วก็เป็นได้

กุสุมภ์ไม่ใส่ใจ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะเดินทางด้วยเรือ จะมีบันได

หรือไม่ถือว่าไม่สำคัญสำหรับเขา สิ่งที่น่าสนใจอย่างเดียวคือชายหนุ่มคิดว่า

มันเป็นทำเลที่ดี เหมาะสำหรับผูกเปลญวน นอนเล่นพักผ่อนในวันหยุด หรือ

ทำความสะอาดเช็ดถูเสียหน่อย แล้วล้มตัวลงนอนบนพื้นกระดานเสียเลย

ก็น่าจะสบายไม่น้อย

กว่าเขาจะย้ายข้าวของมาไว้ที่บ้านใหม่เสร็จก็ปาเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ

ชายหนุ่มเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวไว้ในห้องนอนเก่าของตา และซื้อ

อาหารสำเร็จรูปง่ายๆ มากักตุนไว้ ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นอย่างตู้เย็น

พัดลม และอื่นๆ จะตามมาส่งในวันรุ่งขึ้น เท่ากับว่าคืนนี้เขาต้องนอน

ท่ามกลางธรรมชาติ โชคดีที่ไม่ถึงกับร้อนด้วยมีลมพัดมาเป็นระยะ แต่

สำหรับคนที่ชินกับเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำมาตลอดอย่างเขาก็อดรู้สึกไม่

สบายตัวไม่ได้ กุสุมภ์บอกตัวเองว่าไม่นานก็ชิน กระนั้นก็จดไว้ในใจว่าคง

ต้องหามาใช้สักเครื่อง เผื่อวันที่อากาศร้อนกว่านี้

ยังมีอีกหลายอย่างต้องปรับปรุงในเรือนริมน้ำ เพื่อให้มันเป็น ‘บ้าน’

ของเขาอย่างแท้จริง

“เป็นยังไงบ้าง พออยู่ได้ไหม” มารดาถามมาตามสาย เมื่อเขาโทรศัพท์

ไปรายงานว่าถึงบ้านริมน้ำอย่างปลอดภัยในเช้าวันต่อมา

“สบายมากครับ บ้านยังสภาพดีอยู่เลย ไม่น่าเชื่อว่าสร้างมานานแล้ว

แถมยังเป็นไม้ทั้งหมด”

“คุณตาท่านรักษาเป็นอย่างดี ท่านรักของท่านมาก” มารดาว่า “ก้อง

อย่าลืมไหว้ศาลพระภูมิด้วยนะลูก แม่จำได้ว่ามีศาลอยู่ในสวน จุดธูป

บอกกล่าวท่านเสียหน่อยว่าก้องจะมาอยู่ ขอให้ช่วยปกปักรักษา”

“ช้าไปหรือเปล่าครับ ผมเข้ามาอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ” เขาเย้า

“ก็ทำเสียหน่อยเพื่อความสบายใจ รู้หรอกว่าคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยเชื่อ

เรื่องพรรค์นี้ แต่แม่ว่าทำไปก็ไม่เสียหลาย อีกหน่อยก็อัญเชิญพระเข้าบ้าน

ด้วย จะได้ร่มเย็นเป็นสุข”

“ครับ” เขารับคำแล้วถาม “แม่จะขึ้นมากรุงเทพฯ หรือเปล่าครับ”

“คงยังหรอก ทางนี้วุ่นๆ อยู่ ไว้ให้ก้องลงตัวเมื่อไหร่แม่ค่อยขึ้นไปเยี่ยม”

“ตกลงครับ”

“อยู่คนเดียวก็อย่าลืมนะ ไหว้พระไหว้เจ้าเสียบ้าง”

“แม่พูดเหมือนแถวนี้ผีดุ” เขาพูดแกมหัวเราะ

“ไฮ้! พูดเป็นเรื่องเล่นไปได้ แม่ก็พูดเผื่อๆ เอาไว้ ขึ้นบ้านใหม่เรา

ก็ทำให้เป็นสิริมงคลไงก้อง ถือว่าเป็นฤกษ์ดีสำหรับการเริ่มต้นใหม่”

