ลำเนารัก ลำนำหัวใจ (อุธิยา)

ลำเนารัก ลำนำหัวใจ (อุธิยา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160021208
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 350.00 บาท 87.50 บาท
ประหยัด: 262.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                       ลำเนารัก ลำนำหัวใจ

 

วันเริ่มต้นของฤดูหนาว ปัจจุบัน

ร่างของสาวน้อยที่อยู่บนหลังม้าสีน้ำตาลแดงสวมแจ็กเกตปกป้องลม

เย็นยะเยือก ศีรษะสวมหมวกไหมพรมสีขาวสลับเขียวแบบมีตุ้มห้อยข้างหู

ดูน่ารักเพิ่มความอบอุ่น เธอบังคับสัตว์สี่เท้าอย่างชำนาญ ลัดเลาะจาก

ชายไร่ซึ่งเป็นอาณาเขตที่ติดถนนหลวงขึ้นมาตามเนิน

ณ จุดที่เธอกับสัตว์แสนรักยืนอยู่คือป้ายทางเข้าไร่ ‘บุรีเทพ’ ซึ่งเป็น

ชื่อเดียวกับที่เด็กสาววัยสิบห้าใช้เป็นนามสกุล เธอรู้ว่านั่นเป็นสมบัติของ

ตระกูล ชื่อนี้ไพเราะ ดินแดนแห่งเทพ หากมองไปยังทิวทัศน์รอบๆ จะเห็น

ว่ามันเหมาะเหม็งกันเลยทีเดียว

ภูมิประเทศที่เห็นเป็นเนินเขาใหญ่น้อยลดหลั่นกันไปตามธรรมชาติ

ปกคลุมไปด้วยสีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า แนวต้นสนบอกให้รู้ถึงอาณาเขต

หลายร้อยไร่ เช้าตรู่วันที่อากาศเย็นจะมีหมอกลอยเรี่ยแตะยอดเขา ดูราวกับ

สวรรค์คล้อยต่ำลงมา พื้นที่ราบซึ่งบางส่วนปรับให้พอเหมาะสำหรับการ

เพาะปลูก ทำให้เห็นแปลงผักและเรือนสตรอว์เบอร์รี ซึ่งเป็นผลผลิตและ

กิจการหลักของครอบครัว มีถนนส่วนบุคคลสำหรับการขับเคลื่อนยาน

พาหนะตัดผ่านเข้าไปยังใจกลางของไร่ซึ่งเป็นที่พักและสำนักงาน

ณธิตาบังคับบังเหียนสัตว์คู่ใจให้ขยับฝีเท้าไปอีกเล็กน้อย ไกลออก

ไปคือเนินเขา เด็กสาวหรี่ตาฝ่าเปลวแดดใกล้เที่ยง บริเวณบนนั้นเป็นจุด

สูงสุดของไร่นี้ มีอาคารขนาดย่อมซึ่งเป็นร้านอาหารที่ได้รับความนิยมจาก

นักท่องเที่ยว จนเป็นจุดขายของไร่แห่งนี้ ด้วยการกินมื้อเช้าแกล้มบรรยากาศทิวทัศน์ที่สวยที่สุด

สัตว์สี่เท้าขยับเท้าไปมาเหมือนเตือนเด็กสาว เธอลูบแผงคอมัน

“รู้แล้วไมรอน ขอลูกตาลดูวิวแป๊บหนึ่งสิ ไม่ได้กลับมาตั้งหลายวันนะ”

เพราะนี่เป็นช่วงปิดเทอม เด็กสาวจึงสามารถกลับมาหาแม่และแช่

เวลาอย่างไม่ต้องรีบร้อนได้

“ก็ในเมืองมันไม่สวยแบบนี้นี่นา ที่นี่อากาศดีจะตายไป นายไม่ชอบเหรอ”

ไมรอนหายใจฟืดฟาด ท่าทางเหมือนบอกให้รู้ว่าก็ชอบ แต่อยากวิ่ง

มากกว่า ณธิตาหัวเราะ เธอกระแทกส้นเบาๆ ม้าตัวสวยก็พุ่งทะยานออกไปทันที

ฉากหลังของเนินเขาคือท้องฟ้าสีฟ้าจัด ใบไม้ปลิดปลิวจากขั้ว

เนื่องจากไม่อาจต้านแรงลมหนาว

ณธิตาดึงบังเหียนให้ไมรอนชะลอฝีเท้าตรงบริเวณหน้าคอกของมัน

แล้วกระโดดผลุงลงมาอย่างคล่องแคล่ว เธอปล่อยมันให้เล็มหญ้าในทุ่ง

หน้าคอก ซึ่งมีม้าสีดำอีกตัวชื่อมารุตเดินเหยาะย่างอยู่ก่อนแล้ว และคว้า

จักรยานมาปั่นไปตามทาง มุ่งตรงไปยังเรือนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก

