นวนิยายชุด แด่...เธอที่รัก : อบูซิมเบล...ตราบดินสิ้นกาล (ชมจันทร์)

นวนิยายชุด แด่...เธอที่รัก : อบูซิมเบล...ตราบดินสิ้นกาล (ชมจันทร์)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160017942
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 240.00 บาท 60.00 บาท
ประหยัด: 180.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                  ปาฏิหาริย์แห่งผืนทราย

 

แค่ฝันไป!?

หญิงสาวผวาตื่นจากนิทรา ยกมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดพราวทั่ว

ใบหน้า มือข้างหนึ่งกำแผ่นไม้ขนาดครึ่งฝ่ามือที่วางไว้บนตักแน่นด้วยความ

 รู้สึกหวาดหวั่นตื่นกลัว เพราะความเจ็บปวดที่ได้รับจากในความฝันเมื่อครู่

ยังคงค้างอยู่ทั่วทุกอณู ร่างกายเธอจึงสั่นสะท้านราวกับเจ้าเข้าเช่นนี้ กระทั่ง

พนักงานผู้คอยดูแลผู้โดยสารบนเครื่องบินเดินตรงเข้ามาถามเป็นภาษา

อังกฤษสำเนียงยุโรปด้วยความห่วงใย หญิงสาวจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

“เป็นอะไรรึเปล่าคะมิส”

อารียาส่ายศีรษะช้าๆ ก่อนตอบกลับไปภาษาเดียวกันว่า “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”

ทว่าสีหน้าของเธอคงดูไม่ค่อยสดชื่นนัก หรือไม่ก็เป็นเพราะเสียง

กรีดร้องที่เผลอหลุดออกมาตอนละเมอ ทำให้คนรอบข้างหันมามองเธอเป็น

จุดเดียวกัน รวมถึงแอร์โฮสเตสสาวที่ยังคงยืนปักหลักย้ำถาม

“จะรับกาแฟร้อนๆ สักแก้วไหมคะ อาจจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น”

“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไรดีกว่า”

อารียายืนยันคำพูดด้วยการหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็ก

ใบหน้าคมสวยเฉกเช่นคนที่มีเชื้อสายอาหรับผสมค่อนข้างเครียด ขณะมอง

ก้อนเมฆสีขาวที่เกาะกลุ่มรวมตัวกันอยู่ เธอไม่อาจจินตนาการเป็นรูปร่าง

ต่างๆ ได้เหมือนเคยอย่างที่ชอบทำเวลาเดินทาง เพราะในหัวตอนนี้มีแต่

จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพียงเท่านั้น

ก่อนหน้าที่เธอจะมานั่งอยู่บนเครื่องบินซึ่งแวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศ

ฝรั่งเศสลำนี้ อารียา กุลพงศ์ปรีชา เพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาโท

ในสาขาวิชาบริหารการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรมจากประเทศ

ออสเตรียเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ด้วยวัยเพียงยี่สิบหกปี หลังจากเรียนจบปุ๊บ

เธอก็ให้รางวัลในความมุมานะพากเพียรของตน ด้วยการนำเงินเก็บสะสม

ส่วนหนึ่งจากการทำงานพิเศษตั้งแต่ช่วงลัดฟ้ามาเรียนที่นี่ใหม่ๆ เป็นค่า

เดินทางท่องเที่ยวทั่วออสเตรีย โดยทริปสุดท้ายที่เธอเลือกไว้สำหรับเก็บ

ความทรงจำดีๆ ในช่วงสองสามวันก่อนกลับไทยก็คือเมืองซาลซ์บูร์ก

ดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังและสวนพฤกษชาติชื่อก้องโลก

อย่าง...มิราเบลล์

สถานที่ที่เธอยืนอยู่ทั้งในความจริงและความฝัน...

หญิงสาวบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากมาเยือนที่นี่สักครั้ง

นักหนา อาจเป็นเพราะประทับใจตำนานความรักต้องห้ามระหว่างเจ้าชาย

อาร์ชบิชอป โวล์ฟ ดีทริช วอน ไรเทนเนา (Prince Archbishop Wolf

Dietrich von Raitenau) กับภรรยาสาวผู้เป็นที่รัก ซาโลเม อัลต์ (Salome

Alt) ก็เป็นได้ เพราะเจ้าชายเป็นถึงอาร์ชบิชอปปกครองเมืองซาลซ์บูร์ก

รัฐอิสระในสมัยก่อน ซึ่งในทางคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกที่มีกฎ