“คร้าบ” เขาลากเสียง มารดาคงรู้ว่าถูกบุตรชายล้อจึงทำเสียงขึ้นจมูก

“เอาเถอะ ไม่เชื่อก็แล้วไป ยังไงผีก็ไม่น่ากลัวเท่าคน เสียรู้โดนคน

หลอกน่าเจ็บใจกว่าโดนผีหลอก!” มารดาว่าทิ้งท้ายก่อนวางสาย

พนักงานนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เขาสั่งซื้อไว้มาส่งในช่วงบ่าย กุสุมภ์รู้สึก

เพลียจึงเปลี่ยนบรรยากาศโดยเอาหนังสือไปนั่งอ่านเล่นที่ศาลาริมน้ำซึ่ง

เช็ดถูเรียบร้อยแล้ว เขายังไม่มีเวลาไปหาซื้อเปลญวนหรือเก้าอี้พับจึงอาศัย

เสาด้านหนึ่งเป็นพนักพิง นั่งอ่านไปได้ครู่ใหญ่ชายหนุ่มก็รู้สึกเคลิ้ม และ

ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ระหว่างนั้นเขายังได้ยินเสียงลมพัด เสียงน้ำกระทบฝั่ง กระทั่งเสียง

เรือสัญจรไปมา แดดจ้าส่องกระทบผืนน้ำสะท้อนมาทำให้เขารู้สึกระคายตา

ชายหนุ่มขมวดคิ้วหนาเข้าหากัน รู้สึกเหมือนยกมือขึ้นโบกไล่แสงราวกับมัน

มีตัวตนจับต้องได้ ทันใดเขาก็เห็นหญิงสาวคนนั้น...

ใบหน้าหวานบริสุทธิ์ผุดผ่อง ผิวขาวราวหยวกกล้วย เธอหันข้างให้

ชายหนุ่ม ทว่าเพียงชั่ววินาทีต่อมาเธอก็หันหน้ามาทางเขา...

ดวงตากลมโตมีประกายวาววับยามทั้งสองสบตากัน ริมฝีปากรูป

กระจับสีระเรื่อเผยอยิ้มน้อยๆ กุสุมภ์เห็นกระทั่งว่าเธอยกมือเรียวบางขึ้นจับ

ปอยผมยาวดำสนิททัดหู ก่อนหันหน้ากลับไป ปล่อยให้เขาได้ชื่นชมแค่ไม่นาน

เขาประทับใจเมื่อเห็นดวงหน้านั้นเหลือเกิน ราวกับต้องมนตร์สะกด

ให้ไม่อาจละสายตาได้ ร่างสั่นสะท้าน หัวใจเต้นถี่เร็ว แขนขามีอาการหมด

เรี่ยวแรงเอาดื้อๆ จนเผลอปล่อยมือจากหนังสือ สันของมันกระทบพื้นไม้

จนเกิดเสียงดัง ทำให้กุสุมภ์สะดุ้งเฮือก หันมองรอบตัวอย่างมึนงง

พอรู้ตัวเขาก็รีบลุกไปชะเง้อมองริมน้ำ ทว่าไม่เห็นวี่แววของเรือลำไหน

ในบริเวณใกล้เคียง จนเขาชักสงสัยว่าเมื่อครู่ฝันไปหรือเปล่า

มีหญิงสาวใบหน้างดงามราวนางในวรรณคดีที่ติดตรึงในความทรงจำ

ตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ หรือว่าเขาฝันเป็นตุเป็นตะกันแน่

ชายหนุ่มไม่เสียเวลาคิด เขารีบกลับเข้าบ้านริมน้ำ คว้ากระดาษมา

ร่างภาพใบหน้าหญิงสาวคนนั้นทันที ทว่าพอร่างมาถึงส่วนของศีรษะ เขากลับ

วาดให้นางสวมศิราภรณ์คือรัดเกล้ายอดกับกรรเจียกจอน ลงรายละเอียด

ลวดลายแปลกตาโดยแต่งแต้มตามจินตนาการของตน พ้นจากลำคอระหง

ก็วาดให้นางนุ่งห่มผ้าแถบ เห็นเอวคอด เขาตั้งใจจะวาดให้เห็นพัสตราภรณ์

ยาวชักชายเบื้องหน้าซ้ายขวา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ร่างแขนเรียวได้รูปแล้วให้