บ้านไม้สร้างจากไม้สักทั้งหลังยกพื้นราวครึ่งเมตร เน้นความยาวและ

หลังคาต่ำเพื่อกันลม กาแลเป็นสัญลักษณ์ศิลปะทางเหนือที่โดดเด่น ณธิตา

ชอบบ้านนี้ เธอเคยเห็นในภาพเก่าๆ เรือนหลังนี้ถูกปรับปรุงใหม่ให้แข็งแรง

กว่าเดิม จากที่เคยมีเรือนหลังเล็กเชื่อมต่ออยู่ทางตะวันออก ตอนนี้ไม่มีแล้ว

แต่สร้างเป็นสำนักงานประยุกต์ โดยผสมผสานสไตล์โมเดิร์นกับเรือนแบบ

ไทยๆ เนื่องจากไม่ต้องการให้ดูโดดจากที่พักอาศัยมากนัก

แม่เคยเล่าว่าเรือนหลังเล็กที่เห็นในภาพเป็นที่ทำงานและเก็บเอกสาร

ของตาผู้ล่วงลับไปแล้ว หลังจากครอบครัวบุรีเทพได้เปลี่ยนมาทำไร่

สตรอว์เบอร์รีเต็มตัว ผู้เป็นลุงก็ทำการรื้อและออกแบบใหม่ให้เป็นสัดเป็นส่วนยิ่งขึ้น

ณธิตาปั่นจักรยานเอื่อยเฉื่อยกินลมหนาว ชมเมฆขาวบนท้องฟ้าที่

สลับแทรกด้วยเนินเขาสูงต่ำไปเรื่อย คนงานกำลังห่อผลส้ม บางคนดูวัชพืช

ที่เรือนสตรอว์เบอร์รี บางคนกำลังตัดผลิตผลที่แปลงผัก บางคนส่งเสียงทัก

เธอ ซึ่งเด็กสาวก็โบกมือให้ ทั้งหมดคืออาชีพที่หล่อเลี้ยงครอบครัวของเธอ

และทำให้เด็กสาวภาคภูมิใจในเชื้อสายเกษตรกร แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กรุ่นใหม่

ก็ตาม ยามโพสต์ภาพไร่เขียวขจีในหุบเขาหรือแถวยาวของพวงผลไม้สีแดง

เพื่อนฝูงล้วนแต่อิจฉา โดยเฉพาะมิตรสหายที่เติบโตในเมืองและเมืองหลวง

ในที่สุดก็มาถึงหน้าสำนักงาน ตอนนี้ทั้งสองคนที่เด็กสาวคิดถึงกำลัง

ยืนคุยกันอยู่ เธอแกล้งทิ่มหน้าจักรยานไปยังชายวัยสี่สิบจนเขาร้องเฮ้ย

“ไอ้ลูกตาล!”

เจ้าตัวแสบหัวเราะคิกคัก ยกตัวออกจากยานพาหนะ ใช้เท้าเขี่ยขาตั้ง

รถไว้ แล้วโผเข้าไปหาหญิงสาวอีกคน

“แม่จ๋า”

เวียงแก้วทำเสียงปรามลูกสาวแล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจ

กอดมารดาออเซาะเสียงหวาน

“ไปขี่ม้ามาเหรอ”

“จ้ะ คิดถึงไมรอน”

“มาถึงก็ไปขี่ม้า ไม่มาให้เห็นหน้าเห็นตากันก่อนเลย”

พิงค์ผาผู้เป็นลุงทำทีพูดตำหนิแสร้งทำเหมือนน้อยใจ เขาอยู่ในชุด

กางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตตัวในลายสกอตทับด้วยเสื้อแจ็กเกตตัวหนาสีกรมท่า

ถึงจะยังไม่อาวุโสมากไปกว่าเจ้าของไร่แถบนี้ แต่ชายวัยสี่สิบก็ได้รับการเรียก

ขานจากคนงาน ข้าราชการ และชาวบ้านแถบนี้ว่า ‘พ่อเลี้ยง’ อาจด้วยเหตุ

เพราะคำเรียกนี้ติดมาตั้งแต่คำภูผู้เป็นบิดา อีกทั้งเขาก็ไม่ปฏิเสธ

“อะไรกัน ลูกตาลมาแล้ว แต่ลุงพิงค์ไม่อยู่เองต่างหาก”

