เคหาสน์ป่วนรัก (ธารใส)

เคหาสน์ป่วนรัก (ธารใส)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786165002240
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 250.00 บาท 62.50 บาท
ประหยัด: 187.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                  ชายหนุ่มก้าวออกมาจากเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ของสายการบิน

ประจำชาติ พนักงานต้อนรับซึ่งสวมชุดไทยสีบานเย็นพนมมือไหว้อย่าง

อ่อนน้อมพลางส่งยิ้มหวานบาดใจให้ เขาเพียงแค่ก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้

ก่อนเดินออกไปด้วยท่วงท่าสง่า ทิ้งให้พนักงานต้อนรับสาวหันไปกระซิบ

กระซาบกับเพื่อนร่วมงาน

“ใครน่ะ หล่อจังเลย เป็นดาราหรือเปล่านะเธอ”

“ไม่ใช่มั้ง หน้าตาไม่คุ้นเลย แต่ขอเดาว่ารวย นั่งเฟิสต์คลาสเสียด้วย

โอ๊ย! อยากมีอย่างนี้สักคน หล่อๆ รวยๆ”

“ฝันไปแล้วย่ะ” พนักงานสาวคนเดิมค้อนเพื่อน ไม่วายเหลือบมองคน

ที่เดินผ่านไปแล้วด้วยความเสียดาย ไม่รู้เลยว่าคนที่ตนเอ่ยถึงได้ยินเข้าเต็มสองหู

วรวฤทธิ์ถอนหายใจ บทสนทนาประเภทนี้เขาได้ยินจนชินหู มีแต่คน หมายปองเขา จะด้วยหน้าตา นามสกุล หรืออะไรก็ตาม แต่นั่นก่อนจะได้รู้

ความจริงว่าสถานะของเขาในครอบครัวเป็นเช่นไร

มันไม่ได้ดูดีอย่างภาพลักษณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย

                เพียงครู่เดียวเขาก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาจนถึงสายพานรอรับ กระเป๋า วรวฤทธิ์เฝ้ามองกระเป๋าใบแล้วใบเล่าผ่านหน้าไปโดยไม่นึกหงุดหงิด

เมื่อไม่เห็นสัมภาระของตน เขารอมานานแล้ว รออีกหน่อยจะเป็นไรไป

จากนี้ ต่างหากคือของจริง เขาต้องเผชิญหน้ากับคนในครอบครัวและพิสูจน์ตัวเอง ว่าที่ร่ำเรียนมาทั้งหมดนั้นคุ้มค่า เขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนพวกนั้นหัวเราะ

เยาะได้เด็ดขาดว่าตราหน้าเขาไว้ถูกต้องแล้ว!

เขาคว้ากระเป๋าใบโต แต่ก็ยังถือว่าเล็กไปเมื่อเทียบกับนักเรียนนอก

คนอื่นๆ ที่ทยอยกลับเมืองไทยมาก่อน แต่ละคนมีกระเป๋าใบใหญ่คนละ

สองสามใบ และยังส่งข้าวของกลับมาทางเรืออีก แต่เขามีเพียงแค่กระเป๋าใบเดียว ทุกอย่างนอกเหนือจากนี้ทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาจากอเมริกามาแล้ว ชีวิตต่อจากนี้ ต่างหากที่เขาจะต้องคำนึงถึง จึงไม่จำเป็นต้องหอบข้าวของมาให้หนักเปล่า...

แม้จะเสียดายอยู่บ้างก็ตาม

ชายหนุ่มเดินออกมายังส่วนรอรับผู้โดยสาร กวาดตามองคร่าวๆ

ไม่คาดหวังว่าจะมีคนมารอรับ แต่ก็สะดุดเข้ากับร่างผอม หน้าตอบของใครคน หนึ่งที่คุ้นตา จึงรีบสาวเท้าเดินไปหาทันที

“ลุงหม่อน”

“คุณหนูอาร์ม” ชายชราโค้งคำนับ ทำเอาชายหนุ่มเผลอขมวดคิ้ว พูดเสียงดุ

“ลุงอย่าเรียกผมอย่างนั้นได้ไหม ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“อายหรือครับ” คนรถประจำบ้านอมยิ้ม “คุณหนูไม่มีอะไรต้องอาย”

“ถ้าลุงพูดดังกว่านี้อีกนิด ผมว่าคงได้อายกันจริงๆ” วรวฤทธิ์บ่นอุบ

รู้สึกเหมือนกลับเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้งที่ตอนอยู่เมืองนอกเขาทำตัวเป็นผู้ใหญ่

