นวนิยายชุด แด่...เธอที่รัก : อบูซิมเบล...ตราบดินสิ้นกาล (ชมจันทร์)
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )
มีสินค้ามือสองอยู่จำนวน : 2 รายการราคา 120.00 บาท - 120.00 บาท ซื้อสินค้ามือสอง
Quick View
เนื้อหาบางส่วน
ปาฏิหาริย์แห่งผืนทราย
แค่ฝันไป!?
หญิงสาวผวาตื่นจากนิทรา ยกมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวทั่ว
ใบหน้า มือข้างหนึ่งกำแผ่นไม้ขนาดครึ่งฝ่ามือที่วางไว้บนตักแน่นด้วยความ
รู้สึกหวาดหวั่นตื่นกลัว เพราะความเจ็บปวดที่ได้รับจากในความฝันเมื่อครู่
ยังคงค้างอยู่ทั่วทุกอณู ร่างกายเธอจึงสั่นสะท้านราวกับเจ้าเข้าเช่นนี้ กระทั่ง
พนักงานผู้คอยดูแลผู้โดยสารบนเครื่องบินเดินตรงเข้ามาถามเป็นภาษา
อังกฤษสำเนียงยุโรปด้วยความห่วงใย หญิงสาวจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“เป็นอะไรรึเปล่าคะมิส”
อารียาส่ายศีรษะช้าๆ ก่อนตอบกลับไปภาษาเดียวกันว่า “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
ทว่าสีหน้าของเธอคงดูไม่ค่อยสดชื่นนัก หรือไม่ก็เป็นเพราะเสียง
กรีดร้องที่เผลอหลุดออกมาตอนละเมอ ทำให้คนรอบข้างหันมามองเธอเป็น
จุดเดียวกัน รวมถึงแอร์โฮสเตสสาวที่ยังคงยืนปักหลักย้ำถาม
“จะรับกาแฟร้อนๆ สักแก้วไหมคะ อาจจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น”
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไรดีกว่า”
อารียายืนยันคำพูดด้วยการหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็ก
ใบหน้าคมสวยเฉกเช่นคนที่มีเชื้อสายอาหรับผสมค่อนข้างเครียด ขณะมอง
ก้อนเมฆสีขาวที่เกาะกลุ่มรวมตัวกันอยู่ เธอไม่อาจจินตนาการเป็นรูปร่าง
ต่างๆ ได้เหมือนเคยอย่างที่ชอบทำเวลาเดินทาง เพราะในหัวตอนนี้มีแต่
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพียงเท่านั้น
ก่อนหน้าที่เธอจะมานั่งอยู่บนเครื่องบินซึ่งแวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศ
ฝรั่งเศสลำนี้ อารียา กุลพงศ์ปรีชา เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโท
ในสาขาวิชาบริหารการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรมจากประเทศ
ออสเตรียเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ด้วยวัยเพียงยี่สิบหกปี หลังจากเรียนจบปุ๊บ
เธอก็ให้รางวัลในความมุมานะพากเพียรของตน ด้วยการนำเงินเก็บสะสม
ส่วนหนึ่งจากการทำงานพิเศษตั้งแต่ช่วงลัดฟ้ามาเรียนที่นี่ใหม่ๆ เป็นค่า
เดินทางท่องเที่ยวทั่วออสเตรีย โดยทริปสุดท้ายที่เธอเลือกไว้สำหรับเก็บ
ความทรงจำดีๆ ในช่วงสองสามวันก่อนกลับไทยก็คือเมืองซาลซ์บูร์ก
ดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังและสวนพฤกษชาติชื่อก้องโลก
อย่าง...มิราเบลล์
สถานที่ที่เธอยืนอยู่ทั้งในความจริงและความฝัน...
หญิงสาวบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากมาเยือนที่นี่สักครั้ง
นักหนา อาจเป็นเพราะประทับใจตำนานความรักต้องห้ามระหว่างเจ้าชาย
อาร์ชบิชอป โวล์ฟ ดีทริช วอน ไรเทนเนา (Prince Archbishop Wolf
Dietrich von Raitenau) กับภรรยาสาวผู้เป็นที่รัก ซาโลเม อัลต์ (Salome
Alt) ก็เป็นได้ เพราะเจ้าชายเป็นถึงอาร์ชบิชอปปกครองเมืองซาลซ์บูร์ก
รัฐอิสระในสมัยก่อน ซึ่งในทางคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกที่มีกฎ
อันเคร่งครัดนั้น ห้ามนักบวชยุ่งเกี่ยวในเรื่องกามารมณ์หรือมีเพศสัมพันธ์
โดยเด็ดขาด ความรักของอาร์ชบิชอปและลูกสาวเศรษฐีอย่างซาโลเมจึง
ถือเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียและไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่นิด
แต่จากเรื่องเล่าที่สืบขานต่อกันมาก็ทำให้เธอได้รู้ว่า ความรักของ
ทั้งคู่นั้นช่างหนักแน่นและซาบซึ้งตรึงใจ เจ้าชายอาร์ชบิชอปทรงยอมละทิ้ง
กฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่ออยู่กินกับพระนางซาโลเมอย่างลับๆ จนมีพระโอรส
และพระธิดาเป็นประจักษ์พยานรักรวมกันถึงสิบห้าพระองค์ แม้จะมีชีวิต
เหลือรอดเพียงสิบพระองค์ก็ตาม ทรงสร้างพระราชวังอัลเทนเนา (Altenau
Palace) ซึ่งมาจากชื่อสกุลของนาง เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก
ก่อนที่ตำนานบทนี้จะปิดลง เมื่อความล่วงรู้ถึงนักบวชชั้นผู้ใหญ่ เป็นเหตุ
ให้เจ้าชายถูกสำเร็จโทษจับตัวไปคุมขัง ทั้งคู่ถูกพลัดพรากแยกจากกัน กระทั่ง
เจ้าชายสิ้นพระชนม์ในป้อมปราการที่พระองค์ถูกจองจำ หลังจากนั้น
หลานชายผู้สืบทอดตำแหน่งต่อก็เปลี่ยนชื่อพระราชวังแห่งนี้ใหม่เป็น
พระราชวังมิราเบลล์
อารียายังจำตอนที่ก้าวเข้าสู่สวนมิราเบลล์ได้ เธอสัมผัสถึงรักแท้
อันยิ่งใหญ่ที่เจ้าชายอาร์ชบิชอปทรงมอบแด่นางในดวงใจ ผ่านพระราชวัง
และสวนสวยที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง จนตัวเธอเองยังอดนึก
อิจฉาพระนางซาโลเมไม่ได้ พระนางเป็นหญิงสาวโชคดีที่ผู้หญิงหลายคน
ล้วนใคร่ยึดเป็นแบบอย่าง ทรงเป็นที่รักของชายที่มีหัวใจมั่นคง ไม่หวั่นไหว
แปรเปลี่ยน แม้กระทั่งความตายก็ยังมิอาจพรากทั้งคู่ออกจากกันได้ ต่อให้
เวลาผ่านไปนานแสนนานเพียงใด แต่อนุสรณ์สถานของเจ้าชายจะยังคงอยู่
เพื่อประกาศความรักนิรันดร์ที่มิเคยเสื่อมคลายไปตามกายสังขารของ
พระองค์ให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้
ขนาดตัวเธอเอง...หลังจากได้อ่านตำนานรักของสวนมิราเบลล์จาก
หนังสือสารคดีท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง อารียาก็ตัดสินใจเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล
มาศึกษาต่อยังประเทศซึ่งอยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลกทันที เพราะหวังจะ
มาเยือน ‘อนุสรณ์สถานความรัก’ แห่งนี้สักครั้ง
ส่วนเรื่องที่ประสบในความฝัน ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อสองวัน
ก่อน ตอนที่เดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้นานาพันธุ์แห่งนี้เช่นกัน จะแตกต่างกัน
ก็ตรงที่ในความเป็นจริง หญิงชราท่าทางไม่ปกติคนนั้นถูกยามรักษาการณ์
สองนายหิ้วปีกออกไปก่อนที่จะทันขยับตัวเสียด้วยซ้ำ เพราะคงเกรงว่าหล่อน
จะไปรบกวนบรรดานักท่องเที่ยวที่กำลังสำเริงสำราญอยู่ให้พลอยเสีย
บรรยากาศ หรืออาจจะทำอันตรายผู้คนที่อยู่ในละแวกเดียวกับเธอก็เป็นได้
ส่วนเรื่องที่ว่าเธอถูกหล่อนทำร้ายด้วยปลายเล็บยาวงุ้มอันแหลมคม
อย่างน่าสยดสยอง หรือเรื่องที่มีลำแสงสีขาวเรืองรองออกมาจากร่างกาย
ของเธอนั้น คงเป็นผลพวงมาจากจิตใต้สำนึกที่เกิดความหวาดกลัวในรูปร่าง
หน้าตาอันอัปลักษณ์ของหล่อน จนตัวเธอเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะนั่นเอง
ถึงแม้จะคิดว่าเธอฟุ้งซ่านไปเองก็เถอะ แต่อารียากลับรู้สึกว่ามีอะไร
บางอย่างในตัวเธอกำลังเปลี่ยนแปลงไปหลังจากได้เจอหญิงชราปริศนา
คนดังกล่าว ไม่ใช่เพียงแค่เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในสวน
มิราเบลล์เท่านั้น ก่อนหน้านี้เธอก็มักเหม่อลอย จิตใจคอยว้าวุ่นรุ่มร้อน
หม่นไหม้ โดยที่หญิงสาวก็ไม่สามารถหาคำอธิบายได้เช่นกัน...
