แรกแสงรัก (มาภา)

แรกแสงรัก (มาภา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160022342
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 390.00 บาท 97.50 บาท
ประหยัด: 292.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

1

มืดแปดด้าน

 

ความมืด...เพิ่งจะเริ่มต้น

เสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งเหนือประตูดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยภายในร้านอาหารที่กำลังหรี่แสงเตรียมตัวต้อนรับลูกค้า ประตูกระจกกรอบไม้สลักลายกนกอ่อนพลิ้วถูกผลักเปิดออก ทำให้ไอเย็นชื้นจากข้างนอกกรูเข้ามา

หญิงสาวในชุดเสื้อยืดคอเต่าสีน้ำตาลอ่อนปล่อยมือจากประตูให้ปิดตามหลังแล้วกระชับโคตกันลมสีควันบุหรี่ที่สวมทับอยู่ ก้มหน้าก้มตา ก้าวฝ่าลมเย็นยะเยือกเดินห่างออกมาเงียบๆ รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายจากดวงหน้าหวาน ดูไร้ชีวิตชีวาราวกับภาพเขียนสีน้ำที่ปราศจากความรู้สึก

ท้องฟ้าเหนือกรุงลอนดอนเย็นนี้เต็มไปด้วยเมฆ ปกคลุมอาคารเก่าแก่ทำให้บรรยากาศทุกหนทุกแห่งอึมครึม สูดลมหายใจไม่โล่งปอด พายุฝนที่เพิ่งหยุดไม่นานเคลือบสีเทาอ่อนของซีเมนต์ทางเท้าให้กลายเป็นสีเทาเข้มวับวาวสะท้อนภาพเงาคนเดินเท้าที่ต้องคอยหลบเลี่ยงระวังฝีก้าวไม่ให้น้ำกระเซ็นถูกตัว

อาภากรข้ามทางม้าลายกลางสี่แยกออกซฟอร์ดเซอร์คัสอันพลุกพล่าน กอ่ นจะเลี้ยวเข้ามาในตรอกสู่สวนสาธารณะประจำย่านที่เธอมักจะมานั่งคิดอะไรคนเดียวเสมอ หญิงสาวปาดน้ำฝนออกจากม้านั่งไม้ รวบผมยาวประบ่าขึ้นเกล้าหลวมๆ จากนั้นก็ล้วงกระดาษเอสี่เย็บมุมในกระเป๋าออกมาไล่ดูเนื้อความทีละบรรทัด ทีละหน้าจนครบ นัยน์ตาโศกหลุบต่ำลง แล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจพร้อมกับเอนหลังพิงพนักม้านั่ง

ร้านนี้เป็นร้านสุดท้ายแล้วจริงๆ จากร้านอาหารไทยในกรุงลอนดอนจำนวนนับร้อยที่เธอเคยเดินเข้าไปของานทำเพียงเพื่อจะได้ฟังคำตอบเดิมๆ

‘ตอนนี้เรายังไม่รับคน ไว้ลองไปถามร้านอื่นดูนะน้อง’

‘ฝากเบอร์ไว้ก็แล้วกัน ถ้าขาดคนจะโทร. เรียก’

‘เพิ่งรับเด็กใหม่ไปวันก่อนนี่เอง พี่เสียดายเรานะเนี่ย’

‘งานในครัวน่ะพอมี แต่เราไม่รับผู้หญิง ยิ่งตัวเล็กแค่นี้ด้วย’

ตัวเล็กแล้วยังไง จะขยันทำงานน้อยกว่าคนตัวโตๆ หรือเปล่า...

การทิ้งบ้านเกิดมาทำงานที่อังกฤษไม่ได้สวยงามอย่างที่เคยฝันไว้ เมื่อบริษัทรับออกแบบภายในซึ่งตั้งอยู่ในลอนดอนที่เธอทำมากว่าสองปีเพิ่งปิดตัวลงปลายสัปดาห์ก่อน บริษัทไม่อาจพยุงหนี้สินสะสมนับสิบปีได้ไหวอีกต่อไป จึงจำต้องประกาศอำลาจากวงการ

เมื่อก่อนบริษัทของเธอเคยมั่นคง มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ครั้งได้ยินข่าวการเปิดรับสมัครดีไซเนอร์จากทางเอเชีย เธอก็รีบส่งผลงานมาเสนอ เรียกเงินเดือนให้ต่ำเอาแค่พออยู่ได้ ด้วยความหวังอย่างเต็มหัวใจว่าจะได้มาเริ่มชีวิตใหม่ที่นี่ ไม่คิดเลยว่านั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัทซึ่งต้องการลดค่าใช้จ่าย แต่สุดท้ายก็ยังไม่เห็นอนาคต

