จิ้งจอกราตรี ( นวนิยายชุดเจ้าทะเลทราย ) (เก้าแต้ม)

จิ้งจอกราตรี ( นวนิยายชุดเจ้าทะเลทราย ) (เก้าแต้ม)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160003075
ผู้แต่ง: เก้าแต้ม
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 270.00 บาท 67.50 บาท
ประหยัด: 202.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

บทนำ

แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบผืนทรายกว้างไกลก่อให้เกิดภาพ อันเวิ้งว้างหาใดเปรียบ ยิ่งดวงตะวันลอยสูงเท่าไร อากาศก็ยิ่งร้อนระอุขึ้นเท่านั้น

แต่สำหรับหญิงสาวสองคนซึ่งอยู่บนหลังม้าคนละตัวกลับร้อนใจ เป็นเท่าทวีคูณ มือที่ถือแส้เฆี่ยนตะโพกม้าหวังให้มันวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่ความพยายามทั้งหมดกลับสูญเปล่า แม้จะเป็นอาชาพันธุ์ดีที่สุดของอาหรับ ก็ไม่อาจทนต่อการเดินทางอันทรหดติดต่อกันถึงห้าชั่วโมงได้ ฝีเท้าของมันช้าลงเรื่อยๆ

เสียงร้องของราชาแห่งเวหาซึ่งกางปีกกว้างบินร่อนอยู่บนท้องฟ้าเป็นสัญญาณบอกว่าพวกศัตรูกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ พวกมันใช้วิหคเหินฟ้าเพื่อบอกที่อยู่ของผู้อยู่เบื้องล่างให้กองกำลังได้รับรู้ ฝุ่นทรายฟุ้งตลบจากการควบม้าห้อด้วยความเร็วสูงของศัตรูซึ่งอยู่เบื้องหลังทำให้ยัสมีนะห์รู้ดีว่าเวลาของนางกับเพื่อนเหลือน้อยเต็มที

“พวกมันตามมาทันแล้ว จะทำยังไงกันดี”

หญิงสาวเหลือบมองเพื่อนร่วมทางซึ่งสวมอาบายาห์สีเหลืองนวล มีทารกอายุเพียงไม่กี่ชั่วโมงซุกนิ่งอยู่ในอ้อมกอด ใบหน้าของเจ้าหนูแดงกํ่า เพราะไอแดดที่แผดเผา แต่ด้วยเลือดในกายอันสูงส่งทำให้ทารกมีความอดทนเป็นเลิศ นอกจากไม่ร้องไห้แล้ว ยังซุกหน้ากับอกอย่างเป็นสุข ส่วนผู้เป็นแม่นั้น แม้จะอยู่ในสถานการณ์คับขันแต่กลับไม่มีท่าทาง หวาดกลัวให้เห็นเลยแม้แต่น้อย วงหน้ารูปไข่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ความร้อนแรงของเปลวแดดทำให้ผิวแก้มแดงกํ่า นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองไปข้างหน้า

“เจ้าหนีไปก่อนเถอะ พาเด็กคนนี้ไปด้วย” หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามราวกับนางฟ้าเอ่ยขึ้น

“ไม่ได้ ข้าทิ้งเจ้าไปไม่ได้ เอาอย่างนี้ ข้าจะถ่วงเวลาพวกมันไว้ให้เอง เจ้าหนีไปเถอะ”

“ไม่ได้ พวกมันต้องการตัวข้า เจ้าไปเถอะยัสมีนะห์ พาเด็กคนนี้หนีไปทางทิศเหนือ ข้าจะล่อพวกมันไว้เอง”

“ไม่! ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกันสิ เด็กคนนี้ต้องการเจ้านะ เจ้าจะทิ้งเขาไปได้ยังไง”

“แต่ถ้าเรายังอยู่ด้วยกันยิ่งตกเป็นเป้า ถ้าจะเอาตัวรอดก็ต้องแยกกันหนี เชื่อข้าสิ”