กว่าวัยมากจนใครต่อใครต่างพากันขยาด ไม่กล้าเล่นหัวด้วยเลยสักคน

“อย่าถือสาคนแก่เลยครับ ลุงติดเสียแล้ว เรียกคุณหนูมาตั้งแต่ยังตัว

กะเปี๊ยก เดี๋ยวนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว จำเกือบไม่ได้”

“แล้วลุงจำผมได้ยังไง”

“คุณนีรนาถส่งรูปให้ดูครับ กลัวผมรับผิดคน คุณหนูต้องรอเก้อ

หนทางก็ยังไม่คุ้น กรุงเทพฯ เปลี่ยนไปมากกว่าตอนคุณหนูจากไป”

                คนขับรถชราเอ่ยชื่อมารดา เขาพยักหน้ารับ

“ผมเห็นแล้ว สนามบินก็เปลี่ยนใหม่”

วรวฤทธิ์เดินตามคนขับรถออกไป ชายหนุ่มเป็นคนร่างสูง ผิวขาวจัด เครื่องหน้าคมเข้ม ทว่านัยน์ตากลับอ่อนโยน หวานซึ้งราวกับสตรี ซึ่งเป็นสิ่ง

เดียวที่ได้มาจากมารดาและเขาภูมิใจเป็นที่สุด ทว่าตาคู่สวยกลับไม่ค่อยได้

ฉายแววนุ่มนวลนัก เพราะเจ้าตัวมักเคร่งเครียดจนบดบังบุคลิกนั้นไปเสียหมด

“คุณหนูจากไปนาน ไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเลย กี่ปีแล้วนะครับ?”

“สิบห้าปี”

“นานมากจนผมนึกว่าจะไม่ได้เจอคุณหนูอีกเสียแล้ว คุณนีรนาถก็ดีใจ มาก ในที่สุดคุณหนูก็กลับบ้าน”

“ผมเรียนจบแล้ว จากนี้ก็คงกลับมาทำงาน”

“คุณผู้ชายคงมีแผนสำหรับคุณหนูแล้ว”

“ผมมีแผนของตัวเอง” วรวฤทธิ์พูดเบาๆ คล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่า แล้วก็นิ่งเงียบไป ครุ่นคิดในภวังค์ขณะรถแล่นออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ

เขาใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกามานานถึงครึ่งหนึ่งของอายุ เคยคิดว่าจะไม่กลับ มาเหยียบบ้านเกิดเมืองนอนอยู่เหมือนกัน แต่มารดาขอร้องให้กลับมาเพื่อ

สืบทอดกิจการครอบครัว

คิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ยิ้มมุมปาก ไม่รู้ว่าที่มารดาให้เหตุผลนั้น

เพราะไม่รู้จริงๆ หรือว่าอ้างไปอย่างนั้นเอง ตระกูลจตุพลมาศไม่จำเป็นต้องใช้

เขาสืบทอดกิจการใดๆ หรอก หน้าที่นั้นมีคนรอรับอยู่แล้ว ทั้งยังทำได้ดีเสียด้วย

คนนั้นคือ...พี่ชายต่างแม่ของเขา

 

                 รถจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ย่านใจกลางเมือง วรวฤทธิ์นึกผิดหวัง

อยากให้เป็นบ้านหลังใหม่มากกว่า เขาคิดเล่นๆ ว่าในเมื่อทุกอย่างในเมือง

หลวงเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดขนาดนี้ ตระกูลของเขาก็น่าจะเปลี่ยนไปบ้าง อย่างเช่นย้ายไปอยู่บ้านหลังอื่นที่ไม่มีความทรงจำในอดีตมากมายขนาดนี้ ซึ่ง

ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจดจำ

ทันทีที่ก้าวออกจากรถยนต์สีดำมันปลาบคันใหญ่ หญิงร่างอ้วนก็โผเข้า กอดรัดชายหนุ่มเสียแน่น เขาได้แต่ยืนตะลึง ยกมือขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทาง ไม่แน่ใจว่าควรกอดตอบดีไหม

หล่อนเป็นใคร? เขายังเห็นหน้าไม่ถนัดเลย

“คุณหนูอาร์ม!” เจ้าของร่างอ้วนท้วนเรียกเขาด้วยเสียงเต็มตื้น

“เอ่อ...” เขายังลังเล ไม่แน่ใจว่าควรพูดอย่างไรออกไป

“พอๆ ยายนิ่ม กอดอาร์มแน่นอย่างนั้น เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกหรอก”