แม้ประเภทวีซาที่อาภากรถือจะไม่สิ้นสภาพไปพร้อมกับสัญญาจ้าง แต่เวลาสองสัปดาห์ที่หญิงสาวใช้วิ่งเต้นหางานก็ยังคงสูญค่า ถึงจะไม่เคยเกี่ยงประเภท ไม่สนใจเรื่องเวลา แต่ก็ยังไม่มีที่ใดรับเข้าทำงาน

อาภากรยิ้มให้กำลังใจตัวเอง ก่อนพับกระดาษยับย่นเก็บใส่กระเป๋า กำลังจะลุกขึ้น ก็พอดีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมกับสั่นเบาๆ ในกระเป๋าเสื้อ หญิงสาวรีบล้วงมากดรับสาย แววตาและท่าทางกระตือรือร้น คล้ายกับจดจ่อรอคอยอย่างมีความหวัง

“กิจ เป็นยังไงบ้าง มีว่างไหม”

อาภากรนั่งตัวตรง แต่เมื่อคนปลายสายไม่ยอมพูดอะไร มีแต่เสียงลมหายใจดังมาตามสาย ดวงตายาวรีก็หลุบลง

“ไม่มีเลยใช่ไหม” เธอเอ่ยเสียงเบา

“อืม...ขอโทษนะเอ๋ย” ชายหนุ่มทอดเสียงเนิบช้า ค่อยๆ เล่า “เราลองถามเพื่อนๆ ดูแล้ว ที่แฟลตพวกมันก็ยังไม่มีใครย้ายออกกันเลย”

เกิดความเงียบขึ้นคั่นบทสนทนา ริมฝีปากสีซีดค่อยๆ แย้มขึ้น เหมือนพยายามจะยิ้ม แต่ก็ไม่คล้าย

“ช่างมันเถอะนะ ขอบคุณมากๆ”

“เอางี้ไหมเอ๋ย...”

“อย่าเลย” อาภากรขัดทันที เหมือนรู้ดีว่าชายหนุ่มกำลังจะพูดอะไร

“เอ๋ยไม่ต้องเกรงใจเรานะ เรื่องแค่นี้เราไม่ได้ลำบากเลย”

“ไม่เป็นไรจริงๆ”

“อย่าคิดมากน่ะเอ๋ย เราไปนอนกับพวกเพื่อนที่มาเรียนโทได้ ยังไงพวกมันก็กินนอนกันอยู่สตูในมหา’ลัย เอ๋ยสิ ถ้าหาไม่ทันขึ้นมาจะไปอยู่ที่ไหน”

“ยังไงก็ต้องทัน”

“เอ๋ย” น้ำสียงของชายหนุ่มฟังคล้ายพี่ปรามน้อง “เราพูดจริงๆ นะ เราอยากช่วย เอ๋ยก็รู้ว่าเอ๋ยไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานคนไทยคนเดียที่เรามี แต่เราสองคนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาขนาดไหน จะให้เอาตัวรอดคนเดียวเราไม่สบายใจ"

คำพูดตรงไปตรงมาของรณกิจทำให้อาภากรยิ้มออก แต่แววตาของเธอยังแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนใจ เขารู้ว่าเธอต้องวิ่งเต้นหางาน จึงอาสาช่วยเป็นธุระเรื่องนี้มาหลายครั้ง

“ขอบคุณมากๆ แต่ไม่ต้องห่วงเราหรอกนะ กิจนั่นแหละ เพิ่งได้งานใหม่ไม่ใช่หรือ รีบไปเข้างานเถอะ เดี๋ยวสายนะ”

“เอ๋ย...”

“ไปเถอะน่า ไว้ว่างๆ เราค่อยนัดเจอกันนะ”

รณกิจอึกอักอยู่อีกอึดใจหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอม “อืม งั้นเราไปนะ แต่ถ้าเอ๋ยมีอะไรให้ช่วย อย่าลืมบอกเรา เข้าใจไหม”

“อื้ม”

“ดูแลตัวเองดีๆ นะ”

“อื้ม ขอให้ได้ทิปเยอะๆ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ระดับไหนล่ะ”

อาภากรยิ้มกับเสียงหัวเราะทิ้งท้ายของอีกฝ่าย เก็บโทรศัพท์แล้วกลับออกไปที่ถนนสายเดิม จำเป็นต้องหยุดเรื่องงานมาคิดเรื่องที่เร่งด่วนกว่า