สิ้นประโยค หญิงสาวซึ่งอุ้มเด็กก็รั้งม้าให้ชะลอฝีเท้าลง ยัสมีนะห์ ชะลอตามด้วยความตกใจเพราะศัตรูกำลังใกล้เข้ามา เมื่ออาชาหยุดสนิท หญิงสาวสวมชดสีเหลืองนวลก็กระโดดลงจากหลังม้าและก้าวเข้ามาหาทันที

“นะ...นั่นเจ้าจะทำอะไร หยุดม้าทำไม”

ทารกน้อยในห่อผ้าถูกยัดใส่มืออย่างรวดเร็ว ยัสมีนะห์อ้าปากค้าง ด้วยความตกใจยิ่งกว่าเดิม

“เรื่องอะไรเอาเด็กมาให้ข้า แล้วเจ้าล่ะ”

เสียงของนางแหบแห้ง เพราะรู้เจตนาของอีกฝ่ายดี ศัตรูใกล้เข้ามา นางกับเพื่อนคงไม่มีทางเลี่ยงชะตากรรมในวันนี้พ้น

“เชื่อข้าสักครั้งเถอะยัสมีนะห์ พวกทหารต้องการตัวข้าคนเดียว เจ้าไปเถอะข้าจะล่อพวกมันไว้ เราแยกกันอาจมีโอกาสหนีพ้น ขืนอยู่ด้วยกันตายทั้งคู่แน่ๆ”

“ถ้างั้นข้าจะเป็นคนล่อพวกมันไว้เอง เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ จะรับมือกับ ทหารได้ยังไง”

“แต่พวกมันจำม้าของข้าได้ อย่าปฏิเสธเลยยัสมีนะห์ ชีวิตข้าไม่เหลือ อะไรแล้วนอกจากเด็กคนนี้ เจ้าต้องช่วยข้าพาเด็กคนนี้ไป เลี้ยงดูเขาให้เติบใหญ่”

ยัสมีนะห์ลำคอแห้งผาก หัวใจเหมือนจะขาดรอนๆ หากทิ้งเพื่อนรัก เอาไว้เพียงลำพังคงไม่อาจต้านทานศัตรูจำนวนมากได้

“จงพาเขาไปหลบในที่ปลอดภัย นี่เป็นคำสั่ง” หญิงสาวออกคำสั่ง เสียงแข็ง เปลี่ยนท่าทีเป็นแข็งกร้าวทันที

ยัสมีนะห์หลุบตาลง ลำคอแห้งผาก

"แต่ข้า..."

“ไม่มีแต่ ข้าสั่งให้เจ้าขึ้นม้าเดี๋ยวนี้ไม่ได้ยินหรือไง พวกมันกำลังใกล้ เข้ามาแล้ว มัวพิรี้พิไรอยู่นั่นละ ข้าจะร่ายมนตร์สกัดพวกมันเอาไว้เอง คงจะพอยื้อเวลาได้สักพักหนึ่ง”

“แต่เจ้าเพิ่งคลอดลูก พละกำลังยังไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม ถ้าออกแรง มากไป เจ้าจะยิ่งแย่...”

ยัสมีนะห์ทักท้วง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ เพื่อนรักเป็นคนเด็ดเดี่ยว หากตัดสินใจแล้วไม่มีทางเปลี่ยนแน่หญิงสาวผู้ด้อยศักดิ์จำต้องขึ้นหลังม้าและควบจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะเหลียวกลับมามองอย่างอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

หญิงซึ่งสวมชุดเหลืองนวลปกดาบเล่มยาวลงกับพื้นทรายแล้วกางแขนออก ชูมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ เงยหน้ามองท้องฟ้า ริมฝีปากอิ่ม ขมุบขมิบร่ายเวทมนตร์อย่างเชี่ยวชาญ พริบตาเดียวท้องฟ้าซึ่งเคยสว่างไสวก็พลันมืดครึ้ม ฟ้าแลบแปลบปลาบจนดำมืดไปหมดทั้งบริเวณ ลมซึ่งเคยพัดอ่อนกลับโหมกระหน่ำราวกับมีพายุหมุน ไม่กี่วินาทีกองทรายก็ก่อตัวขึ้นแล้วหมุนวนด้วยพละกำลังแรงกล้า เช่นเดียวกับเมฆดำทะมึนบนท้องฟ้าที่พุ่งเข้าหาศัตรู ก่อเป็นกำแพงสูงตระหง่านเพื่อกางกั้นม้าของเหล่าศัตรูเอาไว้

