แรงตะวัน (เบญจามินทร์)
ประหยัด: 133.00 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
1
รถหรูราคาแพงสีแดงสดทะยานด้วยความเร็วสูง ฝ่าความมืดไปบนถนนนอกเมืองซึ่งค่อนข้างโล่ง แทบไม่มีรถวิ่งสวนหรือวิ่งตามมาเลย ดวงตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาของหญิงสาวที่นั่งหน้าพวงมาลัยรถจับจ้องผิวถนนซึ่งมีแสงไฟหน้ารถสาดนำทาง ในขณะที่รถหรูยังคงเพิ่มความเร็วเหมือนคนขับคุมสติไม่อยู่
“คุณอยากเห็นฉันตายนักใช่มั้ย!” น้ำเสียงเจ็บปวดกลั่นออกมาจากหัวใจที่บอบช้ำ “ได้! แล้วคุณจะรู้ เมื่อไม่มีฉัน คุณก็จะไม่เหลืออะไรเลยเหมือนกัน!”
สองมือที่เปื้อนคราบน้ำตาตบพวงมาลัยอย่างแค้นใจ
‘เอาสิสุรีย์ ลงมือเดี๋ยวนี้!’
สมองส่วนที่สิ้นหวังสั่ง แวบหนึ่งนั้นเธอเห็นวิธีที่จะทำให้พ้นความทรมานนี้ นั่นคือจบทุกอย่างด้วย ‘ความตาย’ เพียงแค่หักพวงมาลัยรถเหยียบคันเร่งให้จมมิด ทุกอย่างจะจบ ไม่ต้องทนเจ็บปวดไปมากกว่านี้
‘ไม่!’
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสาย พลันสมองอีกส่วนก็คิดได้
“น้องพีท!” เท้าที่เหยียบคันเร่งนั้นถดออกอัตโนมัติ “น้องพีทของแม่”
เธอไม่ได้เป็นแค่ภรรยาของผู้ชายเลว แต่ยังเป็นแม่...
แม่ที่จะตายโดยทิ้งลูกน้อยวัยสามขวบไว้เบื้องหลังไม่ได้ เธอทำอะไรลงไป!
“น้องพีท...แม่ขอโทษลูก แม่ไม่น่าคิดโง่ๆ แม่ขอโทษลูกรัก แม่จะทิ้งลูกไปได้ยังไง แม่จะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้ จะเป็นอะไรไม่ได้จนกว่าจะรู้ว่า ลูกของแม่มีที่พึ่งที่ดีกว่าพ่อเลวๆ ของลูกคนนั้น”
ความมหัศจรรย์ของคำว่า ‘แม่’ มีพลังยิ่งใหญ่นัก เพราะแม่นั้นแม้ใจเจ็บปวด แต่ก็พร้อมจะเข้มแข็งขึ้นได้เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ‘ลูก’ แม่คนนี้ก็เช่นกัน เธอสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด ราวกับเชื่อว่ามันจะช่วยให้มีความกล้ามากขึ้น หญิงสาวเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถืออย่างมีจุดหมาย เลื่อนหารายชื่อที่บันทึกไว้
‘เคท’ ชื่อแรกที่ถูกหยุดมอง
โพรไฟล์แสดงภาพหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ ซึ่งกำลังทำปากจู๋ ชูสองนิ้วข้างแก้ม ทำท่าแอ๊บแบ๊ว ผิดกับภาพลักษณ์ปกติ ซึ่งต้องเนี้ยบ ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว และต้องนำสมัยจนถูกเพื่อนๆ ตั้งฉายาว่าเจ้าแม่แฟชั่น นั่นก็ไม่แปลกเพราะหญิงสาวมีความฝันว่าจะเป็นเจ้าของแบรนด์ดัง มีห้องเสื้อเป็นของตัวเองในอนาคต ตอนนี้จึงไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสได้ปีกว่าแล้ว
ถ้าจะหาใครที่พอจะฝากชีวิตของลูกน้อยได้ คงไม่มีใครดีไปกว่าผู้หญิงคนนี้
นิ้วเรียวเคลื่อนสัมผัสหน้าจอเพื่อโทร. ออก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ กดยกเลิกในเสี้ยววินาทีก่อนที่จะต่อติด
“ไม่ได้...เราจะทำลายความฝันของยายเคทไม่ได้”
เธอเริ่มเลื่อนหารายชื่อใหม่ แล้วมาหยุดอยู่ที่ชื่อหนึ่ง...
