สะดุดรักคุณนักสืบ (ชาครียา)

สะดุดรักคุณนักสืบ (ชาครียา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160006076
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 270.00 บาท 67.50 บาท
ประหยัด: 202.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทผ้าไหมสีเทามองสะพานไม้แคบๆ ขนาด

คนเดินสวนกันที่ทอดยาวจากบันไดประตูหลังอาคารสไตล์โคโลเนียล

สีเขียวพาสเทลสะอาดตาที่เพิ่งผ่านการบูรณะไปสู่เรือนไม้ทรงแปดเหลี่ยม

หน้าต่างสูงจากพื้นจดเพดาน ตัวอาคารสีเขียวอ่อน หลังคามุงกระเบื้องว่าว

สีขาวภายใต้ร่มเงาของต้นจามจุรียักษ์อย่างชั่งใจ เขาไม่ชอบบ้านไม้

แม้จะเป็นบ้านไม้ที่เพิ่งทาสีใหม่เอี่ยมก็เถอะ สำหรับเขา บ้านไม้มักเต็มไปด้วย

ฝุ่นที่เกาะฝังแน่นตามพื้นไม้และสัตว์เลื้อยคลานจำพวกจิ้งจกตุ๊กแก ซึ่งจะ

ทำให้เขาแสนจะทรมานจากอาการภูมิแพ้กำเริบ

เขาจะไม่ก้าวผ่านสะพานไม้นี้ไปเด็ดขาดหากชมพูนุท เพื่อนของ

มารดาซึ่งบัดนี้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการมูลนิธิแสงระวี ที่เพิ่งตั้งขึ้นเพื่อระลึก

ถึงการจากไปครบสามสิบปีของ แสงระวี นนทวิทย์ น้าสาวที่เขาเพิ่งเคย

ได้ยินชื่อเมื่อเดือนที่แล้วไม่กระซิบบอกว่าด้านหลังตึกใหญ่มีเรือนหนังสือ

ที่น้าสาวของเขามักมาอ่านหนังสือเป็นประจำ ชมพูนุทบอกว่าเขาควรจะ

ใช้โอกาสที่สมาชิกในบ้านและแขกเหรื่อยังเดินทางมาไม่ถึงมาสำรวจ

เรือนหนังสือเพื่อทำความรู้จักกับน้าสาวนิรนามคนนี้ให้มากขึ้น

เรื่องราวของแสงระวีเป็นปริศนาคาใจเขายิ่งนัก ไม่เคยมีใครเอ่ย

ชื่อของเธอให้เขาได้ยินนับตั้งแต่เขาจำความได้จนบัดนี้อายุกว่าสามสิบปี

ครั้นถามคนเก่าแก่ในบ้าน ก็ไม่มีใครยอมปริปากให้ข้อมูล มิหนำซ้ำยัง

ทำท่าหวาดกลัวราวกับเป็นสิ่งต้องห้าม เขาจึงต้องเริ่มต้นค้นหาความจริง

ด้วยตัวเอง ก้าวแรกของการค้นหาคือการเดินผ่านสะพานไม้เก่าๆ ที่มีเสียง

เอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ทิ้งน้ำหนักลงไปจนน่ากลัวว่ามันจะพังและเขาจะตกลงไป

ในดงหญ้าข้างล่างก่อนจะถึงตัวบ้าน

เขาผลักประตูที่ไม่ได้ล็อก ก้าวเข้าสู่ตัวบ้านที่แม้จะมืดสลัวแต่แสงสว่าง

ที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกทรงสูงโดยรอบที่เผยให้เห็นตู้หนังสือไม้โบราณ

ที่ตั้งกินบริเวณเต็มผนังห้องทุกด้าน ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่

ให้ความรู้สึกเหมือนห้องสมุดในโรงเรียน

“เฮ้ย! โอ๊ย!” ชายหนุ่มอุทานสุดเสียงที่จู่ๆ ก็มีเงาดำโผล่พรวดขึ้นมา

จากกองหนังสือบนโต๊ะไม้กลางห้อง เขากระโดดไปชนกองหนังสือบนพื้นที่

สูงระดับเอวจนหนังสือล้มครืน

ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเชียบเหมือนบ้านร้าง วูบหนึ่งเขาคิดว่า