กองกำลังติดตามพลันหยุดชะงักเมื่อพบกับปราการแห่งเวทมนตร์สูงลิบและกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ฝุ่นทรายจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าปะทะม้าของพวกเขาต่างตกใจยกขาหน้าตะกายขึ้นสูง ไม่ว่าผู้ขี่จะฟาดแส้ลง กี่ครั้ง อาชาก็เอาแต่ถอยออกห่างจากพายุอย่างไม่คิดชีวิต

เสียงสวดภาวนาดังก้องขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับความอึดอัดซึ่งก่อตัว ขึ้นรอบๆ เพื่อนรักกำลังต้านทานศัตรู แต่จะทำได้นานเท่าไร เพราะเพื่อน ของนางเพิ่งผ่านการคลอดบุตร แถมยังสูญเสียพลังชีวิตมากกว่าครึ่งหนำซ้ำยังถูกวางยาพิษซ้ำทำให้พละกำลังอ่อนล้า แต่ยัสมีนะห์ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากภาวนาขอให้เพื่อนรักทำสำเร็จ หน้าที่ของนางคือพาเด็กน้อยหนีไปให้ไกลที่สุดตามคำสั่ง

ยัสมีนะห์หันหน้ากลับมา ยกมือปาดน้ำตาที่ไหลรินอาบสองแก้ม ใจแทบขาดรอนด้วยความปวดร้าว นางฟาดแล้ลงบนตะโพกม้าให้มันกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกำเชือก อีกข้างกระชับร่างกระจ้อยไว้กับอกแน่น ด้วยความเป็นห่วงก็อดที่จะเหลียวกลับไปมองอีกครั้งไม่ได้

แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ เพราะจู่ๆ ฟากฟ้าอีกด้านหนึ่งซึ่งเคยสงบกลับปรากฏแสงสีแดงเจิดจ้า ศัตรูกำลังร่ายเวทด้วยพลังอันมหาศาล อำนาจของมันอาจมากกว่าพลังความดี และแล้วอสุนีบาตจากเบื้องบนก็ก่อตัวขึ้น พลังอันมหาศาลจากประจุไฟฟ้าโจมตี

ร่างบอบบางอย่างจัง หญิงสาวสะดุ้งเฮือกและกระตุกอย่างแรงก่อนทรุดฮวบลงกับพื้น

ยัสมีนะห์ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ นางตะโกนเรียกเพื่อนด้วยเสียงแหบแห้ง เมื่อเห็นว่าร่างนั้นนอนแน่นิ่งน้ำตาก็ไหลรินอย่างห้ามไม่ได้ ถึงแม้จะอยู่ห่างกันมาก แต่นางก็มั่นใจว่าเพื่อนรักเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณไปแล้ว

หญิงสาวมีเวลาโศกเศร้าไม่นาน เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง พายุหมุนซึ่งเคยต้านทานศัตรูเอาไว้ก็พลันเปลี่ยนทิศ พุ่งเข้าโจมตีนางกับเด็กน้อย

คืนนี้ภายในกระโจมของเผ่าเบดูอินมีเพียงโคมดวงเล็กๆ หญิงสาวนอนควํ่าหน้าอยู่บนที่นอน เรือนร่างที่งดงามราวกับดอกไม้แรกแย้มบัดนี้ ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าผืนบาง เนื้อบริเวณแผ่นหลังไหม้เกรียมด้วยไอแดด แต่ไม่อาจบดบังความงามพิสุทธิ์ได้