เพราะเสียงปรามทีเล่นทีจริงทำให้ ‘ยายนิ่ม’ ปล่อยเขาออกจากอ้อม

กอด หันไปมองหญิงอ่อนวัยกว่า บอกเสียงอ่อย

“ก็อิฉันดีใจนี่คะ ไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปี โถ! พ่อคุณของนิ่ม โตขึ้น

ตั้งแยะจนเกือบจำไม่ได้ แต่ดูจะซีดไปนะคะ ป่วยหรือเปล่า”

“แหม ยายนิ่ม อาร์มเขาไปอยู่เมืองหนาว แดดไม่ค่อยมีก็เลยผิวขาว

อย่างนี้ละ ไม่ได้ตัวซีดตัวเซียวอย่างที่คิดหรอก”

เขาอ้าปากจะพูด แต่สองสาวต่างวัยแย่งพูดเสียหมด เลยได้แต่ยืนฟัง

เฉยๆ รอจังหวะจะได้ทักทายบ้าง

“แม่ครับ”

“อาร์ม” หญิงร่างสูง สีหน้ายิ้มแย้มใจดี ผมดัดสั้นเป็นลอนแนบใบหู

หันมายิ้มให้ พลางอ้าแขนรับเมื่อบุตรชายโผเข้ากอด

“ผมคิดถึงแม่นะครับ”

“แม่ก็เหมือนกัน” คุณนีรนาถยิ้มอ่อน “เข้าไปข้างในกันดีกว่า แม่ให้คน ทำความสะอาดห้องให้อาร์มไว้แล้ว พ่อเองก็ตื่นเต้นมากที่จะได้เจออาร์มเสียที

บ่นอยู่ตลอดว่าคิดถึงอาร์ม”

“ถ้าคิดถึง ทำไมไม่ไปหาผมล่ะครับ” เขาอดพูดออกมาดังๆ ไม่ได้

มีอย่างหรือ คนเป็นพ่อไม่เคยไปเยี่ยมเยียนบุตรชายในต่างแดนเลย

สักครั้งในช่วงเวลาสิบห้าปี! ขนาดแม่ยังไปเป็นประจำ ขณะที่แม้แต่เงาของพ่อ

เขาไม่เคยได้เห็น จนเขาคิดว่าตัวเอง ‘ถูกปล่อยเกาะ’ อย่างสมบูรณ์ ไม่ผิดจาก เหตุผลตอนถูกส่งไปเรียนต่อ

                อาจเพราะเหตุนี้ เขาจึงประชดด้วยการไม่กลับมาเหยียบเมืองไทยเลย คล้ายเป็นการดื้อแพ่ง ถ้าหากพ่อไม่อยากเจอลูกชายคนเล็กก็แล้วไป! ของขวัญ

และการ์ดประจำเทศกาลต่างๆ นั้นไม่มีความหมายหากปราศจากเจ้าตัว เขาไม่รู้ ด้วยซ้ำว่าพ่อจำวันสำคัญของเขาได้จริงๆ หรือว่าแม่คอยย้ำเตือนกันแน่ ปฏิเสธ ไม่ได้เลยว่าสมัยเป็นเด็กชาย เขาทั้งน้อยใจและเสียใจมากเหลือเกิน

แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว

ชายหนุ่มเรียนรู้คำว่าชาชิน เขาชินกับความเฉยชาจากทางบ้าน มีเพียง

แม่เป็นที่พึ่งทางใจ ถ้าหากแม่ไม่ขอร้องอย่างจริงจัง เขาก็อาจตัดสินใจอยู่ที่นั่น

ต่อ หางานทำและตั้งต้นใช้ชีวิตที่โน่นเลยก็เป็นได้

แต่เมื่อกลับมาแล้ว เขาก็ตั้งใจจะลบภาพเก่าๆ ที่บางคนในรั้วเดียวกัน

มองเขาเสียที

คุณนีรนาถเดาความคิดของลูกชายได้ จึงเอ่ยเบาๆ อย่างอ่อนโยน

“อาร์มอย่ารื้อฟื้นมันเลยลูก เรื่องไม่ดีจะจำไปทำไม ตอนนี้อาร์มก็กลับ มาแล้ว พ่อเขาดีใจนะ คุณใหญ่ก็เหมือนกัน”

สีหน้าของคนฟังขึ้งเคียดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินอีกชื่อหลุดจากปากของ