‘ภู’ คือชื่อที่หา รูปโพรไฟล์เป็นภาพเก่าๆ ของเด็กแฝดชายหญิงที่นั่งกอดคอ ยิ้มกว้างทั้งคู่
หญิงสาวลังเลครู่ใหญ่ ก่อนกดโทร. ออก...
มีเสียงสัญญาณบอกว่า ‘สายต่อติด’ รอแค่มีคนมารับ แต่ก็ยัง...
“ได้โปรด” เธอเฝ้าอ้อนวอน หวังเหลือเกินว่าจะได้ยินเสียงตอบกลับจากคู่สาย “ช่วยรับที”
ทว่า...สุดท้ายก็ผิดหวัง สายถูกโอนไปให้ฝากข้อความ
เสียง ‘ตึ๊ด’ ยาวๆ บ่งบอกว่าจะมีการบันทึกข้อความไว้หลังสัญญาณดังขึ้น
“ภู นี่พี่เองนะ...สุรีย์ ยี่สิบกว่าปีแล้วที่เราไม่ได้คุยกันเลย พี่อยากคุยกับเธอมาโดยตลอด แต่พอคิดว่าเพราะแม่กับพี่ทิ้งไป ภูถึงต้องถูก...”
สุรีย์ไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่แม่พาเธอออกจากบ้านเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ได้เปลี่ยนชีวิตน้องชายฝาแฝดที่เกิดมาขี้โรค เจ็บออดๆ แอดๆ คนนั้นไปตลอดกาล
‘ภูไปไม่ได้ ภูไม่อยากทิ้งพ่อ พี่อย่าไปเลยนะ...ภูสัญญาว่าจะไม่ป่วยอีก ภูจะกินให้น้อยลง ภูจะช่วยพี่สุรีย์ทำงาน จะช่วยหุงข้าว ช่วยล้างจาน นะพี่นะ ภูจะช่วยพี่ทุกอย่างเลย’
‘แต่พี่อยากอยู่กับแม่...’ เพราะเธอเป็นลูกของแม่ สนิทกับแม่มาก ในขณะที่น้องชายจะสนิทกับพ่อ ‘แม่บอกว่า แม่จะหาหมอเก่งๆ มารักษาภู ภูจะได้หายป่วย ไปนะภู แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกัน’
‘แล้วพ่อล่ะ ถ้าภูไป พ่อก็จะอยู่คนเดียว’
‘พ่อไม่ได้สนใจเราหรอกภู พ่อเห็นเราเป็นภาระด้วยซ้ำ ถ้าไปพ่อยิ่งจะสบาย เพราะชีวิตพ่องานสำคัญที่สุด ตอนภูไข้ขึ้นพ่อเคยอยู่ด้วยมั้ย ไม่เลย พ่ออยู่แต่กับงาน ทิ้งให้เราอยู่กับพี่เลี้ยงที่วันๆ แทบไม่สนใจเรา’
‘พ่อบอกว่าทำงานเพื่อเรานะ พ่อบอกว่าอีกหน่อยเราก็จะสบายเหมือนเดิม พ่อให้อดทน พ่อเหนื่อยนะพี่ ภูสงสารพ่อ ไม่อยากให้พ่ออยู่คนเดียว ถ้าพ่อกลับมาไม่เจอเราต้องเสียใจแน่ๆ’
‘แล้วแม่ล่ะ ภูจะทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียวเหรอ!’ เพราะน้องมักพูดถึงแต่พ่อ สงสารแต่พ่อ ทำให้เธอโกรธ ตะคอกออกไปอย่างนั้นทั้งที่ไม่เคยทำแล้วก็ทำให้น้องนิ่งไปอย่างตกใจ เธอเองก็รู้ตัว ‘พี่ขอโทษนะภู แต่เดี๋ยวแม่ก็จะมารับแล้ว ยังไงพี่จะไปกับแม่ ภูเลือกเอาก็แล้วกันว่าจะอยู่กับพ่อหรือไปอยู่กับพี่และแม่’
‘ยังไงภูก็จะไม่ทิ้งพ่อ’ น้องยืนกรานเสียงแข็ง
‘งั้นก็ปล่อยมือพี่ เพราะยังไงพี่ก็จะอยู่กับแม่’
‘สุรีย์ พี่จะไปจริงๆ เหรอ’ เสียงเรียกของน้องทำให้น้ำตาไหล อยากทำอย่างที่น้องต้องการ คืออยู่กับพ่อ อยู่ด้วยกันอย่างที่เคยให้สัญญา แต่ถ้าเธอทิ้งโอกาสนี้ไป เธออาจไม่ได้เจอแม่อีก จึงต้องแข็งใจปฏิเสธ
‘ดูแลตัวเองนะภู ไว้พี่จะให้แม่พามาเยี่ยมบ่อยๆ’ พูดได้เท่านั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ‘พี่ไปละนะ’
‘ถ้าพี่ไป ภูจะไม่ยกโทษให้ไปจนตาย จะไม่เจอหน้าไปจนตาย!’