ชายร่างสูงนั่งนิ่งเพ่งมอง...หญิงสาวหมดสติหนึ่งวันเต็มๆ แล้วนับตั้งแต่เขาช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้ในทะเลทราย ไม่มีหลักฐานบอกให้รู้เลยว่านางเป็นใคร ในอ้อมกอดมีเพียงเด็กทารกอายุไม่กี่วันแผดเสียงจ้าเพราะความหิวโหย ทันทีที่เขาช้อนร่างเล็กๆ ขึ้นมา เจ้าตัวน้อยก็ซุกตัวเข้าหาราวกับคิดว่าเขาเป็นมารดา นักรบหนุ่มรีบอุ้มหญิงสาวพาดบนหลังม้า ก่อนจะอุ้มทารกน้อยแล้วพากลับมายังหมู่บ้าน

อาการของหญิงสาวหนักมาก ร่างกายถูกแดดเผาจนเกิดแผลทั่วแผ่นหลัง ขาดน้ำและอดอาหาร ส่วนเด็กน้อยมีแค่ความหิวโหย คงเพราะผู้เป็นมารดาตระกองกอดไว้โดยใช้ร่างกายบดบังแสงอาทิตย์ทำให้รอดชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขามอบเด็กน้อยให้แม่นมในหมู่บ้านพาไปส่วนหญิงสาวนั้นเขาก็ตามแพทย์ประจำหมู่บ้านมาดูแลโดยลดความร้อนภายในกายและทายาจนทั่วแผ่นหลัง ผ่านไปหลายชั่วโมงแต่หญิงสาวก็ยังนอนนิ่ง ทำให้เขาเริ่มเป็นห่วง

เขาจ้องมองแผลฉกรรจ์บนหัวไหล่ด้วยความประหลาดใจ ที่วางอยู่ข้างๆ คืออาวุธที่ตกอยู่ไม่ไกลจากตัวหญิงสาวนัก มีชื่อสลักอยู่บนลูกธนูบ่งถึงผู้เป็นเจ้าของ

เสียงครางดึงซาลีมาห์กลับสู่ภวังค์...หญิงสาวลืมตาที่งดงามราวกับ ดาวบนห้องฟ้าแล้วกะพริบตาก่อนมองไปรอบห้อง

“เจ้ารู้สึกตัวแล้วหรือ”

บุรุษซึ่งสวมชุดสีขะมุกขะมอมขยับเข้าไปชิด ประคองร่างบางขึ้นยกถุงกระเพาะอูฐใส่น้ำดื่มจ่อปากป้อนไห้

“ขะ...ข้าอยู่ที่ไหน”

“นี่คือกระโจมของข้า เจ้าหมดสติอยู่ในทะเลทราย ข้าเป็นคนช่วยเจ้ากลับมาที่นี่”

“แล้วลูกข้าล่ะ ลูกข้าอยู่ที่ไหน” ดวงตาคู่หวานเบิกกว้าง มองไป รอบๆ ด้วยความตกใจ และเพราะไม่ทันระวังทำให้ผ้าคลุมผืนบางร่วงลงจนถึงเอว

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้ซาลีมาห์ตกตะลึง...เรือนร่างเปลือยเปล่า งดงามหมดจดแม้จะเต็มไปด้วยบาดแผล ทรวงอกอิ่มซึ่งมีปลายยอด เป็นสีชมพูอวดสายตา เอวคอดเล็กและสะโพกสมบูรณ์ของอิสตรีทำเอา ซาลีมาห์นิ่งงัน เขารีบเบือนหน้าไปอีกทางด้วยมารยาทสุภาพบุรุษ หญิงสาว ลนลานดึงผ้าขึ้นมาคลุมด้วยความตกใจ ใบหน้าหวานแดงกํ่า

“ทำไมข้า...”

“จะ...เจ้าบาดเจ็บ ผิวหนังไหม้เกรียมเพราะแดด ข้าจำเป็นต้องถอด เสื้อผ้าออกเพื่อทายาและลดความร้อน เจ้าหมดสติไปถึงหนึ่งวันเต็มๆ”

“ลูกอยู่ที่ไหน ข้าอยากเจอลูก”

“อยู่กระโจมข้างๆ นี่เอง แม่นมเพิ่งป้อนนมให้ เด็กเพิ่งจะหลับ อย่ากังวลไปเลย เขาปลอดภัยดี”