ณธิตาโต้ เธอถอดหมวกไหมพรม เผยให้เห็นเรือนผมตัดสไลด์

ประบ่าสีออกน้ำตาลแดง พิงค์ผายกคิ้ว

“หัวแดงมาอีกแล้ว”

“สวยใช่ไหมล่ะ” หลานสาวลอยหน้าเอียงคอลูบศีรษะตนเองเชิงอวด

พิงค์ผากอดอก ในวัยกลางคนผู้ชายเช่นเขายังคงดูดี แม้จะมีริ้วรอย

ตามวัย แต่ผิวขาวเหลืองสะอาด คิ้วเข้มกับดวงตาสดใสเป็นประกาย รวม

กับรูปร่างแข็งแรงได้สัดส่วน ไม่บอบบางสะโอดสะอง ทำให้ยังคงเสน่ห์

เรียกสายตาจากหญิงสาวได้

“สวยดี เหมือนไมรอนเปี๊ยบเลย”

“ลุง!”

ณธิตากระเง้ากระงอด เวียงแก้วอมยิ้มขำๆ ชินเสียแล้วกับการ

ต่อปากต่อคำระหว่างลุงหลาน ณธิตาเป็นหลานที่เหมือนลูกเพราะพี่ชายก็

เลี้ยงมาด้วยกัน การขี่ม้านั่นก็ฝืมือฝึกของเขา ไม่นับการยิงปืน ท่วงท่าการ

เดินเหินพูดจาราวกับเป็นลูกสาวตนเองก็ไม่ปาน

นั่นเพราะพิงค์ผาไม่มีลูก เขาจึงยินดีจะมอบความรักความเอ็นดูให้

หลานสาวเพียงคนเดียว แม้ว่าจะรังเกียจคนเป็นพ่อของลูกเธอขนาดไหนก็ตาม

“แล้วนี่กินข้าวหรือยัง” เขาถาม

“ยังเลย ก็รอกินพร้อมลุงนี่แหละ คิดถึงลุงพิงค์จัง” เด็กสาวเดินเข้าไป

กอดแขนทำท่าออดอ้อนจนพิงค์ผาอดไม่ได้ ขยุ้มศีรษะเจ้าตัวแสบด้วยความหมั่นไส้

โอ๊ย ลุง ผมเสียทรงหมดนะ”

“ยิ่งโตยิ่งเรื่องเยอะแฮะ ไอ้เจ้านี่” พิงค์ผาว่า เปลี่ยนมาเป็นโอบไหล่

แทน “งั้นไปกินข้าวกัน”

ณธิตาทำปากขมุบขมิบ ก้าวตามผู้เป็นลุง แต่แล้วก็นึกอะไรได้ “อ้อ

ลุง แม่ ลืมไปเลย ลูกตาลมีเรื่องจะบอก” ทั้งสองคนชะงัก “ลูกตาลไปหา

ตากาศมาด้วย ตากาศไม่สบายนะแม่ ท่าทางไม่ค่อยดีเลย มีใครรู้หรือยัง”

สีหน้าสองพี่น้องเปลี่ยนไป ‘ตากาศ’ ที่ณธิตาหมายถึงคืออดีตคนงาน

เก่าแก่ที่อยู่ชายไร่ เป็นผู้เกี่ยวพันกับเรื่องในอดีตของไร่บุรีเทพอย่างลึกซึ้ง

เวียงแก้วขยับฝีเท้าทันที

“แล้วทำไมไม่รีบบอก” เธอตำหนิลูกสาว

“ลูกตาลขอโทษ ลูกตาลลืม มัวแต่ดีใจได้เจอลุง” เธอทำเสียงอ่อยๆ

อดไม่ได้ที่จะดึงลุงเป็นข้ออ้าง “ตากาศบอกว่ากินยาไปแล้วนะ แต่ลูกตาล

เห็นท่าทางแกเพลียมาก”