หญิงสาวเอามือประสานกันแทน

หลังจากร่างภาพคร่าวๆ เสร็จนั่นเอง กุสุมภ์ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเวลา

ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ฟ้ามืดจนมองเห็นพระจันทร์ข้างแรมส่องสว่าง ท้อง

เริ่มร้องประท้วงเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่กลางวัน ชายหนุ่มจึงยอม

ละมือและหาอะไรใส่ท้อง

มื้อที่สองของวันยังคงเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับอาหารกระป๋อง เขา

อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ เมื่อนึกได้ว่ามารดากำชับนักหนาว่าให้เขากินอาหาร

มีประโยชน์ เห็นทีหลังจากนี้เขาควรออกไปจับจ่ายของสดมาติดบ้านไว้บ้าง

เพราะใช่ว่าตนจะชอบอาหารจานด่วนทำง่ายพวกนี้นัก

ระหว่างตักอาหารเข้าปาก เขาก็อดมองไปทางโต๊ะกาแฟตัวเล็กที่ตั้ง

อยู่ชิดหน้าต่างไม่ได้ ภาพร่างนางในฝันของเขาอยู่ตรงนั้น และดูเหมือน

จะดึงดูดความคิดคำนึงของเขาให้เข้าหาอยู่ตลอดเวลา

จนบัดนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าหญิงสาวผู้มีใบหน้าอ่อนหวานมีตัวตนจริง

หรือไม่ ตอนนั้นเขาอยู่ในภาวะเคลิ้มฝัน ครึ่งหลับครึ่งตื่น จนยากจะบอกได้

ว่าเป็นเพียงแค่จินตนาการหรือเขาเห็นเธอจริงๆ และที่สำคัญ...ภาพที่เขาร่าง

ออกมานั้น ดูอย่างไรก็ไม่อาจเป็นหญิงสาวในยุคปัจจุบันได้แน่ๆ

กุสุมภ์ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดตนจึงเลือกวาดอาภรณ์และ

เครื่องประดับตามแบบโบราณให้แก่สาวงามในภาพฝันนั้น อาจเป็นได้ว่า

ยามแรกเห็นใบหน้าหวานแล้วชวนให้นึกถึงนางในวรรณคดี เมื่อนำภาพที่

ติดตรึงใจนั้นมาถ่ายทอดเป็นรูปวาด เขาจึงแต่งแต้มให้หญิงสาวกลายเป็น

หญิงไทยโบราณเสียเลย ทว่าถึงจะเป็นเหตุผลนั้น แต่เขากลับรู้สึกว่าถนิม

พิมพาภรณ์แบบนี้เหมาะกับเธอไม่น้อย

ย่างเข้าช่วงดึก ในที่สุดกุสุมภ์ก็ร่างภาพเสร็จสิ้น เขาตั้งใจว่าจะไม่หยุด

เพียงเท่านี้ จะวาดภาพหญิงสาวบนเฟรมผ้าใบแล้วลงสีให้เรียบร้อย เพื่อให้

เธอ ‘มีชีวิต’ อย่างน้อยก็บนผืนผ้าใบ แม้จะมาจากพู่กันของนักวาด

มือสมัครเล่นอย่างเขาก็ตาม

ชายหนุ่มหยิบผ้าขาวผืนบางมาคลุมภาพร่างเอาไว้ ตั้งใจว่าจะใช้เวลา

ว่างเท่าที่มีอยู่วาดภาพนี้ให้เสร็จในเร็ววัน

 

