หนังสือชุด LOVE SECRET : พระจันทร์ซ่อนหา (อุมาริการ์)

หนังสือชุด LOVE SECRET : พระจันทร์ซ่อนหา (อุมาริการ์)

1 รีวิว  1 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160012794
ผู้แต่ง: อุมาริการ์
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 320.00 บาท 80.00 บาท
ประหยัด: 240.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                                       แม่ครัวคนใหม่

 

                 ถ้าดูจากป้ายประกาศรับสมัครที่บอกว่า...

                รับสมัครคนงานอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป วุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่า ม. ๓

ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน ตรงเวลา ทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงหนึ่งทุ่ม สัปดาห์

ละหกวัน (สามารถทำงานล่วงเวลาได้ทุกเมื่อที่นายจ้างต้องการ)

                ถ้ามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่าสามปีและจดหมายรับรองการ

ทำงานจากนายจ้างเก่าจะพิจารณาเป็นพิเศษ

                หญิงสาวก็มั่นใจว่าเธอจะต้องได้งานชิ้นนี้แน่

                เธอมีทั้งคุณสมบัติที่นายจ้างต้องการ และคุณสมบัติพิเศษที่สมควร

ถูกเลือกจ้างงานเป็นที่สุด!

                แต่พอเห็นสายตาประเมินของคนตรงหน้า ความมั่นใจก็ลดฮวบลง

จนกลายเป็นติดลบทันที

                หญิงสาวรู้ดีว่าเธอตัวเล็กเกินไป ผอมบางเกินไป ส่วนแว่นตากรอบ

สีดำสนิทบนใบหน้าก็บดบังวงหน้ารูปหัวใจมากเกินไป และทรงผมบ๊อบสั้น

ยาวกว่าติ่งหูเพียงนิดเดียวนั้น ก็ทำให้ดูเหมือนเด็กมัธยมเกินไป

            ข้อดีอย่างเดียวที่พอจะนึกออกในตอนนี้ก็คือมีประสบการณ์ทำงาน

มาสามปีพอดี นอกจากนี้ยังมีใบผ่านงานจากบุคคลที่มีตัวตนจริงและ

สามารถยืนยันได้ ทำให้มีโอกาสเข้ามานั่งอยู่ในห้องนี้

                แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่วายรู้สึกอึดอัดจนต้องหลุบตาลงต่ำ นึก

อยากจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดพรายขึ้นบริเวณขมับอยู่หลาย

ครั้ง ทั้งยังต้องการจะวิ่งพรวดออกไปจากห้องที่นั่งสัมภาษณ์งานอยู่ในนาที

นี้เลย

                ไม่รู้ว่าเพราะประตูห้องซึ่งปิดสนิททำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องคุมขัง

หรือเป็นที่คนสัมภาษณ์มีถึงสองคน

                คนแรกนั่งติดกับหน้าต่างกระจกใสบานกว้าง ที่สามารถมองออกไป

เห็นถนนคดเคี้ยวตัดผ่านแปลงกุหลาบแสนสวยหลากสีสันซึ่งล้อมอยู่รอบ

ตัวบ้านไร่หลังนี้

                ฝ่ายนั้นเป็นบุรุษหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง แต่ไม่แบบบางอย่างที่

เคยคิดไว้ โดยเฉพาะเมื่อเสื้อเชิ้ตที่ใส่นั้นกระชับพอดีตัว เผยให้เห็นหน้าท้อง

แบนราบกับช่วงไหล่ผึ่งผายชวนมอง ขณะที่ใบหน้าเรียวขาวก็เกลี้ยงเกลา

สะอาดตา ทั้งยังชวนมองด้วยแนวเคราเขียวๆ ที่ขึ้นต่อกันเป็นปื้นตรงเหนือ

ริมฝีปากกับข้างกราม แววตาทอประกายแจ่มใส ขี้เล่นอย่างที่ถ้ามีใครมา

บอกเธอว่าเขาเป็นหนึ่งในนักร้องชั้นนำจากวงบอยแบนด์เกาหลีปลอมตัวมา

เธอก็พร้อมจะเชื่อ

                ขณะที่ชายหนุ่มคนที่สองนั้นนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวโตและมีท่าทาง