เกิา แติม # ๑๓

“แต่ข้าอยากเห็นหน้าลูก นายท่านช่วยพาข้าไปหน่อยเถอะ”

หญิงสาวผุดลุกขึ้น ซาลีมาห์จึงปราดเข้าประคอง นางยังอ่อนแอเกินกว่าจะลุกได้ เรี่ยวแรงก็ไม่มีจึงซวนเซไป เขาจึงกอดนางเอาไว้

“ใจเย็นๆ สิ เจ้าเพิ่งจะฟื้น ต้องกินอะไรเสียก่อน หากลุกเร็วๆ ก็จะเป็นลมไปอีก ข้าเตรียมซุปมาให้ ถ้ากินยาเสร็จแล้วข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าได้พบลูกของเจ้าทันที”

หญิงสาวพยักหน้า ชายหนุ่มจึงหันไปยังสำรับที่เตรียมมา เคราะห์ดีที่ยังคงอุ่นอยู่ เขาหยิบถ้วยซุปขึ้นมา นางเอื้อมมือจะรับแต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า

“ให้ข้าป้อนเถอะนะ เจ้ายังบาดเจ็บอยู่คงถือเองไม่ไหว อีกอย่าง... เจ้ายังแต่งกายไม่เรียบร้อย เอาไว้ให้มีแรงมากกว่านี้ก่อน”

หญิงสาวก้มหน้าอย่างเขินอาย กระชับผ้าคลุมที่ปกปิดร่างกายแน่น ซาลีมาห์พยายามข่มใจไม่เหลือบมองเนินอกซึ่งโผล่พ้นผ้าผืนบางแม้จะยากยิ่งนักเพราะสมองคอยแต่จินตนาการถึงเรือนร่างกลมกลึงนั้น เลือดในกายร้อนรุ่มด้วยความรู้สึกที่ยากจะควบคุม เขาได้แต่ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น นักรบผู้กล้าอย่างซาลีมาห์ไม่เคยหวั่นไหวยามอยู่ใกล้อิสตรี แต่เพราะอะไรถึงได้ห่วงใยหญิงสาวคนนี้มากนัก เขานั่งเผ้านางทั้งวันทั้งคืน และยังลงมือปรุงซุปด้วยตนเองอีก

“ท่านพาข้ามาที่นี่ได้ยังไง”

หญิงสาวถามหลังจากกินซุปหมดไปเกือบครึ่งชาม พวงแก้มระเรื่อ ด้วยความเขินอาย

“เจ้าหมดสติอยู่กลางทะเลทราย ข้าบังเอิญผ่านไปพบเข้า ถ้าไปช้ากว่านั้นอีกนิด เจ้าคงเป็นเหยื่อของพวกแร้งกาแน่ๆ”

ตอนที่เขาไปถึง มีแร้งฝูงหนึ่งบินวนเวียนอยู่โดยรอบราวกับจะรอให้หญิงสาวกับเด็กเสียชีวิต แต่เพราะพระอัลเลาะห์เมตตา ทำให้ทั้งสองรอดชีวิตได้อย่างอัศจรรย์โปรดติดตามต่อในฉบับ..

 

รายละเอียด

จิ้งจอกทะเลทราย" ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาและโดดเดี่ยว เขาเป็นเจ้าของหัวใจของหญิงสาวมากมาย "ราชสีห์ทะเลทราย" สิงห์หนุ่มหน้าคม ผู้สุขุมรอบคอบและรักเพื่อนทั้งคู่เตอบโตมาด้วยกันบนผืนทรายของเผ่านาเซีย ทว่าโชคชะตาทำให้ทั้งคู่ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ซาริมได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนและวันหนึ่ง เมื่อหญิงสาวปริศนาก้าวเข้ามา ซาริมจึงได้รู้จักกับเวทมนตร์เป็นครั้งแรก เขาต้องตามหาอัญมณีเพื่อปลุกพรสวรรค์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัว โดยมีจิ้งจอกหนุ่มเป็นผู้ช่วยการผจญภัยเริ่มต้นขึ้น ขณะเดียวกันศุตรูก็ถูกปลุกขึ้นด้วยมนตรา!


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024