สิ่งที่ปรากฏตัวไม่ใช่มนุษย์ แต่เมื่อเพ่งพิศสิ่งที่เคลื่อนไหวตรงหน้าอย่าง

ถี่ถ้วนก็พบว่าเป็นหญิงสาวร่างสูงเพรียวผมซอยสั้นในชุดเอี๊ยมกางเกงยีน

สวมทับเสื้อยืดสีขาวแขนสั้น ดูเผินๆ เหมือนพนักงานในอู่ซ่อมรถหรือ

ช่างทาสี เมื่อเธอเคลื่อนกายมายืนท่ามกลางลำแสงที่ส่องผ่านหน้าต่าง

กระจกทรงสูง ก็เผยให้เห็นหญิงสาวหน้าตาดี ดวงตาโตเป็นประกาย แสงแดด

ขับให้เธอดูโดดเด่นท่ามกลางความเก่าคร่ำของตู้ไม้โบราณสีคล้ำและกองหนังสือ

“คุณเป็นใคร มาทำอะไรในนี้” ชายหนุ่มถามเสียงแข็ง เธออาจเป็น

พวกหัวขโมยที่คิดว่าเรือนแสงระวีมีสิ่งของโบราณล้ำค่า ไม่ใช่หนังสือเก่าที่

ไม่มีใครแตะต้องมาหลายสิบปี เขากวาดตามองรอบห้องเพื่อหาพลพรรค

ของเธอ แต่ไม่พบใคร เขารู้สึกโกรธตัวเองที่จงใจหลบหนีการคุ้มกันของ

บอดีการ์ดมาที่นี่ตามลำพัง แต่ก็ยังเบาใจที่เธอเป็นผู้หญิงและอยู่ตามลำพัง

หากต้องต่อสู้กัน เขาก็ยังพอสู้ไหว

“แล้วคุณล่ะ...เป็นใคร” เธอยืนกอดอกถามอย่างไม่ครั่นคร้าม

“ผมชื่อภากร เป็นเจ้าของที่นี่”

“อ๋อ! ท่านเลขาธิการมูลนิธิแสงระวี” หญิงสาวลากเสียงยาวพลาง

ฉีกยิ้มกว้าง สามารถตีความได้ทั้งการกระเซ้าและประจบประแจง

ชายหนุ่มหรี่ตาอย่างไม่ไว้วางใจ เธอรู้จักตำแหน่งที่ยังไม่ประกาศ

แก่สาธารณชนของเขาได้อย่างไร

“บอกมาว่าคุณเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไง”

“ชื่อนิกกี้ค่ะ เป็นอาสาสมัครมูลนิธิแสงระวี น้านุท ผู้จัดการมูลนิธิ

สั่งให้มาจัดระเบียบหนังสือในห้องนี้ให้สะอาดสะอ้านและเป็นหมวดหมู่”

เธอเอ่ยพลางปัดกองหนังสือด้วยไม้ขนไก่ประกอบคำอธิบาย ทำให้ฝุ่นคลุ้ง

จนชายหนุ่มต้องรีบปิดปากปิดจมูกและถลึงตาใส่

“อาสาสมัครหรือ” ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิ เขาไม่รู้มาก่อนว่า

มูลนิธิแสงระวีที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันนี้เปิดรับอาสาสมัครและ

มีอาสาสมัครมาทำงานแล้ว

หญิงสาวพยักหน้ารับ ดวงตาฉายแววกระตือรือร้น

“ใช่ค่ะ เป็นอาสาสมัครคนแรกของมูลนิธิเลยนะคะ พยัคฆ์ร้าย

ศูนย์ศูนย์หนึ่ง” หญิงสาวเอ่ยพลางทำมือเป็นตัวเลขประกอบอย่างร่าเริง

ชายหนุ่มไม่รับมุกตลกที่อีกฝ่ายส่งมาให้ ยิ่งรู้ว่าเป็นอาสาสมัครเขา

ยิ่งไม่อยากให้ความสนิทสนม คนที่เรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นผู้บริหาร