ขึงขังเอาจริงเอาจัง

                เธอคะเนว่าเขาน่าจะมีอายุประมาณสามสิบเศษ ทั้งยังมีสีผิวแปลกตา

คล้ายน้ำตาลเจือประกายทองทำให้อดมองซ้ำไม่ได้ แต่จุดเด่นที่สุดของฝ่าย

นั้นเห็นจะเป็นใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังจนมองไม่เห็นรูปหน้า

ชัดเจน ทว่ากลับดึงดูดสายตาอย่างประหลาด คงเพราะดวงตาเรียวรีจนเกือบ

จะเรียกได้ว่าแคบยาวคู่นั้นฉายแววเฉลียวฉลาดจนน่ากลัว ขณะที่ปลายจมูก

โด่งงุ้มคล้ายจมูกเหยี่ยวทำให้ดูโดดเด่นสะดุดตา คนมองเลยอดคิดไม่ได้ว่า

ถ้าดวงตาคู่นี้กับจมูกแบบนี้ไปประดับอยู่บนใบหน้าของคนอื่นที่ไม่มี

องคาพยพคมเข้มบาดตาก็คงไม่น่ามองเช่นนี้

                ทว่า...

                ในความน่ามองนั้น กลับมีความน่าพรั่นพรึงแฝงอยู่ด้วย

                คงเพราะเขามีรูปร่างสูงหนา เนื้อตัวนั้นก็ล่ำสันด้วยมัดกล้ามอย่างเห็น

ได้ชัดโดยเฉพาะเมื่อสวมเสื้อเชิ้ตพอดีตัวกับกางเกงยีนทรงเดฟยาวแนบ

กระชับไปกับท่อนขากำยำเช่นนี้ ขณะเดียวกันหนวดเครารกครึ้มก็เป็น

องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังเฝ้ามองพยัคฆ์ร้าย

ที่ทั้งโหดเหี้ยมและงดงามในคราเดียวกัน

                พยัคฆ์ที่พร้อมจะตะปบกรงเล็บเข้าใส่ลูกกวางน้อยที่อ่อนเดียงสาเพื่อ

จับกินเป็นภักษาหาร

                ความคิดนี้ทำให้หญิงสาวหลุบเปลือกตาลงต่ำทันที พร้อมตำหนิ

ตัวเองในใจให้วุ่นวาย ว่าเธอจะฟุ้งซ่านไปกันใหญ่แล้ว อีกฝ่ายเป็นได้อย่าง

มากก็แค่ ‘นายเคราครึ้มโรคจิต’ เท่านั้น!

                แล้วคนเคราครึ้มโรคจิตก็แนะนำตัวเองด้วยเสียงที่ไพเราะผิดกับ

หนวดเครารกๆ บนใบหน้า

                เสียงเขาทุ้มแต่นุ่มลึกทั้งยังดังกังวานชวนฟัง ทว่าน่าเกรงขามไป

พร้อมๆ กัน และชวนให้เธอคิดถึงบรั่นดีที่หมักบ่มมานานปี

                บรั่นดีที่ละมุนนุ่มนวลตรงปลายลิ้น ทว่าร้อนแรงราวกับเปลวไฟที่

แผดเผาในช่องท้อง

                หญิงสาวต้องรวบรวมสติอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะจับความได้ว่าฝ่ายนั้น

แนะนำตัวว่าชื่อ ‘เขน’ ส่วนชายหนุ่มหน้าตาเหมือนบอยแบนด์เกาหลีนั้นชื่อ

‘ภาสันต์’ ทั้งคู่บอกเธอเหมือนในข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาเป็น

สองในสามของหัวหน้าคนงานที่คอยดูแลไร่แห่งนี้ จากนั้นก็บอกให้เธอเริ่ม

แนะนำตัว

                “เอ่อ...ฉัน...ฉันชื่อดินจ้ะ...ดอกดิน แหน่หินโหน หรือคุณจะเรียกฉัน

ว่าหนูดินก็ได้”

                หญิงสาวกลั้นใจพูดด้วยเสียงเหน่อๆ อย่างที่ซักซ้อมเอาไว้ แต่ยังพูด

ไม่ทันจบ คนตรงหน้าก็สวนออกมาด้วยคำถามชวนอึดอัดใจ

                “เป็นผู้หญิงทำไมถึงชื่อดอกดิน”