อันเคร่งครัดนั้น ห้ามนักบวชยุ่งเกี่ยวในเรื่องกามารมณ์หรือมีเพศสัมพันธ์

โดยเด็ดขาด ความรักของอาร์ชบิชอปและลูกสาวเศรษฐีอย่างซาโลเมจึง

ถือเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียและไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่นิด

แต่จากเรื่องเล่าที่สืบขานต่อกันมาก็ทำให้เธอได้รู้ว่า ความรักของ

ทั้งคู่นั้นช่างหนักแน่นและซาบซึ้งตรึงใจ เจ้าชายอาร์ชบิชอปทรงยอมละทิ้ง

กฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่ออยู่กินกับพระนางซาโลเมอย่างลับๆ จนมีพระโอรส

และพระธิดาเป็นประจักษ์พยานรักรวมกันถึงสิบห้าพระองค์ แม้จะมีชีวิต

เหลือรอดเพียงสิบพระองค์ก็ตาม ทรงสร้างพระราชวังอัลเทนเนา (Altenau

Palace) ซึ่งมาจากชื่อสกุลของนาง เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก

ก่อนที่ตำนานบทนี้จะปิดลง เมื่อความล่วงรู้ถึงนักบวชชั้นผู้ใหญ่ เป็นเหตุ

ให้เจ้าชายถูกสำเร็จโทษจับตัวไปคุมขัง ทั้งคู่ถูกพลัดพรากแยกจากกัน กระทั่ง

เจ้าชายสิ้นพระชนม์ในป้อมปราการที่พระองค์ถูกจองจำ หลังจากนั้น

หลานชายผู้สืบทอดตำแหน่งต่อก็เปลี่ยนชื่อพระราชวังแห่งนี้ใหม่เป็น

พระราชวังมิราเบลล์

อารียายังจำตอนที่ก้าวเข้าสู่สวนมิราเบลล์ได้ เธอสัมผัสถึงรักแท้

อันยิ่งใหญ่ที่เจ้าชายอาร์ชบิชอปทรงมอบแด่นางในดวงใจ ผ่านพระราชวัง

และสวนสวยที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง จนตัวเธอเองยังอดนึก

อิจฉาพระนางซาโลเมไม่ได้ พระนางเป็นหญิงสาวโชคดีที่ผู้หญิงหลายคน

ล้วนใคร่ยึดเป็นแบบอย่าง ทรงเป็นที่รักของชายที่มีหัวใจมั่นคง ไม่หวั่นไหว

แปรเปลี่ยน แม้กระทั่งความตายก็ยังมิอาจพรากทั้งคู่ออกจากกันได้ ต่อให้

เวลาผ่านไปนานแสนนานเพียงใด แต่อนุสรณ์สถานของเจ้าชายจะยังคงอยู่

เพื่อประกาศความรักนิรันดร์ที่มิเคยเสื่อมคลายไปตามกายสังขารของ

พระองค์ให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้

ขนาดตัวเธอเอง...หลังจากได้อ่านตำนานรักของสวนมิราเบลล์จาก

หนังสือสารคดีท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง อารียาก็ตัดสินใจเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล

มาศึกษาต่อยังประเทศซึ่งอยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลกทันที เพราะหวังจะ

มาเยือน ‘อนุสรณ์สถานความรัก’ แห่งนี้สักครั้ง

ส่วนเรื่องที่ประสบในความฝัน ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อสองวัน

ก่อน ตอนที่เดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้นานาพันธุ์แห่งนี้เช่นกัน จะแตกต่างกัน

ก็ตรงที่ในความเป็นจริง หญิงชราท่าทางไม่ปกติคนนั้นถูกยามรักษาการณ์

สองนายหิ้วปีกออกไปก่อนที่จะทันขยับตัวเสียด้วยซ้ำ เพราะคงเกรงว่าหล่อน

จะไปรบกวนบรรดานักท่องเที่ยวที่กำลังสำเริงสำราญอยู่ให้พลอยเสีย

บรรยากาศ หรืออาจจะทำอันตรายผู้คนที่อยู่ในละแวกเดียวกับเธอก็เป็นได้

ส่วนเรื่องที่ว่าเธอถูกหล่อนทำร้ายด้วยปลายเล็บยาวงุ้มอันแหลมคม

อย่างน่าสยดสยอง หรือเรื่องที่มีลำแสงสีขาวเรืองรองออกมาจากร่างกาย

ของเธอนั้น คงเป็นผลพวงมาจากจิตใต้สำนึกที่เกิดความหวาดกลัวในรูปร่าง

หน้าตาอันอัปลักษณ์ของหล่อน จนตัวเธอเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะนั่นเอง