แฟลตเช่าที่เธอเคยพักพิงอาศัยมาตั้งแต่วันแรกในเมืองใหญ่กำลังจะถูกปล่อยขาย เจ้าของแฟลตให้เวลาลูกบ้านทุกคนหาที่อยู่ใหม่เพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ก่อนที่นายหน้าจะเข้ามาตรวจสภาพบ้านเปล่า และหนึ่งสัปดาห์ที่ว่า เธอก็ใช้มันมาสามวันแล้ว

แต่การหาที่อยู่ใหม่กะทันหันเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนมีงบจำกัดอย่างเธอ ยิ่งปลายเดือนกันยายนช่วงใกล้เปิดเทอมแบบนี้นักเรียนนักศึกษาต่างชาติเปลี่ยนที่อยู่กันมาก เท่าที่สู้ราคาไหวและอยู่ในย่านปลอดภัยก็ถูกจับจองไปหมดแล้วตั้งแต่เดือนก่อน

สายลมต้นฤดูใบไม้ร่วงโหดเหี้ยมขึ้นทุกนาที หญิงสาวเริ่มหายใจติดขัด ปวดขมับจนตาพร่า เมื่อคำถามเก่าๆ เริ่มย้อนกลับเข้ามาในหัว

หรือเธอจะต้องกลับเมืองไทยแล้วจริงๆ

ไม่! ไม่มีทาง!

ทันใดนั้นเสียงตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้นจากด้านหลัง แค่เสี้ยววินาทีก่อนหญิงสาวจะถูกใครคนหนึ่งกระแทกจากด้านหลังจนเสียหลักไถลครูดพื้นซีเมนต์ชื้นแฉะไปด้วยกัน อาภากรเย็นสันหลังวาบ แสบปลาบที่ข้อมือ แล้วเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล เธอเห็นกระเป๋าปักดิ้นสีแดงชาดที่กระเด็นไปบนถนน ไม่คิดอะไรแล้วนอจากกระโจนทับคนที่กำลังกระเสือกกระสนร้องหาทางเอาตัวรอดไม่ให้หนีไปได้ ก่อนตำรวจจะวิ่งจากไหนไม่รู้มารวบตัวเอาไว้ภายในไม่กี่อึดใจท่ามกลางความชุลมุน

“ขอบคุณมาก ขอบคุณมากๆ สาวน้อย ถ้าไม่ได้หนูฉันคงแย่”

หญิงชราร่างผอมชาวอังกฤษวิ่งหอบเข้ามาเขย่ามือเธอด้วยท่าทางปลาบปลื้มใจ ขณะที่หญิงสาวยังงุนงงปนตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอยิ้มตื่นๆ ปัดเนื้อตัว ขณะฝ่ายนั้นกำลังคะยั้นคะยอขอเลี้ยงน้ำชาเป็นการขอบคุณ ไม่ได้สังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองเธอจากมุมบาทวิถีเดียวกัน

“ไปหน่อยเถอะนะแม่หนู ที่เคนซิงตันพาเลซมีทีเฮาส์นั่งสบาย...”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ แค่เรื่องบังเอิญ” เธอรีบโบกมือปฏิเสธ

“แต่ฉันคงนอนไม่หลับ ถ้ายังรู้สึกติดค้างแม่หนูอยู่อย่างนี้”

“ขะ...ขอบคุณนะคะ แต่ฉัน...ไม่สะดวกจริงๆ”

“งั้นขอฉันให้อะไรแม่หนูเป็นการตอบแทนบ้างได้ไหม”

ว่าแล้วฝ่ายนั้นก็ล้วงธนบัตรห้าสิบปอนด์จากกระเป๋าเปื้อนเปรอะออกมา พยายามจะยัดใส่มือเธอ อาภากรส่ายหน้าดิกพร้อมกับโบกมือโบกไม้ แต่ปฏิเสธอย่างไรหญิงชราก็ไม่ยอม เธอเริ่มหน้าซีดอย่างจนหนทาง

“อยู่นี่เอง หาตั้งนาน”

เสียงหวานๆ ของใครคนหนึ่งดังขึ้นขัดบทสนทนา สำเนียงอังกฤษรื่นหูเป็นของหญิงสาวชาวเอเชียหน้าตาท่าทางทันสมัย เจ้าของร่างสูงระหงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ถอดแบบมาจากหน้าร้านแบรนด์เนมราคาเห็นแล้วจะเป็นลม ใครคนนั้นส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร

“เราสองคนหลงกันน่ะค่ะมิส ขอตัวก่อนนะคะ...ไปเถอะ”