                โชคดีที่เธอเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว เลยพอจะเอาตัวรอดถูไถไปได้

ไม่ยากนัก

                “เอ่อ พอดีทางอำเภอฟังเพี้ยนน่ะจ้ะ พ่อกับแม่ของฉันเลยปล่อยเลย

ตามเลย”

                พอเห็นฝ่ายนั้นเงียบไป ไม่รู้ว่าไม่เชื่อหรือเพราะกำลังคิดหนัก หญิง

สาวเลยรีบเลื่อนสายตาไปมองคนที่นั่งเงียบมาตลอดแทน พร้อมส่งยิ้ม

เจื่อนๆ ให้อย่างฝากเนื้อฝากตัว จากหางตาเห็นนายเคราครึ้มเหยียดริมฝีปาก

แปลกๆ ราวกับจะยิ้มก็ไม่ใช่ จะหน้าบึ้งก็ไม่เชิง เขาคงไม่พอใจที่โดนมอง

ข้ามไปเสียดื้อๆ แต่หญิงสาวคิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด

                ก็ใครกันจะทนโดนองคุลิมาลจ้องด้วยสายตาประหัตประหารอยู่ได้

                ภาสันต์คงอ่านใจเธอออก เลยส่งยิ้มบางๆ มาให้อย่างให้กำลังใจ และ

บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

                “งั้นหนูดินลองเล่าประวัติของเธอให้พวกเราฟังหน่อยสิ”

                หญิงสาวสูดลมหายใจลึกยาวเข้าปอด เพราะแม้จะเคยท่องจำมานับ

ร้อยครั้ง แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี มือเรียวจึงขยับแว่นตาที่ทำท่าจะเลื่อนหลุด

ตกมาตรงปลายจมูกอย่างเตรียมพร้อม และเริ่มต้นเล่าประวัติของตนเอง

ออกไป

                ประวัติที่ไม่คุ้นหูเลยสักนิด

                พร้อมๆ กับสังเกตเห็นนายเคราครึ้มโรคจิตยกมือขึ้นกอดอก และ

เอนหลังพิงเก้าอี้มองจ้องมาด้วยสายตาคมปลาบดุจใบมีด คงเป็นเพราะแบบ

นี้เองที่ทำให้เขามาทำหน้าที่สอบสัมภาษณ์ผู้สมัครงานด้วยทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น

เลยสักนิด

                ก็เขาเป็นถึงผู้จัดการไร่ที่มีอำนาจสูงสุดในไร่นี้ไม่ใช่หรือ

                แต่เดาว่าคงเพราะฝ่ายนั้นได้ใช้ตาคู่นั้นกรีดเค้นค้นหาความจริงมานับ

ไม่ถ้วนครั้ง ขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็ดุดันจนเกินกว่าที่ใครจะทนมอง

จ้องนานๆ ได้ หญิงสาวจึงหลุบตาต่ำลง และสังเกตเห็นข้างเอวคนสัมภาษณ์

งานดูตุงผิดปกติ และคิดว่าตาไม่ฝาดเมื่อเห็นด้ามสีดำมะเมื่อมของปืนพก

เหน็บอยู่ตรงนั้น

                เมื่อคำว่า ‘ปืน’ ผุดขึ้นในสมอง คนที่มีเพียงคัตเตอร์เหลาดินสอ

ใบมีดขึ้นสนิมแทนอาวุธติดกระเป๋ามาตั้งแต่ขึ้นมัธยมปีที่สามอย่างเธอก็เริ่ม

พูดจาตะกุกตะกัก กลัวว่าถ้าเอ่ยผิดไปจากที่ท่องจำมาแม้แต่คำเดียว นาย

เคราครึ้มจะควักปืนออกมายิงเธอทิ้งทันที

                ความเครียดที่ก่อตัวขึ้น ทำให้หญิงสาวตอบคำถามของชายหนุ่มทั้ง

สองได้ไม่ดีนัก

                ดังนั้นเมื่อตอบคำถามข้อสุดท้ายเสร็จแล้วพบว่าคนสัมภาษณ์นิ่งเงียบ

ไปนาน เธอก็เริ่มไม่สบายใจ มือทั้งสองข้างบีบเข้าหากันแน่น ป้องกันไม่ให้

ปลายนิ้วขยับยุกยิกไปมาเพราะเสียขวัญ เมื่อเห็นภาสันต์เอนตัวไปซุบซิบ

อะไรบางอย่างกับนายเคราครึ้มโรคจิต ทำให้ดวงตาคู่คมของเขาหรี่น้อยๆ

พร้อมกับกวาดมองไปบนกระดาษที่มีประวัติของเธอพิมพ์เอาไว้อย่างครุ่นคิด

ส่วนหัวคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่น เหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะรับเธอเข้าทำงานเป็น