แม้จะมีความตั้งใจอย่างแรงกล้า แต่หลายวันต่อมากุสุมภ์ก็ยังไม่ได้

ลอกลายภาพลงบนผืนผ้าใบอย่างที่ตั้งใจเอาไว้เสียที เขาจำเป็นต้องจัดการ

เรื่องบ้านให้พร้อมอยู่อาศัยในระยะยาวเสียก่อน อีกทั้งมารดาก็มาเยี่ยม

ในช่วงสั้นๆ โดยบอกว่ามาดูแลความเรียบร้อย

“แม่จะมาก็ไม่ยอมบอกก่อน ผมจะได้ไปรับที่สนามบิน” เขาบอกขณะ

พามารดาเข้าในบริเวณบ้าน

“ไม่อยากรบกวน อีกอย่างแม่ติดรถคนรู้จักมา เขาจะขึ้นกรุงเทพฯ

พอดี เห็นว่าแค่วันเดียว เดี๋ยวก็เจอกันแล้ว เลยไม่อยากโทร.”

“นึกว่าแม่อยากเซอร์ไพรส์ผมซะอีก” เขาเย้า

“แก่ป่านนี้ เล่นอะไรแบบเด็กๆ ไม่เป็นแล้วละก้อง” ผู้เป็นมารดา

หัวเราะ “ความจริงแม่ตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมคนรู้จักสักหน่อย นานๆ ขึ้นมาที”

“ผมพาแม่ไปนะครับ แต่ตอนนี้แม่เข้าบ้านก่อนดีกว่า มา...ผมถือกระเป๋าให้”

“ขอบใจจ้ะ” มารดายิ้มรับพลางมองไปรอบๆ ขณะก้าวขึ้นไปบนเรือนไม้

“ยังร่มรื่นเหมือนเดิม คุณตาดูแลรักษาบ้านนี้ได้ดีจริงๆ”

“แม่ไม่เคยมาอีกเลยหรือครับ”

“มาแค่ครั้งเดียว ตอนที่คุณตาเราเขาย้ายมาอยู่นั่นละ มากับลุงทิตย์

แล้วก็ไม่ได้มาอีกเลย”

“ข้างในสภาพยังดีมากครับ ไม่เก่า ไม่โทรม น้ำไฟก็ยังมีครบ”

“แม่ให้ลุงทิตย์ช่วยจัดการให้น่ะ คิดว่าไม่แน่ก้องอาจได้ใช้”

“มองการณ์ไกลมากเลยครับ ผมได้มาอยู่จริงๆ ด้วย”

“เพราะแม่คิดว่าก้องคงไม่ไปอยู่ต่างจังหวัดหรอก เรียนจบมาจาก

เมืองนอก ยังไงก็คงอยากทำงานอย่างที่ตัวเองชอบมากกว่าไปทำไร่ทำสวน”

“ไม่แน่อายุมากกว่านี้ผมอาจกลับไปช่วยแม่ก็ได้นะครับ ใครๆ เขาก็

                     (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

จากคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ กลับต้องเปลี่ยนความคิดหลังจากวาดภาพภาพหนึ่งเสร็จ เพราะหญิงสาวที่มีหน้าตาเหมือนนางในฝันของเขาปรากฏตัวถึงสองคน หนึ่งคือวิญญาณที่รอการปลดปล่อย...อีกหนึ่งคือหญิงสาวที่มีเลือดเนื้อ ซ้ำยังเป็นหลานสาวเจ้านาย หลังจากวาดภาพหญิงสาวที่สวยงามราวกับนางในวรรณคดีเสร็จ กุสุมภ์ ก็ได้พบกับวิญญาณของหญิงสาวที่มีใบหน้าและการแต่งกายแบบในภาพวาดไม่ผิดเพี้ยน ซ้ำเธอยังบอกว่าเคยเป็นชายาของเขาในอดีตชาติ และมีนามว่า อุรวศีขณะที่ภาพในอดีตค่อยๆ ฉายชัด เขากลับได้พบกับหญิงสาวที่เหมือนอุรวศีราวกับฝาแฝดชื่อ วาสิตาพวกเธอทำให้เขาสับสนว่าใครกันแน่คือนางในฝันที่ทำให้เขาวาดภาพนั้นขึ้นมาทว่า...กว่าจะรู้คำตอบก็เกือบสายไป


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (95 รายการ)

www.batorastore.com © 2024