ไม่พูดพร่ำทำเพลง หญิงสาวคว้าข้อมือเธอ แล้วลากออกมาทันที

อาภากรยื้อข้อมือแสบปลาบที่ถูกกึ่งดึงกึ่งจูงมาจนถึงหน้าร้านขายเปียโนในตรอกถัดมาอีกราวสิบเมตร เธอรีบเอ่ยกับหญิงสาวเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นด้วยอาการตกประหม่า

“อะ...เออ ขอโทษนะคะ”

หญิงสาวคนนั้นหันมาหาเธอ หัวเราะคิกคัก

“นี่...เอ๋ย! ยังขี้เกรงใจเหมือนเดิมเลยนะ”

อาภากรจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ไม่ใช่แค่เพราะหญิงสาวพูดภาษาไทยได้ แต่ฝ่ายนั้นยังรู้ชื่อเล่นของเธอด้วย!

“เอ๋ยจำเราไม่ได้จริงๆ หรือ” ในน้ำเสียงมีความขบขัน “เรารินไง รินลดา วรโยธิน ประธานนักเรียนที่เคยลอกรายงานเด็กหญิงอาภากรจนเกือบจะโดนปลดจากตำแหน่ง นึกออกหรือเปล่า"

“รินลดา...วรโยธิน...” เธอทวนคำช้าๆ

“อื้ม ในรุ่นมี ‘รินลดา’ คนเดียวนี่แหละ”

“รินลดา...” แววตาของอาภากรยังครุ่นคิด “รินลดา...ห้อง ม. สามทับสี่...หรือเปล่า”

“บิงโก!” รินลดาหัวเราะรื่น “นึกว่าจะจำกันไม่ได้ซะแล้ว เป็นยังไงบ้าง นี่เราไม่เคยได้ข่าวเอ๋ยเลย ตั้งแต่เอ๋ยออกไปตอน ม. สาม”

อาภากรยิ้ม เป็นยิ้มซึมๆ ที่ทำให้นัยน์ตาโศกดูเศร้าลงไปอีก

ไม่แปลกหรอก เพราะตั้งแต่นั้นมา ชีวิตของเธอก็ไม่เคยมี ‘ข่าว’ อะไรจริงๆ นั่นแหละ...

“เอ๋ยกล้ามากนะที่เข้าไปช่วยมิสคนนั้น มันอันตรายรู้ไหม ถ้าคนร้ายมีอาวุธจะทำยังไง” รินลดานิ่วหน้าน้อยๆ ขณะพากันเดินต่อ “แต่ก็ดีแล้วที่เอ๋ยไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เจอเอ๋ยอีก อุ๊ย! เอ๋ยมีแผลนี่”

“อื้ม ถลอกนิดเดียว ช่างมันเถอะ” เธอรีบใช้มืออีกข้างปัดแผลแสบปลาบ แล้วเป่าเศษฝุ่นอย่างไม่ใส่ใจ

รินลดาพยักหน้านิดหนึ่ง แม้จะยังมองแต่ก็ไม่พูดถึงอีก

“แล้วนี่เอ๋ยมาทำอะไรที่ลอนดอนล่ะ มาเที่ยวหรือมาเรียนต่อ”

“เรามาทำงาน...แล้วรินล่ะ” เธอรีบถามกลับ เปลี่ยนความสนใจ

“เราหรือ เราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่จบ ม. สามแล้ว ตอนนี้ทำงานให้บริษัทของ...ที่บ้าน” แววตาของรินลดาหมองลงเมื่อเล่าถึงตรงนี้ ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำจากนั้นก็ยิ้มฝืนๆ “เอ๋ยทำงานอะไรหรือ แล้วอยู่มานานยัง ได้กลับเมืองไทยบ้างไหม”

“ยังไม่ได้กลับเลย พอดี...มีเรื่องให้ต้องทำก่อน”

“อ้อ...อืม” รินลดาพยักหน้า ท่าทางยังดูประดักประเดิด “แล้ว...เอ๋ยมาเดินทำอะไรคนเดียวนี่ล่ะ วันศุกร์แบบนี้ไม่ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ หรือ”

อาภากรส่ายหน้า “กำลังจะกลับแล้วละ”

“พักอยู่แถวไหน ให้เราไปส่งนะ”

“ไม่เป็นไร เราอยู่กรีนิชนี่เอง นั่งทูบแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว” รถไฟใต้ดินที่นี่มีสิบกว่าสาย ครอบคลุมและสะดวกสบาย เธอไม่อยากรบกวนใคร