คนงานในไร่แห่งนี้ไหม

                หญิงสาวเลยกลั้นใจกระแอมไอไล่น้ำลายที่เหนียวหนึบฝืดคอออกไป

ก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นน้อยๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการพูด

แบบนี้ทำให้เธอดูเหมือนไร้ค่า และไม่มีทางไปยิ่งขึ้น

                แต่เธอต้องการงานนี้จริงๆ เลยกัดฟันวางไพ่ใบสุดท้ายในมือลงไป

                “ถ้าพวกคุณไม่มั่นใจว่าฉันจะทำงานนี้ได้จริงๆ ฉันยินดีทำงานให้คุณ

ฟรีๆ หนึ่งอาทิตย์เลยจ้ะ” หญิงสาวโพล่งออกไปในที่สุด

                คิ้วหนาเป็นปื้นเลิกขึ้นนิดๆ เหมือนไม่เชื่อหู และเหมือนได้ยินเสียง

ทุ้มกังวานพึมพำออกมา

                “ใจถึงเสียด้วย”

                “แล้วคุณจะให้ฉันทำงานไหมล่ะจ๊ะ” เธอสั่งตัวเองให้นิ่งเฉยกับการ

ค่อนแคะของอีกฝ่าย และมุ่งหน้าค้นหาคำตอบเร็วที่สุด

                “ฉันก็อยากให้งานเธอทำอยู่หรอกนะ แต่ทางเราจะมั่นใจได้ยังไง ว่าที่

เธอมาสมัครงานที่ไร่นี่ เพราะอยากได้งานทำจริงๆ ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น”

                “คุณพูดอะไรจ๊ะ ฉันไม่เข้าใจ”

                หญิงสาวถามเสียงตื่นพร้อมบังคับนิ้วมือตัวเองไม่ได้ มันขยับยุกยิก

ไปมา ทำให้เขนเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ขณะที่ภาสันต์มองมาด้วยสายตา

แปลกๆ เหมือนจะขบขันกับท่าทางตื่นกลัวของเธอ และเป็นฝ่ายตอบแทน

เขนว่า

                “ที่พี่เขนพูดแบบนั้น เพราะมีคนโง่หลายคน เข้ามาสมัครขอทำงาน

ที่นี่ก็เพราะอยากเข้ามาสืบความลับในไร่นี้ หรือไม่อย่างนั้นก็ทำตัวเป็นสายสืบ

ให้ใครบางคน และ...เขาคิดว่าเธออาจจะเป็นหนึ่งในนั้น”

                ข้อกล่าวหาของอีกฝ่ายตรงกับความจริงเสียจนเธอปฏิเสธแทบไม่ทัน

หญิงสาวเลยต้องฝืนเล่นละครครั้งใหญ่ในชีวิต ด้วยการทำท่าตกใจอย่าง

ที่สุด แล้วร้องโวยวายออกมาว่า

                “โอย ฉันไม่โง่ก็จริง แต่ฉันก็เป็นนักสืบหรือสายลับกับใครเขาไม่ได้

หรอกจ้ะ ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากทำงานจริงๆ”

                “ถ้าอยากหางานทำแล้วทำไมเธอถึงต้องมาไกลถึงสุดเขตประเทศไทย

แบบนี้ด้วย ที่กรุงเทพฯ สุพรรณ กาญจนบุรี หรือนครปฐม ก็น่าจะมีคน

อยากจ้างเธอบ้างนะ” นายเคราครึ้มโรคจิตตั้งคำถามขึ้น

                “ฉันเคยทำงานแถวๆ บ้านมาหมดแล้วจ้ะ ไม่ว่าจะเป็นรับจ้างตัดอ้อย

ที่เมืองกาญจน์ ทำงานโรงงานปลากระป๋องที่นครปฐม หรือเป็นแม่บ้านใน

กรุงเทพฯ เลยเบื่อไม่อยากกลับไปทำอีกและคิดว่ามาหางานทำทางเหนือดู

บ้างท่าจะดี จับพลัดจับผลูจะได้เที่ยวไปด้วยเลย ฉันกะว่าจะขึ้นดอยแถวนี้

ให้ครบทุกดอยเลยจ้ะ”