ธุรกิจหมื่นล้านอย่างเขาถูกสอนเรื่องการวางตัวกับผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งแต่

จำความได้ เขาหันไปกวาดตามองรอบๆ ห้องอย่างสังเกตสังกา และหยุด

สายตาที่หนังสือกองโตบนโต๊ะตรงหน้า

“หนังสืออะไร” เขาถามพลางเอื้อมไปหยิบหนังสือมาเปิดดูแล้วรีบ

วางเพราะฝุ่นเกาะปกเขรอะ เขาปัดฝุ่นออกจากมือรวมทั้งเสื้อสูทและกางเกง

ตามด้วยเสียงจามถี่ๆ

หญิงสาวอมยิ้ม ไม่คิดว่าเขาจะเป็นหนุ่มเจ้าสำอางที่อนามัยจัดและ

บอบบางถึงเพียงนี้

“หนังสือของคุณแสงระวีทั้งหมดเลยค่ะ” หญิงสาวพูดพลางหยิบ

หนังสือเล่มหนึ่งยื่นมาตรงหน้าและพลิกหน้ากระดาษเร็วๆ เหมือนจงใจให้

ฝุ่นจากหนังสือกระจายไปกระทบจมูกของเลขาธิการมูลนิธิหนุ่ม

เขาถอยหลังไปสองก้าวพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูกพลางพูดเสียงอู้อี้ว่า

“เอาออกไป ผมแพ้ฝุ่น”

หญิงสาวปิดหนังสือฉับ

“อุ๊ย!” เธออุทานเมื่อเห็นเศษกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวออกมาจาก

หนังสือ เมื่อหยิบขึ้นมาอ่านก็เบิกตาโตอย่างตื่นเต้น

“ต๊าย! ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้อ่านจดหมายน้อยของคุณแสงระวี

ในวันเปิดมูลนิธิแสงระวี”

“ไหน...เอามาดูซิ” ชายหนุ่มถือวิสาสะดึงเศษกระดาษจากมือเธอ

 

ความหวังของโลกใหม่อยู่ที่ตัวเธอ ผู้ซึ่งเริ่มมองเห็นว่าอะไรเป็นสิ่งผิด

และทำการปฏิวัติล้มล้างสิ่งผิด มิใช่การปฏิวัติด้วยคำพูดเท่านั้น แต่จะต้อง

ลงมือกระทำ และนี่เป็นสาเหตุที่เธอจะต้องแสวงหาระบบการศึกษาที่ถูกต้อง

มีเพียงการเติบโตในเสรีภาพเท่านั้นจึงอาจจะทำให้เธอสามารถสร้างโลกใหม่

ซึ่งมิได้ตั้งอยู่บนประเพณี หรือเปลี่ยนแปลงไปด้วยลัทธิของนักปรัชญา

หรือนักอุดมคติ

 

  แด่หนุ่มสาว กฤษณมูรติ

แสงระวี

๒๕๑๙

 

ชายหนุ่มนิ่วหน้า นอกจากจะประหลาดใจกับเจ้าของจดหมายแล้ว

ข้อความในจดหมายก็น่าประหลาดใจไม่แพ้กัน ไม่ใช่จดหมายของเด็กสาว

วัยรุ่นอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามกลับเป็นบทกวีที่หนักแน่นจริงจังและ

มีสาระจนอ่านครั้งเดียวไม่อาจเข้าใจ อย่างไรก็ตามนี่เป็นสิ่งยืนยันเรื่องราว

ที่ได้รับรู้มาว่าน้าสาวของเขาเป็นหนึ่งในนักศึกษาในยุคเรียกร้องประชา-

ธิปไตยเมื่อกว่าสามสิบปีที่แล้วที่ “เข้าป่า” แล้วหายสาบสูญไปตลอดกาล

“หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตหนุ่มสาวยุคนั้นค่ะ”