ถึงแม้จะคิดว่าเธอฟุ้งซ่านไปเองก็เถอะ แต่อารียากลับรู้สึกว่ามีอะไร

บางอย่างในตัวเธอกำลังเปลี่ยนแปลงไปหลังจากได้เจอหญิงชราปริศนา

คนดังกล่าว ไม่ใช่เพียงแค่เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในสวน

มิราเบลล์เท่านั้น ก่อนหน้านี้เธอก็มักเหม่อลอย จิตใจคอยว้าวุ่นรุ่มร้อน

หม่นไหม้ โดยที่หญิงสาวก็ไม่สามารถหาคำอธิบายได้เช่นกัน...

มิหนำซ้ำหลังจากเธอเดินออกจากพระราชวังมิราเบลล์ เพื่อตรงไป

ตลาดซื้อขายสินค้าหาของที่ระลึกกลับไปฝากครอบครัวของคุณลุงโภคิน

กับคุณป้าแขไข ซึ่งเลี้ยงดูอุ้มชูเธอมาตั้งแต่เล็ก แทนที่อารียาจะมองหาของ

ที่ลุงกับป้าน่าจะชื่นชอบเป็นอย่างแรก เธอกลับสาวเท้าพาตัวเองมาหยุดอยู่

หน้าร้านขายของเก่าแห่งหนึ่งในเมืองซาลซ์บูร์ก ทันทีที่เห็นแผ่นไม้แกะสลัก

ลวดลายเรขาคณิตเก่าๆ อันหนึ่งวางขายอยู่บนชั้นโชว์หน้าร้าน

 อารียาคลี่ยิ้มด้วยความตื่นเต้นดีใจ ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง รีบตรงเข้าไป

สอบถามราคา แล้วเธอก็พบว่าตัวเองนั้นโง่มากแค่ไหนที่ใช้เงินหลายพันบาท

ถ้าหากเทียบเป็นเงินไทย แลกกับการครอบครองของมีตำหนิที่ไม่มีราคา

ค่างวดเลยสักนิด เพราะเมื่อเธอเดินคล้อยหลังออกไปทางหน้าประตู เจ้าของ

ร้านที่ซุ่มอยู่หลังเคาน์เตอร์เก็บเงินด้านในก็ลุกขึ้นด่าทอลูกจ้างหนุ่มทันควัน

หญิงสาวจึงหยุดยืนฟังการสนทนาอยู่นอกประตูร้านด้วยความอยากรู้

‘ใครบอกให้แกเอาของแตกหักพรรค์นั้นไปวางขาย! ถ้าลูกค้าเกิด

โวยวายเอาเรื่องขึ้นมา ฉันจะทำยังไง ฉันไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายก้อนโต

เพื่อปิดปากมันหรอกเหรอ นี่ยังดีนะที่มีลูกค้าหน้าโง่มาซื้อมันไปซะก่อน

ไม่ยังงั้นละก็ฉันจะหักเงินเดือนแกนั่นแหละไปให้ลูกค้า โทษฐานที่ชอบทำตัว

เซ่อซ่าไม่ได้เรื่องดีนัก ไป...แกรีบเก็บของเสียๆ ไปกองไว้ข้างหลังร้านให้หมด

เลยนะ ก่อนจะมีลูกค้ามือไวคนอื่นมาหยิบไปอีก’

คำพูดเกรี้ยวกราดที่หลุดจากปากเจ้าของร้านหญิงวัยกลางคน ไม่ได้

สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ลูกค้าสาวที่ถูกนินทาเลยแม้แต่น้อย นอกจาก

อารียาจะไม่กลับเข้าไปต่อว่าหรือขอคืนสินค้า เพื่อนำเงินที่เพิ่งเสียอย่างไร้ค่า

ไปซื้อสิ่งอื่นที่น่าจะมีประโยชน์มากกว่าแล้ว เธอยังจดจ่อเอาแต่ก้มมองของ

ที่ถืออยู่ในมืออีกต่างหาก

รอยหยักที่เกิดจากการแตกหักแสดงให้หญิงสาวรู้ว่านี่คงเป็น

ชิ้นส่วนที่สอง ส่วนชิ้นแรกนั้นน่าจะขาดหาย มือบางยกขึ้นลูบมันอย่าง

แผ่วเบา ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งความคิดถึงอันเปี่ยมล้น

ความโหยหาอาลัยที่มาพร้อมกับความอ้างว้างเดียวดายอันเหน็บหนาว

จนพานทำให้อยากรู้นักว่าใครเป็นผู้ครอบครองอีกครึ่งหนึ่งของแผ่นไม้

แผ่นนี้ เธออยากเห็นหน้าเขาเหลือเกิน...

อารียาไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นอะไร จู่ๆ ทำไมถึงบังเกิดความโหยไห้

ถวิลหาเสียมากมายขนาดนั้น เธอรู้สึกเหมือนเคยผูกพันกับเจ้าสิ่งนี้และ

ใครบางคนมานานแสนนาน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแผ่นไม้นี้มีที่มาอย่างไร

ใครเคยเป็นเจ้าของ และลวดลายที่แกะสลักอยู่บนเนื้อไม้มีความหมาย

หรือไม่ แต่ทุกครั้งที่อารียาไล่สายตามองมัน เห็นเส้นสายโค้งมนอันอ่อนช้อย

ต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นรูปร่างอย่างง่ายๆ หญิงสาวกลับรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจ

จนแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว...

...เธอรู้สึกว่าลวดลายที่ปรากฏคือคำพูดไพเราะที่เปี่ยมความหมาย

...แล้วหัวใจของเธอก็สัมผัสถึงมันได้

...เหมือนมันคือคำสัญญา

...และเหมือนกับว่ามันคือความรักที่เธอเฝ้ารอคอย

หญิงสาวถอนสายตาจากสิ่งที่ถืออยู่ในมือมองออกไปนอกหน้าต่าง

เห็นก้อนเมฆสีดำเริ่มเคลื่อนเข้ามา แต่เธอไม่ค่อยใส่ใจนัก เพราะยังคงติดอยู่

ในภวังค์และสมมุติฐานที่ว่า ถ้าหากเล่าความคิดของตนให้ใครต่อใครฟัง

มีหวังเธอคงโดนล้อหาว่าเป็นบ้าแน่ๆ บางครั้งขนาดตัวอารียาเองยังอดสงสัย

ไม่ได้เลยว่า การที่เธอมีความปรารถนา ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะพบกับใคร

สักคนที่ตัวเองไม่เคยเจอะเจอหรือรู้จักมักจี่ ไม่รู้ด้วยว่าเขามีตัวตนจริง

หรือไม่ แล้วอยู่แห่งหนตำบลใด อีกทั้งทุกสิ่งเกิดขึ้นเป็นเพราะเธอมีสัมผัส

พิเศษ หรือเป็นเพียงแค่จินตนาการของเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่สร้างขึ้นมา

หลอกตัวเอง เพื่อทดแทนความรักส่วนที่ไม่เคยได้รับจากบุพการีโดยกำเนิดกันแน่

ตั้งแต่ตอนที่ยังเล็กไม่รู้ความจนจำความได้ อารียาอาศัยอยู่กับ

ครอบครัวของคุณป้าที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของมารดา ซึ่งเดินทางไปค้าแรงงาน

ยังประเทศซาอุดีอาระเบียมาโดยตลอด เธอรู้จากปากของคุณป้าแขไขว่า

ท่านทำงานเป็นแม่บ้านให้แก่ครอบครัวเศรษฐีเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันอยู่

สามปี ก็แอบได้เสียกับลูกชายคนเล็กเข้า

โชคร้ายที่ญาติพี่น้องทางฝ่ายชายไม่ยอมรับ ประจวบกับมีเหตุการณ์

ขโมยเพชรซาอุฯ เกิดขึ้น ทำให้สัมพันธภาพทางการทูตของไทยกับซาอุดี-

อาระเบียสั่นคลอน แรงงานไทยทั้งหมดถูกส่งตัวกลับทันที จึงเป็นโอกาส

เหมาะที่ครอบครัวทางฝ่ายบิดาใช้ขจัดเมียเก็บต่างชาติออกไปให้พ้นทาง

ผู้ที่เธอควรจะเรียกว่าปู่ย่าไล่มารดากลับประเทศโดยไม่บอกให้บิดารู้ ซ้ำยัง

ข่มขู่ว่าถ้าท่านไม่ยอมทำตาม ลูกสาวที่อยู่ในวัยขวบเศษอย่างเธอจะถูกฆ่าทิ้งอย่างไม่ปรานี

แม้จะรักผู้เป็นสามีมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่เทียมเท่าเลือดในอุทร