เวียงแก้วสบตาพิงค์ผา สีหน้าเธอเป็นกังวล คนเป็นพี่เม้มริมฝีปากนิดๆ

“งั้นเดี๋ยวลุงไปดูเอง” เขาตอบง่ายๆ แล้วก้าวออกไป ไม่ลืมหันมา

บอกสองแม่ลูกให้กินข้าวไปก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ

เวียงแก้ววางมือบนไหล่ลูกสาวขณะมองพี่ชายเดินไปที่รถ ระยะทาง

จากเรือนหลังนี้ไกลพอสมควร ชายหนุ่มขับเคลื่อนยานพาหนะออกไป คิดถึง

ชายชราที่ชื่อกาศก็พลอยคิดถึงชายอีกคนที่เกี่ยวข้องกัน กี่ปีมาแล้วนะ

สิบสี่...ไม่สิ สิบเจ็ดปี

“ท่าทางลุงพิงค์เป็นห่วงตากาศมากเลยเนอะ”

เสียงลูกสาวดังขึ้นฉุดให้เวียงแก้วหลุดจากภวังค์ เธอปั้นยิ้มให้ลูกสาว

ที่กำลังมองด้วยแววตาเชิงสงสัย

“ที่จริงลุงเขาก็ห่วงทุกคนนั่นแหละ คนงานทุกคนเหมือนครอบครัว

เพียงแต่ตากาศเป็นคนเก่าแก่ของเรา อีกอย่างแกแก่แล้ว มีอะไรต้องรีบช่วยเหลือกัน”

“ลูกตาลก็ว่าอย่างนั้น แต่ลูกตาลสงสัย ทำไมไม่ให้แกมาอยู่ใกล้ๆ ล่ะ

แม่ อยู่เรือนคนงานก็ได้นี่ ไปอยู่ซะไกลขนาดนั้น เกิดเจ็บป่วยกะทันหัน

ขึ้นมา...” เด็กสาวหยุดคำพูดตนเองด้วยความหวาดหวั่น

“แม่ก็บอกแล้วไง แกขอไปอยู่อย่างนั้นเอง” เธอย้ำคำตอบเดิมเพราะ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ณธิตาตั้งคำถามเรื่องชายชรา ยิ่งนานวันลูกสาวของเธอยิ่ง

ให้ความสนิทสนม แม้จะโตเป็นสาวแต่ยังแวะเวียนไปมาหาสู่กาศอยู่เสมอ

ทุกครั้งก็ไม่ลืมที่จะหอบเอาขนมนมเนยไปฝาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะห้ามปรามเพียงใดก็ตาม

“อย่าเป็นห่วงไปเลย ตากาศแกมีโทรศัพท์นะ”

ณธิตาพยักหน้าถี่ๆ อย่างเข้าใจ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกัน เธอ

รู้สึกถูกชะตากับชายชราที่อยู่บ้านหลังเล็กชายไร่แห่งนั้น ตั้งแต่เด็กๆ ก็มัก

จะไปหา ไปพูดคุย จวบจนโตก็ยังไปพบหน้าสม่ำเสมอ หากเมื่อไรกลับมา

เยี่ยมบ้าน เธอจะต้องไปเยี่ยมเยียนให้ได้ ราวกับว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

เธอเคยถามแล้ว ผู้เป็นแม่กับลุงตอบสั้นๆ ว่ากาศเป็นคนงานเก่าแก่

อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ซึ่งก็คือตาคำภูที่เป็นพ่อของแม่กับลุงเธอ เท่าที่

เห็น ลุงของเธอดูแลชายชราตามสมควร คนแก่แล้วจะให้มาใช้ชีวิตในบ้าน

หลังใหญ่คงไม่สะดวก จะอยู่เรือนคนงานก็ไม่เหมาะ เพราะแม่ของเธอบอก

ว่าตากาศไม่ได้ทำงานไร่แล้ว

แต่เด็กสาวก็สงสัยไม่หาย พอไปถามตากาศก็ตอบไม่ต่างกัน ซึ่งก็พอ

จะรู้ว่าถ้าซักไซ้ต่อไปอาจได้โดนคาดโทษก็เป็นได้ เธอจึงล้มเลิกความคิดนั้นเสีย

ทุกครั้งของการไปหาตากาศลุงของเธอจะรับรู้ ชายชรายังแข็งแรง

เพาะปลูกผักสวนครัวกินเอง ส่วนเนื้อสัตว์ ข้าวสาร และขนมนมเนยอื่นๆ

ทางนี้จะแบ่งปันไปให้เป็นระยะ มีครั้งนี้ที่เกิดความผิดปกติกับแกจึงเอามาบอกลุงของเธอ

“ลูกตาล”

“จ๋า แม่ว่าอะไรนะ”

เวียงแก้วลูบศีรษะลูกสาว ยิ้มเอ็นดูที่เห็นสาวน้อยยืนเหม่อ เธอพอ

จะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ทุกวันนี้ดวงตาเรียวสวยกับจมูกโด่งคมคอยตอกย้ำ