อาสาสมัครสาวให้ข้อมูล

ชายหนุ่มหันมาจ้องหน้าเธออย่างสงสัยระคนไม่ไว้วางใจ ดูจากหน้าตา

เธอน่าจะอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ เหตุใดจึงรู้ความนิยมของหนุ่มสาวเมื่อ

สามสิบปีที่แล้วราวกับเตรียมตัวมาล่วงหน้า

เขาเริ่มให้ความสนใจเธออย่างจริงจัง จากใบหน้า เธอน่าจะเป็นคนไทย

เชื้อสายจีนมากกว่าลูกครึ่งฝรั่ง แต่สำเนียงการพูดของเธอแปลกๆ เหมือน

คนต่างชาติพูดภาษาไทย เขาเดาเอาว่าเธอคงเรียนหนังสือในโรงเรียนนานาชาติ

“อย่าบอกนะว่าคุณไม่เคยรู้จักหนังสือเล่มนี้” หญิงสาวเอียงคอถาม

“ผมจำเป็นต้องรู้จักหนังสือเล่มนี้ด้วยหรือ”

“นั่นสินะ นักการเงินอย่างคุณคงไม่รู้จักหนังสือประเภทนี้หรอก” หญิงสาวพูดพลางยิ้ม

“แล้วเด็กอย่างคุณล่ะ รู้จักหนังสือเล่มนี้ได้ยังไง” เขาถามน้ำเสียงคาดคั้น

“แม่กี้เป็นคนเดือนตุลาฯ...เหมือนคุณแสงระวี”

ชายหนุ่มจ้องเธอไม่วางตา ไม่ใช่หน้าตาหรือการแต่งกาย แต่เป็น

บุคลิกบางอย่างที่ทำให้เธอดูโดดเด่น เธอดูฉลาดปราดเปรื่องเกินวัยและ

เกินกว่าจะมาเป็นอาสาสมัครทำงานอยู่ในมูลนิธิเปิดใหม่ และทำหน้าที่

ในเรือนหนังสือฝุ่นเขรอะอย่างนี้ มิหนำซ้ำยังรู้ประวัติของน้าสาวเขา

เป็นอย่างดีเสียด้วย...เธอเป็นใครกันแน่

“คุณเรียนจบหรือยัง”

“จบตรีแล้วค่ะ กำลังต่อโทและทำวิทยานิพนธ์ ที่มาเป็นอาสาสมัคร

ที่นี่เพราะแม่เป็นคนเดือนตุลาฯ และอยากให้กี้มาช่วยงานมูลนิธิของคนเดือนตุลาฯ”

ชายหนุ่มนิ่วหน้า เขาเคยได้ยินเรื่องราวของพวกนักศึกษาที่เข้าป่า

และได้ชื่อว่า “คนเดือนตุลาฯ” มาบ้าง หลังจากได้ยินเรื่องราวของแสงระวี

เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ คนนี้จึงผูกพัน

กับเรื่องเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วมากเหลือเกิน มากพอที่จะเลือกมาทำงาน

อาสาสมัครในมูลนิธิของคนเดือนตุลาฯ และทำงานเกี่ยวกับหนังสือ ซึ่ง

น่าเบื่อและไม่สมกับวัยเอาเสียเลย

 “ทำงานประจำที่ไหน”

“ไม่มีงานประจำค่ะ รับจ๊อบทำงานอะไรก็ได้ที่อยากทำ...เกี่ยงงาน

แต่ไม่เกี่ยงเงิน” หญิงสาวตอบและยิ้มแบบกวนๆ

ชายหนุ่มหน้าตึง ถ้าเธอรู้ว่าเขาเป็นเลขาธิการมูลนิธิ และรู้จักน้าสาว

ของเขาดี เธอก็น่าจะรู้ว่าเขาทำงานเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ และร่ำรวย