ท่านจึงยอมจำใจหอบหิ้วเธอกลับเมืองไทยด้วยหัวใจที่บอบช้ำ มารดาถูก

จับตัวยัดใส่ท้ายรถบรรทุกรวมกับเพื่อนสนิทที่เดินทางมาทำงานยังดินแดน

แห่งนี้ด้วยกัน ระหว่างทางเกิดเคราะห์ซ้ำกรรมซัด รถคันที่ท่านนั่งมา

ประสบอุบัติเหตุจนพลิกคว่ำ สัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่ห่วงความ

ปลอดภัยของลูกยิ่งกว่าชีวิตตน ทำให้ท่านใช้ตัวกำบังร่างเธอไว้ รอจนกระทั่ง

มีรถคันหลังเข้ามาช่วยเหลือ จึงยอมคลายอ้อมแขน ฝืนลมหายใจเฮือก

สุดท้ายส่งเธอในวัยแบเบาะให้แก่เพื่อนสนิท พร้อมคำพูดทิ้งท้ายทั้งน้ำตา

ฝากฝังเธอไว้กับพี่สาว นับแต่บัดนั้นเธอจึงได้มาอยู่กับลุงและป้าสมความปรารถนาของท่าน

หญิงสาวรู้ตัวดีว่าเธอเกิดมาโชคดีเหลือเกินแล้วที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ใน

ส่วนที่มารดาเสียสละให้ด้วยความสุข เธอมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลุงโภคิน

และป้าแขไขเฝ้ารักและทะนุถนอมดุจดั่งดวงใจ มีพี่ชายทั้งสองที่คอย

หวงแหนห่วงใย ทั้งวีรวัฒน์และพัชระไม่เคยคิดว่าเธอเป็นกาฝากของบ้าน

เลยสักนิด ตรงกันข้าม ทั้งคู่คอยดูแลเอาใจใส่เธออย่างดียิ่งกว่าผู้เป็นป้าเสียอีก

ขนาดตอนที่เธอเอ่ยปากขอมาเรียนต่อออสเตรีย เธอยังต้องลงทุน

ออดอ้อน วิงวอน พร่ำพูดหว่านล้อมชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่นานเกือบสองเดือน

กว่าพี่ชายจะยอมใจอ่อน พอได้มาสมดังใจ วีรวัฒน์ก็ยังไม่วายโทร.ทางไกล

มากำชับสั่งให้เธอเลิกทำงานพิเศษอีก โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่าเขาสามารถ

ส่งเสียเลี้ยงดูน้องสาวเพียงคนเดียวได้ แต่อารียาก็แอบฝ่าฝืนคำสั่งอยู่ดี

ไม่อย่างนั้นเธอจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อแผ่นไม้แกะสลักเก่าๆ อันนี้ได้ล่ะ

หญิงสาวนึกถึงสีหน้าท่าทางของทุกคนยามที่เห็นเธอยืนยิ้มแฉ่ง

อยู่หน้าบ้าน พวกท่านคงจะโผเข้ากอดเธอด้วยความคิดถึง ส่วนพี่ชาย

                   (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

อบูซิมเบล วิหารแห่งรักแท้อันยิ่งใหญ่และมั่นคงของจอมฟาโรห์ผู้เกรียงไกร ไม่แตกต่างกันเลยสักนิดกับหัวใจของเขาที่มอบให้แด่นางผู้เป็นที่รัก สถานที่แห่งนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รู้จักความรัก พลัดพราก และเฝ้ารอคอยให้ เมริต กลับคืนมาสู่อ้อมอกนี้อีกครา แม้นพายุจักโหมกระหน่ำ ธาราจักเชี่ยวกราก แต่หัวใจแห่งพสุธายังคงอยู่ เพื่อรอวันสิ้นกาล เสียงโหยหาอาดูรที่ดังก้องอยู่ภายในหัวของอารียาหลังประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ยังไม่น่าประหลาดใจเท่ากับใบหน้าคมคายที่เธอฟื้นขึ้นมาพบ อาหเมส บินรา เคม โวเซอร์ เจ้าของคฤหาสน์หลังงามกลางผืนทรายใกล้วิหารศักดิ์สิทธิ์อันเลื่องชื่อ เขาเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอไว้ มิหนำซ้ำยังมีหน้าตาเหมือนชายในฝันราวกับพิมพ์เดียว จะผิดแผกก็ตรงผิวกายขาวซีดและดวงตาสีแดงเพลิงข้างหนึ่งซึ่งมิใช่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังชอบทำตัวเคร่งขรึมเย็นชา ลึกลับ น่าสงสัย จนเธออดหวาดหวั่นมิได้ว่าการที่เขากักตัวเธอไว้มีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่ แล้วความลับที่ว่า...เกี่ยวพันกับโชคชะตาของเธออย่างไรกันแน่


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024