ผู้เป็นแม่ ซึ่งบัดนี้ก็รู้สึกตัวเช่นกันเลยยิ้มเจื่อน ขณะชายหนุ่มพูดเบาๆ พอให้

ได้ยินกันสองคน

“เขาคงไม่ดีใจหรอกครับที่ผมกลับมา”

“อย่าพูดอย่างนี้สิ อาร์ม” แม่ปราม “ยังไงคุณใหญ่เขาก็เป็นพี่”

“แล้วเขาเคยเห็นผมเป็นน้องหรือครับ ขนาดแม่ยังต้องเรียกเขาว่าคุณ

ทั้งที่ควรจะกลับกันต่างหาก”

“แม่ติดน่ะ” คุณนีรนาถแก้ตัวแทนคนไม่อยู่ “ขึ้นไปหาพ่อดีกว่านะ”

วรวฤทธิ์ไม่เถียงอะไรอีก เขาเดินตามแม่ขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านใหญ่ ทว่าไร้ซึ่งความสุขในความทรงจำของเขา แต่ไม่แน่...หลังจากวันนี้ทุกอย่างอาจ เปลี่ยนไปก็เป็นได้ เขาแค่ต้องระลึกไว้ตลอดเวลาว่าตนไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป

แล้ว แต่เป็นผู้ใหญ่ มีสิทธิ์เสียงและสถานภาพเท่าเทียมกับ ‘คนอื่น’ ในบ้าน

หลังนี้ ในฐานะลูกชายคนเล็กของบ้านจตุพลมาศ

ห้องทำงานของพ่อยังคงกว้างขวางและให้ความรู้สึกเคร่งขรึมแบบเดียว

กับที่เขาจำได้ แต่คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะกลับแก่ลงไปตามวันเวลา แม้จะยัง

คงเค้าโครงหน้าเดิมให้ได้เห็นว่าคือคุณสนันตน์ จตุพลมาศ นักธุรกิจเจ้าของ

กิจการมากมายในประเทศนี้

วรวฤทธิ์ยกมือไหว้ผู้ให้กำเนิด ก่อนนั่งลงฝั่งตรงข้าม หน้านิ่งเฉยคล้าย

ดูเชิงว่าชายสูงวัยกว่าจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างไร

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” คุณสนันตน์พูดเบาๆ เสียงเข้มเป็นการเป็นงาน

“ครับ” เขาพยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ

นักธุรกิจใหญ่ถอนหายใจเบาๆ “แกเพิ่งกลับมาคงเหนื่อย นาถ พาลูก

ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ตอนกินข้าวเย็นค่อยคุยกันอีกทีก็ได้ ให้ตาใหญ่อยู่ด้วย

พร้อมหน้ากันเสียก่อน”

ชายหนุ่มไม่ยินดีหรือยินร้ายใดๆ แค่อดคิดไม่ได้ว่าที่รอให้พร้อมหน้า

กันก่อนเพราะต้องการเปรียบเทียบว่าพี่ชายต่างแม่ของเขาดีกว่ามากแค่ไหน

หรือเปล่า

เป็นความคิดในแง่ร้าย...ทว่าเขาเคยชินกับการคิดอย่างนั้นก่อนคิดใน

แง่ดี เพราะความฝังใจแท้ๆ

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับพ่อ” เขาลา เดินออกมาเงียบๆ โดยมี

คุณนีรนาถตามออกมาด้วย

คุณนีรนาถเดินนำลูกชายไปถึงห้องนอน พลางพูดว่า “ห้องเก่าของ

อาร์มเล็กกว่าห้องนี้มาก พ่อเขาเลยคิดว่าไหนๆ อาร์มก็กลับมาอยู่บ้านถาวร

แล้ว เลยเปลี่ยนเป็นห้องนี้ดีกว่า อาร์มชอบไหม”

เขากวาดตามองรอบห้องขนาดกว้างขวาง ก่อนพูดเบาๆ “ยังไงก็ได้ครับ ความจริงผมนอนห้องเก่ายังได้เลย ไม่เห็นต้องลำบากกันนี่ครับ”

“ห้องนั้นทุบรวมกับห้องคุณใหญ่แล้วละ”

ชายหนุ่มเผลอขบกราม แม้ไม่ผูกพันกับห้องนอนเก่าสมัยวัยเยาว์มาก

นัก แต่พอได้ยินว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องคนที่เป็นอริกลายๆ เขาก็ชักไม่พอใจ

                หญิงสูงวัยคงนึกได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร จึงรีบเอ่ยต่อ

“อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป สิบห้าปีแล้วนี่นา อาร์มอย่าคิดอะไรมากเลย