เธอจำภาพในวันนั้นได้ จำแววตาผิดหวังของน้องชายในวันนั้นได้ไม่เคยลืม แล้วยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกผิด เมื่อไม่กี่เดือนต่อมาหลังจากเธอทิ้งไป แม่ก็มาบอกข่าวร้าย...
‘ตาภูถูกทำร้าย ตอนนี้เป็นตายเท่ากัน แม่จะไปดูน้อง ลูกจะไปกับแม่มั้ยสุรีย์’
ภาพน้องชายนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ในห้องไอซียูหลังการผ่าตัดช่องท้องเครื่องช่วยชีวิตระโยงระยางไปทั้งตัว ใบหน้าเล็กนั้นบวมเป่งไปด้วยแผลฟกช้ำห้อเลือดจนจำแทบไม่ได้ว่านั่นคือน้องชาย ยังไม่นับแผลที่เกิดจากการถูกจี้ด้วยบุหรี่ทั้งเก่าและใหม่ ต่อให้ตอนนั้นเธอยังเด็ก แต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น น้องถูกทำร้าย ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่มันคงเกิดขึ้นซ้ำๆ ต่อเนื่อง โดยไม่มีใครช่วยทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเธอไม่ทิ้งไปในวันนั้น น้องก็คงไม่พบชะตากรรมนี้พ่อโทษว่าเป็นเพราะแม่กับเธอ...และมันคือความจริง
“ภู พี่ขอโทษที่ทิ้งภู พี่อยากขอโทษเธอมาตลอด เธอไม่ต้องยกโทษให้พี่ก็ได้ แต่ได้โปรดฟังพี่หน่อย นึกว่าเวทนาคนที่กำลังสิ้นหนทางก็ได้ พี่ไม่เหลือใครแล้ว นอกจากภู...พี่เหนื่อยเหลือเกิน พี่ไม่ไหวแล้ว เพราะแม้แต่คนที่พี่คิดฝากชีวิตยังอยากให้พี่ตาย...ช่วยพี่ด้วยภู พี่กำลังจะถูกสามีพี่ขะ...”
เสียงพูดขาดห้วนไปเพราะสุรีย์เห็นความผิดปกติของรถคันหลัง!
“จะทำอะไร! อย่านะ!” ดวงตาของเธอเบิกกว้าง! ตกใจสุดขีด!
เสี้ยววินาทีต่อมารถก็ถูกชนท้ายอย่างแรง!
“กรี๊ด--ดดด!” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ดังเข้าโทรศัพท์ก่อนที่สาย
จะตัดไป เมื่อรถที่พุ่งออกนอกเลนชนเข้ากับแผงกั้นแล้วพลิกคว่ำตกข้างทางกลิ้งไปหลายตลบ ก่อนจะเกิดเปลวไฟลุกท่วม
กลุ่มควันและแสงไฟเรียกรถคันอื่นให้บึ่งมาที่เกิดเหตุ โดยไม่มีใครสังเกตว่ารถกระบะโฟร์วีลคันใหญ่ ติดฟิล์มดำ ที่วิ่งสวนพวกเขาไปคือตัวการเหตุเศร้าสลดตรงหน้า!
‘ห่วงใย สับสน และร้อนใจ’ คือความรู้สึกซึ่งเด่นชัดที่สุดของสุริเยนทร์ หลังจากได้ฟังข้อความที่สุรีย์ทิ้งไว้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน มีคำถามมากมายอยู่ในหัว เกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวที่เขาตัดขาดไปกว่ายี่สิบปีนั้นกันแน่!
