เพรงกรรมข้ามภพ

เพรงกรรมข้ามภพ

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160007622
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 190.00 บาท 47.50 บาท
ประหยัด: 142.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

‘ชยธร รมย์รวินท์’

หลังจากลืมตาขึ้นมานานหลายวินาที ชื่อนั้นยังคงดังก้องอยู่ใน

โสตประสาทของหญิงสาววัยยี่สิบแปด แม้จะเคยเห็นภาพเหตุการณ์นี้

มาหลายครั้งหลายหน แต่ยังคงรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจไม่ต่างไปจากคราวแรก

ที่ได้รับรู้...แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ต้นเหตุแห่งการสูญเสีย แต่คงไม่อาจหลีกเลี่ยง

การชดใช้

ชลันตา รมย์รวินท์ ลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมตัวโปรดซึ่งมักใช้เป็นที่นั่ง

สงบจิตใจบริเวณมุมหลังบ้านในนครปารีส

เมื่อสองสามปีก่อนหน้านี้ หญิงสาวอาศัยอยู่กับพ่อแม่หลังจากเรียน

จบปริญญาโทกลับมาจากลอนดอน กระทั่งเกือบสามปีก่อนพ่อเสียชีวิตลง

ไม่นานนักแม่ก็แต่งงานใหม่กับชายชาวฝรั่งเศสวัยใกล้เคียงกัน เธอจึงต้อง

พักอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงลำพังเพื่อรอเวลา

วันนี้แล้วสินะที่คำตอบนั้นจะมาถึง เพื่อบอกว่าถึงเวลาที่หลวง

พิชัยรณฤทธิ์ หรือ ชยธร รมย์รวินท์ ต้องเดินทางไกลเพื่อไปพบอีกบุรุษ

หนึ่งซึ่งรอคอยอยู่บนดินแดนอีกฟากฝั่ง

ชลันตาเป็นคนไทยโดยกำเนิด มีบิดาเชื้อสายไทยแท้ แต่มารดาเป็น

ลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส และเป็นเหตุให้ครอบครัวของชลันตาต้องย้ายมา

อยู่ที่กรุงปารีสตั้งแต่ลูกสาวคนเดียวมีวัยเพียงหกขวบ แต่ทุกครั้งที่กลับ

ไปเมืองไทยพร้อมครอบครัวเพื่อเยี่ยมญาติหรือไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงเพราะ

ชาวฝรั่งเศสนิยมไปเที่ยวเมืองไทย หญิงสาวก็มักจะได้รับคำชื่นชมเสมอๆ

ว่าพูดภาษาไทยได้ถูกต้องและชัดเจนเสียยิ่งกว่าคนไทยที่เกิดและอยู่ใน

เมืองไทยเสียอีก คำชื่นชมนั้นหญิงสาวเพียงยิ้มรับโดยไร้คำอธิบายใดๆ

หญิงสาวร่างสูงโปร่งไม่ต่างจากหญิงสาวชาวฝรั่งเศสเดินจากมุม

พักผ่อนหลังบ้านไปยังห้องครัวซึ่งอยู่ติดกันเพื่อหาเครื่องดื่มร้อนๆ สักถ้วย

ช่วยคลายหนาว ตอนนี้บางวันที่ฝรั่งเศสมีอุณหภูมิเกือบติดลบ แต่อากาศ

ที่เมืองไทยช่วงนี้น่าจะเย็นสบาย คงจะดีกว่าช่วงฤดูร้อนที่เธอเดินทางกลับ

ไปเมื่อคราวก่อน

แม้ว่าคำตอบจะยังมาไม่ถึง แต่ชลันตาก็มั่นใจว่าตนเองจะต้องกลับ

ไปเมืองไทยอย่างแน่นอน ขณะยืนรอเครื่องต้มกาแฟทำงาน เธอจึง

วางแผนการเดินทางเงียบๆ อยู่ในห้องครัว ไม่นานนักก็รินกาแฟลงในถ้วย

กระเบื้องสีขาวพร้อมจานรอง หญิงสาวยืนจิบกาแฟดำไปได้ไม่กี่อึกก็รีบ

ถือถ้วยกาแฟเดินตรงไปที่ประตูหน้าบ้าน เมื่อเท้าทั้งสองข้างหยุดอยู่ที่

หน้าประตู เสียงกริ่งก็ดังขึ้นทันที มือข้างที่ว่างอยู่จึงปลดล็อกกลอนประตู

ก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งสวมเครื่องแบบของบริษัทส่งพัสดุข้ามประเทศ