มิหนำซ้ำหลังจากเธอเดินออกจากพระราชวังมิราเบลล์ เพื่อตรงไป
ตลาดซื้อขายสินค้าหาของที่ระลึกกลับไปฝากครอบครัวของคุณลุงโภคิน
กับคุณป้าแขไข ซึ่งเลี้ยงดูอุ้มชูเธอมาตั้งแต่เล็ก แทนที่อารียาจะมองหาของ
ที่ลุงกับป้าน่าจะชื่นชอบเป็นอย่างแรก เธอกลับสาวเท้าพาตัวเองมาหยุดอยู่
หน้าร้านขายของเก่าแห่งหนึ่งในเมืองซาลซ์บูร์ก ทันทีที่เห็นแผ่นไม้แกะสลัก
ลวดลายเรขาคณิตเก่าๆ อันหนึ่งวางขายอยู่บนชั้นโชว์หน้าร้าน
อารียาคลี่ยิ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง รีบตรงเข้าไป
สอบถามราคา แล้วเธอก็พบว่าตัวเองนั้นโง่มากแค่ไหนที่ใช้เงินหลายพันบาท
ถ้าหากเทียบเป็นเงินไทย แลกกับการครอบครองของมีตำหนิที่ไม่มีราคา
ค่างวดเลยสักนิด เพราะเมื่อเธอเดินคล้อยหลังออกไปทางหน้าประตู เจ้าของ
ร้านที่ซุ่มอยู่หลังเคาน์เตอร์เก็บเงินด้านในก็ลุกขึ้นด่าทอลูกจ้างหนุ่มทันควัน
หญิงสาวจึงหยุดยืนฟังการสนทนาอยู่นอกประตูร้านด้วยความอยากรู้
‘ใครบอกให้แกเอาของแตกหักพรรค์นั้นไปวางขาย! ถ้าลูกค้าเกิด
โวยวายเอาเรื่องขึ้นมา ฉันจะทำยังไง ฉันไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายก้อนโต
เพื่อปิดปากมันหรอกเหรอ นี่ยังดีนะที่มีลูกค้าหน้าโง่มาซื้อมันไปซะก่อน
ไม่ยังงั้นละก็ฉันจะหักเงินเดือนแกนั่นแหละไปให้ลูกค้า โทษฐานที่ชอบทำตัว
เซ่อซ่าไม่ได้เรื่องดีนัก ไป...แกรีบเก็บของเสียๆ ไปกองไว้ข้างหลังร้านให้หมด
เลยนะ ก่อนจะมีลูกค้ามือไวคนอื่นมาหยิบไปอีก’
คำพูดเกรี้ยวกราดที่หลุดจากปากเจ้าของร้านหญิงวัยกลางคน ไม่ได้
สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ลูกค้าสาวที่ถูกนินทาเลยแม้แต่น้อย นอกจาก
อารียาจะไม่กลับเข้าไปต่อว่าหรือขอคืนสินค้า เพื่อนำเงินที่เพิ่งเสียอย่างไร้ค่า
ไปซื้อสิ่งอื่นที่น่าจะมีประโยชน์มากกว่าแล้ว เธอยังจดจ่อเอาแต่ก้มมองของ
ที่ถืออยู่ในมืออีกต่างหาก
รอยหยักที่เกิดจากการแตกหักแสดงให้หญิงสาวรู้ว่านี่คงเป็น
ชิ้นส่วนที่สอง ส่วนชิ้นแรกนั้นน่าจะขาดหาย มือบางยกขึ้นลูบมันอย่าง
แผ่วเบา ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความคิดถึงอันเปี่ยมล้น
ความโหยหาอาลัยที่มาพร้อมกับความอ้างว้างเดียวดายอันเหน็บหนาว
จนพานทำให้อยากรู้นักว่าใครเป็นผู้ครอบครองอีกครึ่งหนึ่งของแผ่นไม้
แผ่นนี้ เธออยากเห็นหน้าเขาเหลือเกิน...
อารียาไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นอะไร จู่ๆ ทำไมถึงบังเกิดความโหยไห้
ถวิลหาเสียมากมายขนาดนั้น เธอรู้สึกเหมือนเคยผูกพันกับเจ้าสิ่งนี้และ
ใครบางคนมานานแสนนาน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแผ่นไม้นี้มีที่มาอย่างไร
ใครเคยเป็นเจ้าของ และลวดลายที่แกะสลักอยู่บนเนื้อไม้มีความหมาย
หรือไม่ แต่ทุกครั้งที่อารียาไล่สายตามองมัน เห็นเส้นสายโค้งมนอันอ่อนช้อย
ต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นรูปร่างอย่างง่ายๆ หญิงสาวกลับรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจ
จนแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว...
...เธอรู้สึกว่าลวดลายที่ปรากฏคือคำพูดไพเราะที่เปี่ยมความหมาย
...แล้วหัวใจของเธอก็สัมผัสถึงมันได้
...เหมือนมันคือคำสัญญา
...และเหมือนกับว่ามันคือความรักที่เธอเฝ้ารอคอย
หญิงสาวถอนสายตาจากสิ่งที่ถืออยู่ในมือมองออกไปนอกหน้าต่าง
เห็นก้อนเมฆสีดำเริ่มเคลื่อนเข้ามา แต่เธอไม่ค่อยใส่ใจนัก เพราะยังคงติดอยู่
ในภวังค์และสมมุติฐานที่ว่า ถ้าหากเล่าความคิดของตนให้ใครต่อใครฟัง
มีหวังเธอคงโดนล้อหาว่าเป็นบ้าแน่ๆ บางครั้งขนาดตัวอารียาเองยังอดสงสัย
ไม่ได้เลยว่า การที่เธอมีความปรารถนา ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะพบกับใคร
สักคนที่ตัวเองไม่เคยเจอะเจอหรือรู้จักมักจี่ ไม่รู้ด้วยว่าเขามีตัวตนจริง
หรือไม่ แล้วอยู่แห่งหนตำบลใด อีกทั้งทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นเพราะเธอมีสัมผัส
พิเศษ หรือเป็นเพียงแค่จินตนาการของเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่สร้างขึ้นมา
หลอกตัวเอง เพื่อทดแทนความรักส่วนที่ไม่เคยได้รับจากบุพการีโดยกำเนิดกันแน่
ตั้งแต่ตอนที่ยังเล็กไม่รู้ความจนจำความได้ อารียาอาศัยอยู่กับ
ครอบครัวของคุณป้าที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของมารดา ซึ่งเดินทางไปค้าแรงงาน
ยังประเทศซาอุดีอาระเบียมาโดยตลอด เธอรู้จากปากของคุณป้าแขไขว่า
ท่านทำงานเป็นแม่บ้านให้แก่ครอบครัวเศรษฐีเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันอยู่
สามปี ก็แอบได้เสียกับลูกชายคนเล็กเข้า
โชคร้ายที่ญาติพี่น้องทางฝ่ายชายไม่ยอมรับ ประจวบกับมีเหตุการณ์
ขโมยเพชรซาอุฯ เกิดขึ้น ทำให้สัมพันธภาพทางการทูตของไทยกับซาอุดี-
อาระเบียสั่นคลอน แรงงานไทยทั้งหมดถูกส่งตัวกลับทันที จึงเป็นโอกาส
เหมาะที่ครอบครัวทางฝ่ายบิดาใช้ขจัดเมียเก็บต่างชาติออกไปให้พ้นทาง
ผู้ที่เธอควรจะเรียกว่าปู่ย่าไล่มารดากลับประเทศโดยไม่บอกให้บิดารู้ ซ้ำยัง
ข่มขู่ว่าถ้าท่านไม่ยอมทำตาม ลูกสาวที่อยู่ในวัยขวบเศษอย่างเธอจะถูกฆ่าทิ้งอย่างไม่ปรานี
แม้จะรักผู้เป็นสามีมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่เทียมเท่าเลือดในอุทร
ท่านจึงยอมจำใจหอบหิ้วเธอกลับเมืองไทยด้วยหัวใจที่บอบช้ำ มารดาถูก
จับตัวยัดใส่ท้ายรถบรรทุกรวมกับเพื่อนสนิทที่เดินทางมาทำงานยังดินแดน
แห่งนี้ด้วยกัน ระหว่างทางเกิดเคราะห์ซ้ำกรรมซัด รถคันที่ท่านนั่งมา