ชายหนุ่มคิดมาโดยตลอดว่าการตัดขาดกับพี่สาวและแม่ที่ทิ้งเขากับพ่อไปเพราะทนความลำบากไม่ไหวคือเรื่องซึ่งสมควรที่สุด แต่ในตอนนี้เขากลับร้อนรนอย่างไม่เคยเป็น พยายามโทร. กลับไปที่เบอร์นั้นแต่ติดต่อไม่ได้ สถานการณ์บ่งบอกชัดเจนว่าเกิดเหตุร้ายขึ้น
เสียงรถชน...
อุบัติเหตุ...
ไม่ใช่สิ นั่นมันเป็นการไล่ล่า ตามฆ่า?
โทรศัพท์มือถือในมือถูกกำแน่น ใบหน้าคมเข้มนั้นแม้ดูวางเฉย แต่อาการขบกรามจนขึ้นสันบ่งบอกว่าอารมณ์โกรธกำลังปะทุขึ้นในใจชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ซึ่งข้างตัวเขามีกล่องสีน้ำตาลใบใหญ่วางอยู่ใกล้มือ
ข้างในกล่องเต็มไปด้วยซองใส่การ์ดอวยพรและซองจดหมายทั้งเก่าและใหม่ทับถมกันอยู่ เพราะมันถูกโยนลงไปทับๆ กันอยู่อย่างนั้นมาแล้วนับเป็นสิบปี การ์ดและหน้าซองจดหมายจ่าหน้าถึง ‘สุริเยนทร์ รุจิกาญจน์กุล’ โดยระบุชื่อผู้ส่งคือ ‘สุรีย์ รุจิกาญจน์กุล’ มีที่อยู่กำกับไว้ชัดเจนเพื่อบอกความนัย
สุริเยนทร์ไม่เคยหยิบสิ่งที่อยู่ในกล่องขึ้นดูซ้ำสักครั้งกระทั่งวันนี้...กล่องนี้ได้รับความสนใจ ถูกยกขึ้นมาเพราะข้อความเสียงที่ถูกฝากไว้ เสียงกรีดร้องอย่างตกใจระคนหวาดกลัวยังก้องอยู่ในหัวคนฟัง แม้มันจะต่างกับเสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แต่เขาก็รับรู้ว่านั่นคือเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากพี่สาว ผู้เคยปกป้องน้องชายอย่างเขามาโดยตลอดอย่างน้อยก็ตอนนั้น
‘พี่จะดูแลเธอเอง ไม่ต้องกลัวนะภู อดทนไว้นะ กินยาซะ เดี๋ยวไข้ลดภูก็จะดีขึ้น’
ชายหนุ่มหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งมาจากใต้กล่องนั้น รูปแฝดชายหญิงที่นั่งกอดคอกัน ทั้งสองยิ้มกว้างอย่างมีความสุขในงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบเจ็ดขวบ ในรูปนั้นเขาเป็นเด็กตัวผอม ผิวซีด ตัวเล็กกว่าพี่สาวจนสังเกตได้ ถ้าพูดว่าไม่ใช่แฝด เป็นเพียงพี่น้องคนก็คงเชื่อไม่ยาก อีกทั้งเขายังมีนิสัยขี้กลัว ไม่สู้คน จึงมักถูกเพื่อนในโรงเรียนรังแกเสมอ แต่เพราะมีพี่ปกป้อง คอยออกหน้า บางครั้งก็พลอยทำให้พี่โดนแกล้งไปด้วย แต่พี่ก็บอกว่าไม่เป็นไร ขอแค่น้องปลอดภัยพี่ก็พอใจ นั่นทำให้เขายิ่งรักพี่คนนี้มาก
‘พี่จะอยู่กับเธอตลอดไป พี่ให้สัญญา’
สัญญาที่เขาเชื่อมั่นมาโดยตลอด จนกระทั่งสัญญาถูกทำลายเมื่อพี่ทิ้งไปในวันนั้น...
“คนไม่รักษาสัญญา ก็ไม่สมควรจะได้รับการยกโทษให้”
เขาในวันนี้ไม่ใช่เด็กน้อยขี้โรคคนเก่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเยาว์เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนแกร่ง ราวกับเป็นคนละคนกับที่สุรีย์เคยรู้จัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือแววตาแน่วแน่ เมื่อตัดสินใจแล้วจะไม่ลังเล เชื่อมั่นอย่างไรแล้ว
จะปักใจ รักแรงก็เกลียดแรง เป็นคนประเภทเด็ดบัวก็จะไม่ปล่อยให้เหลือเยื่อใย เขาจะดึงมันให้ขาดกระจุยแล้วก็โยนทิ้ง และไม่มีวันที่จะหันกลับไปเหลียวมอง
“แต่ถ้าพี่ถูกทำร้าย มันก็เป็นอีกเรื่อง...ฉันให้สัญญา ถ้ามีคนทำร้ายพี่จริง ฉันจะล่ามัน จะเล่นงานมันอย่างไม่ให้ได้ผุดได้เกิด! ไม่ว่ามันจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม!”