                “แน่ใจนะ ว่าเธอตั้งใจจะมาทำงานไกลบ้าน แค่เพราะอยากเปลี่ยน

บรรยากาศเท่านั้นไม่ใช่เรื่องอื่น”

                “ก็บอกแล้วไงจ๊ะ ว่าฉันไม่ได้คิดจะมาสืบอะไรที่นี่” เธอพยายามฝืน

ยิ้มสู้เสือ

                “ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”

                แล้วเขนก็จ้องตาเธออย่างค้นคว้า ทำให้หญิงสาวมือเย็นเฉียบอีก

ระลอกตอนบังคับตัวเองให้ถามเขาว่า

                “คุณหมายถึงเรื่องอะไรจ๊ะ”

                คนถูกถามวางมือลงบนโต๊ะ แล้วโน้มตัวเข้ามาหา พร้อมถามเสียง

ขรึมว่า

                “บอกฉันมาซิหนูดินว่าเธอกำลังหนีอะไร หรือใครมาหรือเปล่า”

                หญิงสาวรีบส่ายหน้าหวือทันที

                “ไม่นะจ๊ะ ฉันไม่ได้หนีอะไรหรือใครที่คุณพูด ฉันแค่อยากลองมา

ทำงานบนดอยดูสักครั้งจริงๆ” ยืนกรานเสียงแข็งและเมื่อเห็นทั้งคู่ยังคง

เงียบกริบเช่นเดิมเธอเลยกล่าวเสริมต่อทันที “หรือถ้าคุณสงสัยประวัติการ

ทำงานของฉัน จะโทร. ไปถามนายจ้างคนเก่าของฉันก็ได้จ้ะ”

                “เรื่องนั้นพวกเราถามแน่ ไม่ต้องห่วง ว่าแต่ลองบอกเหตุผลดีๆ มา

ให้ฟังสักข้อซิ ว่าทำไมเธอถึงน่าจะได้ทำงานในไร่นี่” คราวนี้เป็นภาสันต์ที่ทำ

หน้าที่รุกคืบ

                “เพราะฉันมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่พวกคุณประกาศเอาไว้” อันที่

จริงอยากจะบอกว่าเกินครบด้วยซ้ำ

                “ถึงเธอจะมีคุณสมบัติครบถ้วนขนาดไหน แต่ถ้าไม่ตอบให้ชัดเจนกว่า

นี้ เราก็คงจ้างเธอไม่ได้ เพราะคนที่มาให้สัมภาษณ์ห้าคนก่อนหน้าเธอก็พูด

แบบนี้เหมือนกัน”

                            (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เธอปลอมตัวมาเป็นแม่บ้านทั้งที่ทำกับข้าวไม่เป็น เพื่อตามสืบพฤติกรรมอันน่าสงสัยของชายหนุ่มเจ้าของไร่กุหลาบ ทว่าเธอกลับไม่เคยพบเจ้าของไร่ พบแต่นายหน้าโหดเคราครึ้มมือขวาของเขา ที่ไม่เพียงสงสัยในตัวเธอแต่ยังคอยจับตาดูเธอทุกฝีก้าว เธอตามสืบ เขาตามขวาง...เธอตามล่า เขาตามรัก และแล้วความรักก็แผลงฤทธิ์ เธอพลาดท่าตกหลุมรักนายหน้าโหด แค่หลงรักคนผิด ก็วุ่นพออยู่แล้วแต่กลับงงหนักเมื่อพบว่าชายหนุ่มที่ตามสืบกับมือขวาของเขาเกี่ยวพันกันอย่างน่าขนลุก! งานนี้ไม่รู้ว่าเธอคือผู้กุมความลับทั้งหมด หรือเป็นเธอคนเดียวที่ไม่รู้อะไรเลยกันแน่!