ทั้งสองคนค่อยๆ เดินมาจนถึงทางลงสถานีรถไฟใต้ดินบอนด์สตรีต ครั้นถูกปฏิเสธทุกทาง รินลดาจึงเปิดกระเป๋าหนังสีฟ้าน้ำทะเลแล้วหยิบนามบัตรออกมายื่นให้ ท่าทางอาลัยอาวรณ์ราวกับยังมีเรื่องอยากชวนคุยมากมาย และยังไม่อยากแยกจากไป

“งั้น...ถ้าเอ๋ยมีปัญหาอะไรโทร. หาเรานะ เราอยู่ที่นี่มานาน อาจจะพอช่วยได้บ้าง”

“อื้ม ขอบคุณนะ”

อาภากรเห็นสายตารินลดาเหมือนกำลังรออะไรขณะหลุบมองนามบัตรในมือเธอ หญิงสาวจึงเปิดกระเป๋าหยิบของตัวเองออกมาให้ด้วย

“ขอบคุณนะเอ๋ย” รินลดาระบายยิ้มจางๆ “เราดีใจนะที่ได้เจอเอ๋ยอีก อยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนเก่าๆ เลย เพื่อนคนไทยก็นับคนได้ เรายังฝันถึงโรงเรียนอยู่บ่อยๆ ไว้เรานัดไปเที่ยวกันนะ”

“อื้ม ไปสิ”

อาภากรยิ้มค้าง ยืนมองเพื่อนเก่าเดินห่างออกไปทีละนิดจนไกลสายตา เธอหลุบตาอ่านนามบัตรในมือปราดเดียว ก่อนจะทิ้งมันลงถังขยะใกล้ตัว

ถ้าการจากเมืองไทยมาหมายถึงการเริ่มชีวิตใหม่ เธอก็จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่นั่น

รวมถึง...ทุกคน

 

พระอาทิตย์ช่วงเปลี่ยนฤดูลับขอบฟ้าไวกว่าสัปดาห์ก่อน อุณหภูมิที่เห็นตอนเดินขึ้นจากสถานีรถไฟเป็นเลขหลักเดียวแล้ว อาภากรกลับถึงแฟลตเช่าสองชั้นสภาพกลางเก่ากลางใหม่อันเงียบเชียบ ‘มักดาลีน่า’ แฟลตเมตช่างคุย ชาวบัลแกเรียคงย้ายออกไปแล้ว เหมือนกับคนอื่นๆ ที่มีทางไป

พื้นที่รอบบริเวณชุมชนค่ำนี้มืดสลัว ต้นเหตุอาจเป็นเพราะไฟถนนที่เกิดไม่อยากทำงานเอาดื้อๆ ตั้งแต่คืนก่อน หญิงสาวกำพวงกุญแจคลำหาลูกบิดประตู

(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

ไม่ว่าชีวิตจะต้องเจอความมืดสักกี่ค่ำคืน
ดวงอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นเสมอในเช้าวันใหม่
“ถ้าอดีตของผมเป็นเหมือนกลางคืนที่ยาวนาน นาน...จนไม่รู้ว่ามันจะจบลงได้อีกไหม 
เอ๋ยคือแสงแรกที่ส่องมา เป็นแสงสว่างที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตต่อไป”
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดพาสองชีวิตมาพบกัน 
ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมและหม่นเหงาของมหานครลอนดอน
‘เธอ’ จากบ้านเกิดมาแสนไกลหวังที่จะมีชีวิตใหม่ 
ทิ้งเรื่องราวในอดีตไว้เป็นเพียงความทรงจำอันซีดจาง
‘เขา’ ผิดหวังจากชีวิตจนเลือกหันหลังให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
อุบัติเหตุครั้งนั้นพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ณ ที่นี่...‘คฤหาสน์เอเวอร์ดีน’ คือจุดเริ่มต้น
คฤหาสน์ที่เยียบเย็นไร้ชีวิตเริ่มมีไออุ่น 
เมื่อเธอก้าวเข้ามาในฐานะคนดูแลชายพิการอย่างเขา
สำหรับเขา...เธอคือแสงตะวันแรกของชีวิต
สำหรับเธอ...เขาคือคนที่ทำให้หัวใจแห้งผากกลับเป็นสดใส
“ความสุขไม่เกี่ยวกับเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ แต่อยู่ที่ว่าได้ใช้วันเวลาและสถานที่นั้น...กับใคร”
สำหรับสองชีวิตที่โหยหาความอบอุ่น
นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่ทั้งคู่ไขว่คว้าตามหามาตลอดชีวิต...ก็เป็นได้

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024