ก๊อก! ก๊อก! เสียงข้อนิ้วเคาะบานประตูดังขึ้นจากหน้าห้องทำงานใหญ่
“ขอโทษครับนาย” บอดีการ์ดหน้าเหี้ยมหนึ่งในสองคนที่เข้าเวร โผล่หน้าเข้ามา “คุณสุพลมาถึงแล้ว จะให้เข้ามาเลยรึเปล่าครับ”
“ให้เข้ามา”
“ครับนาย” ลูกน้องหน้าเหี้ยมตอบรับ ถอยออกไปทำตามคำสั่ง
ครู่ต่อมา ผู้ที่ก้าวเข้ามาในห้องทำงานนี้คือชายวัยกลางคนร่างท้วม ท่าทางสุขุม สวมแว่น ในมือมีกระเป๋าเอกสาร เขาคือทนายความส่วนตัวและเป็นเสมือนมือขวาของสุริเยนทร์ คอยรับคำสั่งแล้วไปดำเนินการโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้ความสามารถด้าน ‘บุ๋น’ ที่ไม่ใช่เรื่องถนัดของพวกฝ่าย ‘บู๊’ ซึ่งยืนอยู่หน้าห้องทำงานนี้ รวมถึงจอมถนัดบู๊อีกหลายคน
ที่ประจำตามจุดต่างๆ ของคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลาง ‘ภูทับดาว’ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้เป็นนาย
เป็นที่รู้กันของคนในพื้นที่ว่า ‘ภูทับดาว’ คืออาณาจักรของ ‘นายภู’ ผู้ทรงอิทธิพล เจ้าของพื้นที่การเกษตรหลายพันไร่ซึ่งกินเนื้อที่เขากว่าครึ่งลูก นอกจากนี้นายภูหรือสุริเยนทร์ยังเป็นเจ้าของโรงน้ำตาลใหญ่และทันสมัยแห่งหนึ่งในแถบอีสานตอนบนนี้ โรงน้ำตาลที่บิดาผู้ล่วงลับทิ้งไว้ให้ บิดาที่เป็นถึงอดีต ส.ส. สามสมัยซ้อน ผู้ได้รับการนับหน้าถือตาจากคนในพื้นที่
ตั้งแต่ชาวบ้านตาดำๆ ไปจนถึงคนใหญ่คนโต แล้วส่งต่อให้ลูกชายคนเดียว
(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)
รายละเอียด
พระอาทิตย์อย่างเขา...พร้อมจะแผดเผาทุกคนที่ทำให้เจ็บ ไม่เว้นกระทั่งคนที่รัก เมื่อพี่สะใภ้เสียชีวิตกะทันหัน และพี่ชายตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆาตกรรมภรรยา ทานตะวันจึงทิ้งความฝันกลับเมืองไทยเพื่อพิสูจน์ความจริง แต่ไม่คิดว่าคนที่ได้รับสิทธิ์เป็นผู้ปกครองหลานและเป็นผู้จัดการมรดก จะเป็นเจ้าพ่อจอมป่าเถื่อนอย่างสุริเยนทร์ ซึ่งใช้ศาลเตี้ยตัดสินไปแล้วว่าพี่เขยตัวเองเป็นฆาตกร และประกาศว่าจะไล่ล่าโดยไม่สนใจกฎหมาย ที่สำคัญคือดูอย่างไรเขาก็เข้ากับเด็กไม่ได้ กระนั้นเจ้าพ่อก็ยอมให้ดีไซเนอร์สาวปากกล้าตามมาดูแลหลานได้ โดยเธอมีฐานะแค่ตัวประกันใต้เงื้อมมือเขาเพื่อแลกกับชีวิตพี่ชาย และเงื่อนไขนั้นมีเพียงเขากับเธอเท่านั้นที่รู้ แต่มีหรือที่คนอย่างเธอจะยอมให้ข่มขู่ได้ฝ่ายเดียว ทานตะวันอย่างเธอจะเป็นคนต้านพระอาทิตย์บ้าคลั่งอย่างเขาเอง