ให้เธอคิดถึงอดีตที่ผ่านมาเสมอ

ลูกสาวของเธอ...เหมือนเขาอย่างกับแกะ

“แม่บอกว่าให้เข้าบ้าน ไปกินข้าวกันเถอะ วันนี้แม่ทำน้ำพริกอ่อง

ของโปรดลูกตาลด้วยนะ”

“เยส” เด็กสาวกำหมัด เดินกอดแขนผู้เป็นแม่ไปอย่างออดอ้อน

 

ค่ำคืนนี้เงียบสงัด ส่วนหนึ่งเพราะเป็นวันเพ็ญเดือนสิบสอง ทุกคนไป

งานลอยกระทงกันหมด แม้แต่แมลงกลางคืนยังหยุดเคลื่อนไหว ทำให้

ณฤทธิ์ได้ยินเสียงประหลาดเป็นเสียงคล้ายคนไอหรืออะไรบางอย่างติดคอ

ตามมาด้วยเสียงดังแซ่ก ชายหนุ่มสองจิตสองใจ จะก้าวต่อไปหรือจะหันหลังกลับ

แต่ฝีเท้าก็พาเขาเดินผ่านทางเชื่อมมายังเรือนเล็กของพ่อเลี้ยงคำภู

จนได้ แสงจันทร์ส่องสว่างจ้าราวกับเป็นกลางวัน เขาแนบตัวไปกับผนังไม้

ค่อยๆ ย่างก้าวและระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง ข้างหน้าคือประตูห้องทำงาน

ของคำภูพ่อตาผู้จงชังเขา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

ณฤทธิ์เอื้อมมือจะไปเปิดประตู พลันหูของเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้

ขนบนกายชายหนุ่มลุกเกรียว เขาชะงัก เหลียวหาที่มาและนิ่ง เพื่อ

จะยืนยันสิ่งที่ตนเองสัมผัส

เสียงร้องไห้ไม่ผิดแน่ ใครสักคนกำลังร้องไห้ อาการนั้นคล้ายกลั้น

ก้อนสะอื้นอย่างสุดความสามารถ แต่อย่างที่รู้ คืนนี้เงียบเกินไป เธอคนนั้นทำไม่สำเร็จ

                           (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

วันนั้น...เขามีแค่ตัวกับหัวใจ 
แถมยังเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าบิดาเธอ
วันนี้...เขากลับมาเพราะสายใยแห่งรัก 
และต้องการทวงคืนความจริง 
..........
๑๖ ปีแห่งการรอคอย...ทวงคืนรักในหัวใจ ทวงคืนความเป็นธรรมว่าเขาไม่ใช่ฆาตกร!
๑๖ ปีกับการถูกตราหน้าว่าเป็นเขยที่กล้าเด็ดดอกฟ้า และฆ่าพ่อตาตัวเอง! ทั้งที่หลักฐานไม่เพียงพอ 
อีกทั้งณฤทธิ์ยังต้องสูญเสียทุกอย่าง แม้แต่ความรักจากลูกที่กำลังจะลืมตาดูโลก 
เพียงเพราะภรรยาไม่เลือกเดินร่วมทางกับเขา
เขาต้องกลายเป็นคนไร้แหล่งราก แปรเปลี่ยนทุกถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามให้กลายเป็นพลัง 
พร้อมสัญญากับตัวเองว่าจะสร้างฐานะให้สมศักดิ์ศรีเพื่อทวงคืนทุกสิ่ง และล้างมลทินให้ได้
๑๕ ปีที่เวียงแก้วเฝ้ารอและปิดประตูหัวใจ 
ไม่ใช่ไม่รัก แต่เป็นเพราะห่วงใยอนาคตของชีวิตน้อยๆ ในท้อง 
จึงจำต้องปฏิเสธรักของเขาด้วยความร้าวราน
เขาจะทวงคืนความรักพร้อมกับเปิดโปงปมฆาตกรรมสำเร็จหรือไม่ 
เมื่อพี่ชายภรรยาซึ่งแค้นฝังใจมาตลอดว่าเขาคือตัวการที่ปลิดชีวิตบิดา 
ได้ขีดเส้นเวลาให้เขาสืบค้นความจริงภายในเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น 
ณ ลำเนาแห่งรักและที่พิงพักของหัวใจ ณฤทธิ์พร้อมเดิมพันด้วยชีวิต!

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024