รีวิว (1)

เขียนรีวิว

จตุพร | 1 รีวิว
13/06/2014

นิยายเรื่องนี้เป็น 1 จาก 3 ของเซต Love Secret ตัวดิฉันเองเริ่มอ่านจากเรื่องนี้ก่อน ความจริงคิดว่าอ่านแยกได้สบายค่ะ (แต่ถ้าอ่านทั้ง 3 เล่มจะเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมดมากกว่า) มีการผูกเรื่อง โดยมีจุดเชื่อมโยงคือ คนกลุ่มหนึ่งต้องมาติดเกาะอยู่ด้วยกันเพราะอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ขณะรอให้มีคนมาช่วย จึงชวนกัน เล่าความลับ ของตนให้คนที่เหลือฟังเพื่อฆ่าเวลา พระจันทร์ซ่อนหาเป็นดรื่องราว ความลับ ของ เต็มดวง นางเอกของเรื่องที่ปลอมเป็นสาวใช้ ชื่อ หนูดิน เพื่อเข้าไปสืบสาเหตุการตายของคนงานในไร่กุหลาบอมรมัทนา รวมถึงปริศนาการหายตัวไปของลูกชายเจ้าของไร่ แต่มีหรือที่นักสืบอ่อนหัดอย่าง หนูดิน จะไม่แสดงพิรุธ ให้ เขน ซึ่งเป็นผู้จัดการไร่เห็น พระเอกของเราแม้จะสงสัยแต่ก็แอ๊บแบ๊วว่าไม่รู้ทันได้อย่างแนบเนียน พยายามจับพิรุธของนางเอกอย่างเต็มที่ จับตามองไปมา แต่ดั๊นนไปเผลอใจรักเสียนางเอกซะงั้น บอกได้เลยค่ะว่าเรื่องนี้ตัวละครเยอะพอสมควร แต่ทางผู้เขียนสามารถจัดการ แบ่งความเด่นและอธิบายความสัมพันธ์ให้ตัวละครได้อย่างลงตัว ทำให้เดาไม่ถูกในช่วงแรกแน่ๆว่าใครคือคนร้ายเพราะมีจุดน่าสงสัยคนละนิดละหน่อย ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทของพระเอกอย่าง พี่ภา พี่ต้า น้องขวัญ , คนงานในไร่ อย่าง สมเดช และมะนาว หรือเจ้าของไร่ข้างๆ อย่างพ่อเลี้ยงอินทรีและน้องสาว นางเอกถึงกับหืดขึ้นคอเกือบจะถอดใจเลิกลืบไปแล้วถ้าเกิดเพื่อนสนิทของเธอซึ่งเป็นเจ้าของสำนักงานนักสืบไม่เผอิญปลอมตัวมาเป็นพี่ชายของหนูดินโผล่เข้ามาในไร่อมรมัทนาเสียก่อน เล่นเอาพระเอกหงุดหงิดเพราะความหึงหวงเลยค่ะ ช่วงท้ายๆของเรื่องจะเริ่มเฉลยแล้วว่าใครคือคนร้ายตัวจริง หรือสาเหตุการตายของคนงานในไร่ ตลอดจนปริศนาของลูกชายเจ้าของไร่ ขอบอกได้คำเดียวค่ะ เฉลยมาทีดิฉันแทบเงิบ อึ้งสุดๆ เพราะหักมุมและคาดไม่ถึงเลยว่าจะพลิกล็อคออกมาในรูปแบบนี้ นอกจากนิยายเรื่องนี้มีพลอตที่เก๋ไก๋ลงตัว ครบรสทั้งฮา ตื่นเต้น และน่าติดตามแล้ว ประกอบกับนิยายเรื่องนี้ยังได้สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับดอกกุหลาบสายพันธุ์ต่างๆ ที่ดิฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน อ่านไปเสิร์ชกูเกิ้ลไปเพื่อดูหน้าตากุหลาบงามเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน ส่วนฉากที่ดิฉันชอบไม่พ้ฉากอื่นคงต้องยกให้ฉากที่พระเอกนางเอกจีบกัน อ่านไปจิกหมอนไป ใครที่เคยติดตามผลงานของคุณอุมาริการ์มาก่อนไม่ควรพลาดเล่มนี้นะคะ ส่วนใครที่อยากได้นิยายอ่านยามว่างดีๆหนึ่งเล่มก็แนะนำค่ะ

สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024