ห้องนี้ตกแต่งใหม่หมดนะ แต่ถ้าอาร์มไม่ชอบอะไรชิ้นไหนก็ให้คนมายกออก เปลี่ยนใหม่ได้ตามใจ แม่ก็ไม่รู้รสนิยมหนุ่มๆ เสียด้วย เลยจัดเท่าที่จำเป็น

ก่อน” คุณนีรนาถพูดติดตลก หวังให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น หล่อน

ตระหนักว่าลูกชายไม่ใช่เด็กแล้ว เป็นหนุ่มวัยเฉียดสามสิบปี ถึงจะยัง

อ่อนน้อมกับแม่ แต่ก็หาใช่เด็กเล็กๆ ไม่มีปากเสียง ได้แต่เดินตามรอยทางที่

ผู้ใหญ่กำหนดไม่

ตรงกันข้าม คุณนีรนาถรู้ว่าวรวฤทธิ์นั้นแบกรับความรู้สึกอย่างไรไว้มา ตลอดสิบห้าปี

และถึงรู้ก็ใช่ว่าหล่อนจะทำอะไรได้มาก สมัยนั้นหล่อนเป็นแค่ผู้อาศัย

ในบ้านหลังนี้ ไม่ว่าสามีจะรักใคร่สักเพียงใดก็ตาม ถ้ากล้าสักนิด ลูกชายก็อาจ

จะไม่ถูกส่งตัวไป แต่หลังจากนั้น คุณนีรนาถก็เข้าใจเหตุผลและเห็นประโยชน์ หล่อนได้แต่หวังว่าวันหนึ่งวรวฤทธิ์จะเห็นเช่นกัน

 

                   บรรยากาศของการรับประทานอาหารมื้อเย็นในบ้านจตุพลมาศอวล

ไปด้วยความอึดอัด ทั้งที่ควรจะเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาที่สมาชิกกลับมา

อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีใครพูดจากันมากนักในช่วงแรก ก่อนคุณสนันตน์

จะทำลายความเงียบด้วยการเอ่ยปากถามลูกชายคนเล็ก

“ว่าไง เจ้าอาร์ม ไปเรียนมาได้ความรู้อะไรมาบ้าง”

“ก็อย่างที่อาจารย์สอนนั่นแหละครับ” เขาตอบเนือยๆ ไม่ตั้งใจยียวน

แต่ก็ทำให้คนฟังชักสีหน้าไม่ค่อยดีจนหญิงคนเดียวในห้องต้องรีบแก้

สถานการณ์

“คุณก็...ลูกกลับมายังไม่ทันข้ามวัน อย่าเพิ่งรีบคุยเรื่องจริงจังสิคะ

ถามสารทุกข์สุกดิบกันหน่อย”

“ก็เห็นอยู่ว่าอาร์มมันสบายดี จะต้องถามอะไรอีก”

วรวฤทธิ์เผลอกำมือแน่น ใช่สิ อยู่ในบ้านเขาต้องพยายามทำตัวให้

สบายเข้าไว้ ถ้าหากไม่สบายใจ อย่างน้อยก็อย่าป่วยไข้ เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับ

                              (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เขากับเธอจำต้องรับภารกิจปลดปล่อยวิญญาณทุกข์ระทมในคฤหาสน์แสงดาวเพราะมีอดีตผูกพันกันมา ความรักความหลังค่อยๆเปิดเผยพร้อมกับเหตุการ์ณที่ไม่มีใครคาดคิด ทันทีที่เรียกตัวกลับจากต่างประเทศ วรวฤทธิ์ เจ้าของคนใหม่ของ "คฤหาสน์แสงดาว" ก็คิดเปลี่ยนแปลงคฤหาส์นหลังนั้นเป็นโรงแรมห้าดาว เพื่อพิสูจน์ให้คนในครอบครัวได้ประจักษ์ว่าเขามิใช่คนไม่เอาไหน รุ้งพราย สถาปนิกสาว ถูกเพื่อนรักอัปเปหิออกจากบริษัทที่ร่วมหุ้นกันยอมตกลงรับงานปรับปรุงคฤหาสน์เก่าแก่ร่วมร้อยปีให้กลายเป็นโรงแรมชั้นนำเป็นงานแรกหลังจากตัดสินใจก่อตั้งบริษัทใหม่เป็นของตัวเอง ทว่าการทำงานกลับไม่ราบรื่นดั่งใจคิด ทั้งคู่ต้องเผชิญกับบางสิ่งที่คนงานรวมถึงชาวบ้านละแวกนั้นล้วนขวัญผวา


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024