ประสบอุบัติเหตุจนพลิกคว่ำ สัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่ห่วงความ
ปลอดภัยของลูกยิ่งกว่าชีวิตตน ทำให้ท่านใช้ตัวกำบังร่างเธอไว้ รอจนกระทั่ง
มีรถคันหลังเข้ามาช่วยเหลือ จึงยอมคลายอ้อมแขน ฝืนลมหายใจเฮือก
สุดท้ายส่งเธอในวัยแบเบาะให้แก่เพื่อนสนิท พร้อมคำพูดทิ้งท้ายทั้งน้ำตา
ฝากฝังเธอไว้กับพี่สาว นับแต่บัดนั้นเธอจึงได้มาอยู่กับลุงและป้าสมความปรารถนาของท่าน
หญิงสาวรู้ตัวดีว่าเธอเกิดมาโชคดีเหลือเกินแล้วที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ใน
ส่วนที่มารดาเสียสละให้ด้วยความสุข เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลุงโภคิน
และป้าแขไขเฝ้ารักและทะนุถนอมดุจดั่งดวงใจ มีพี่ชายทั้งสองที่คอย
หวงแหนห่วงใย ทั้งวีรวัฒน์และพัชระไม่เคยคิดว่าเธอเป็นกาฝากของบ้าน
เลยสักนิด ตรงกันข้าม ทั้งคู่คอยดูแลเอาใจใส่เธออย่างดียิ่งกว่าผู้เป็นป้าเสียอีก
ขนาดตอนที่เธอเอ่ยปากขอมาเรียนต่อออสเตรีย เธอยังต้องลงทุน
ออดอ้อน วิงวอน พร่ำพูดหว่านล้อมชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่นานเกือบสองเดือน
กว่าพี่ชายจะยอมใจอ่อน พอได้มาสมดังใจ วีรวัฒน์ก็ยังไม่วายโทร.ทางไกล
มากำชับสั่งให้เธอเลิกทำงานพิเศษอีก โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่าเขาสามารถ
ส่งเสียเลี้ยงดูน้องสาวเพียงคนเดียวได้ แต่อารียาก็แอบฝ่าฝืนคำสั่งอยู่ดี
ไม่อย่างนั้นเธอจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อแผ่นไม้แกะสลักเก่าๆ อันนี้ได้ล่ะ
หญิงสาวนึกถึงสีหน้าท่าทางของทุกคนยามที่เห็นเธอยืนยิ้มแฉ่ง
อยู่หน้าบ้าน พวกท่านคงจะโผเข้ากอดเธอด้วยความคิดถึง ส่วนพี่ชาย
(โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
อบูซิมเบล วิหารแห่งรักแท้อันยิ่งใหญ่และมั่นคงของจอมฟาโรห์ผู้เกรียงไกร ไม่แตกต่างกันเลยสักนิดกับหัวใจของเขาที่มอบให้แด่นางผู้เป็นที่รัก สถานที่แห่งนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รู้จักความรัก พลัดพราก และเฝ้ารอคอยให้ เมริต กลับคืนมาสู่อ้อมอกนี้อีกครา แม้นพายุจักโหมกระหน่ำ ธาราจักเชี่ยวกราก แต่หัวใจแห่งพสุธายังคงอยู่ เพื่อรอวันสิ้นกาล เสียงโหยหาอาดูรที่ดังก้องอยู่ภายในหัวของอารียาหลังประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ยังไม่น่าประหลาดใจเท่ากับใบหน้าคมคายที่เธอฟื้นขึ้นมาพบ อาหเมส บินรา เคม โวเซอร์ เจ้าของคฤหาสน์หลังงามกลางผืนทรายใกล้วิหารศักดิ์สิทธิ์อันเลื่องชื่อ เขาเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอไว้ มิหนำซ้ำยังมีหน้าตาเหมือนชายในฝันราวกับพิมพ์เดียว จะผิดแผกก็ตรงผิวกายขาวซีดและดวงตาสีแดงเพลิงข้างหนึ่งซึ่งมิใช่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังชอบทำตัวเคร่งขรึมเย็นชา ลึกลับ น่าสงสัย จนเธออดหวาดหวั่นมิได้ว่าการที่เขากักตัวเธอไว้มีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่ แล้วความลับที่ว่า...เกี่ยวพันกับโชคชะตาของเธออย่างไรกันแน่