เพียงใด นี่จึงเท่ากับว่าเธอตั้งใจกระเซ้าความเป็นทายาทเศรษฐีหมื่นล้าน

ของเขา ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ

เขาจะต้องคุยกับชมพูนุทเรื่องนโยบายการรับเจ้าหน้าที่หรืออาสา-

สมัครมูลนิธิให้ชัดเจน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนที่มีเจตนาแอบแฝงเข้ามา

ทำงานหรือเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมูลนิธินี้ หรือเพื่อเข้าถึงสมาชิก

ในครอบครัวเขา

 

เสียงทิ้งน้ำหนักลงบนสะพานไม้เก่าทำให้สองหนุ่มสาวหันขวับไปมอง

ผ่านช่องประตู ที่หัวสะพานฝั่งตรงข้าม ชายชราวัยประมาณเจ็ดสิบเดินตาม

รถเข็นไฟฟ้าที่มีหญิงชราวัยเดียวกันนั่งอยู่ ทั้งคู่กำลังตรงมาที่นี่

ชายหนุ่มคว้ามือเธอเดินอ้อมโต๊ะกลางห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งยงโย่-

ยงหยกเพราะกลัวเสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นบนพื้นห้อง แล้วดึงมือให้เธอนั่งลงข้างๆ

“อะไรกันคุณ!” หญิงสาวโวยลั่นพลางชักแขนหนี

“คุณตาคุณยายของผมกำลังมาที่นี่”

“แล้วคุณจะหลบท่านทำไม”

“นั่งเฉยๆ เถอะน่า”

“ทำท่าเหมือนกำลังสืบเรื่องฆาตกรรมอย่างนั้นแหละ”

“บอกให้เงียบ!”

“ตรงนี้ฝุ่นเยอะ ถ้าคุณจามขึ้นมา คุณตาคุณยายของคุณอาจหัวใจวาย

ได้นะ”

“นั่งเงียบๆ ห้ามแสดงตัวจนกว่าผมจะสั่ง เข้าใจมั้ย”

“ค้า...เจ้านาย” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชันและยอม

ทำตามคำสั่งแต่โดยดี พลางคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่าเดี๋ยวคงได้รู้

เรื่องราวลับๆ ของครอบครัวเศรษฐีชั้นนำเป็นแน่

 

“ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยนะคุณ” หญิงชราบนรถเข็นไฟฟ้าออกปากด้วย

เสียงแผ่วเบา หลังจากกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เนื้อเสียงขาดหายไป

บางช่วงเพราะอารมณ์สะเทือนใจ

ภาพหญิงสาววัยรุ่นผมยาวตาโตหน้าใสวิ่งกางมือราวกับนกถลาลม

ส่งยิ้มร่าออกมาจากประตูทรงสูงลอยเข้ามาในความรู้สึก กระทบใจจน

หญิงชราต้องก้มหน้าเพื่อสกัดกั้นก้อนสะอื้นที่พุ่งขึ้นมาจุกที่ลำคอ แม้ร่าง

และชื่อจะหายไปจากครอบครัวกว่าสามสิบปีแล้ว แต่ลูกสาวคนเล็กผู้แสน

ร่าเริงยังอยู่ในใจของผู้เป็นมารดาคนนี้เสมอมา

พลเอกทินกรเอื้อมมือหมายจะเปิดไฟ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจชักมือกลับ

เพื่อให้เกียรติลูกสาวผู้จากไป เขาจะไม่รบกวนความเงียบสงบในสถานที่แห่งนี้

                          (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

30 ปีที่ผ่านไปในชีวิตเขา อะไรเล่าคือความจริง? แล้วสิ่งใดคือเท็จ ทุกอย่างล้วนดูเหมือนความลับดำมืด ในวันที่เธออาสามาสืบหาความจริง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง !! แล้วเรื่องราวจะดำเนินต่อไป และมีบทสรุปอย่างไร !? ขอเชิญคุณผู้อ่านมาติดตามร่วมกันในนิยาย "สะดุดรักคุณนักสืบ" เล่มนี้

เขียนโดย "ชาครียา"

 

448 หน้า


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024