ยืนรออยู่พร้อมห่อพัสดุที่เธอรอคอย

“สวัสดีครับ มาดมัวแซล”

“สวัสดีค่ะ เอกสารจากประเทศไทยหรือเปล่าคะ”

“ครับ ดูท่าคุณกำลังคอยอยู่” ชายหนุ่มเลิกคิ้วนิดๆ เมื่อสบตากับ

หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้าน ก่อนจะเหลือบมองชื่อที่หน้าห่อพัสดุอีกหนเพื่อ

ความแน่ใจ “และ...คุณคงจะเป็นมาดมัวแซลรมย์รวินท์แน่ๆ”

                “ค่ะ ฉันคอยอยู่”

“เซ็นรับด้วยครับ”

“เอ้อ...ขอโทษทีนะ ฉันต้องเอาถ้วยกาแฟไปวางก่อน”

“ไม่เป็นไร ผมถือให้”

ชลันตาส่งถ้วยกาแฟให้ และยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายรับไปอย่างทุลักทุเล

แล้วเธอก็รับห่อพัสดุพร้อมปากกาหนึ่งด้ามมาแทน เมื่อเซ็นรับเรียบร้อย

ก็รีบรับถ้วยกาแฟกลับมา

“ขอบคุณมากนะคะ”

“ยินดีให้บริการครับ” หนุ่มชาวฝรั่งเศสตอบแล้วยิ้มกว้าง “ลาก่อน

ครับ มาดมัวแซลรมย์รวินท์”

“ลาก่อนค่ะ”

หญิงสาวยิ้มขำนามสกุลของตัวเองที่ได้ยินจากปากของหนุ่มฝรั่งเศส

ฟังแทบไม่เป็นภาษาไทย ก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับปิดประตู

ด้วยเท้าข้างหนึ่ง

เธอคงไม่ได้ใช้บริการจากหนุ่มหน้ามนคนนี้อีกอย่างแน่นอน นี่คง

จะเป็นครั้งสุดท้าย...

ชลันตาวางห่อพัสดุจากเมืองไทยลงบนโต๊ะในห้องรับแขก และมอง

ว่าส่งมาจากใครโดยไม่ได้แกะห่อพัสดุออกมาอ่าน

‘กรมสอบสวนคดีพิเศษแห่งราชอาณาจักรไทย’

ชลันตาจ้องมองห่อพัสดุอย่างใช้ความคิด ก่อนจะลุกเดินขึ้นไปยัง

ห้องนอนบนชั้นสองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยเลือกเสื้อคอเต่าและกางเกงยีน

สีซีดออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเดินไปคว้าโอเวอร์โคตสีน้ำตาลเข้มที่แขวน

อยู่หน้าตู้พร้อมด้วยผ้าพันคอสีคล้ายคลึงกัน หญิงสาวเดินฝ่าลมหนาว

ออกไปนอกบ้านด้วยความรู้สึกว่าอยากเดินชมบรรยากาศของมหานคร

ปารีสอีกสักครั้ง ก่อนจะจากไป...โดยไม่หวนกลับมาอีก

ครอบครัวรมย์รวินท์พักอยู่ในย่านเลอ มาเรส์ มานานกว่ายี่สิบปี

ย่านที่พักอาศัยเก่าแก่แห่งกรุงปารีสซึ่งค่อนข้างสงบเงียบในบรรยากาศสไตล์

ปารีเซียง เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่สวยงาม และร้านรวงหลากหลาย

และสิ่งที่คุ้นตามาแต่ไหนแต่ไรก็คือ วิถีชีวิตแบบคาเฟ่ของชาวปารีสที่คนทั่ว

โลกรู้จักดี ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในเลอ มาเรส์ สิ่งที่ต้องพบเจอก็คือ คาเฟ่

หลังจากเดินออกมาได้สักพัก หญิงสาวเลือกนั่งที่โต๊ะเล็กๆ ตรงมุม

หนึ่งของเทอร์เรซหน้าร้านประจำ เพื่อชื่นชมบรรยากาศของปารีสเป็น

ครั้งสุดท้าย แม้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน แต่ชลันตาปฏิเสธไม่ได้ว่าผูกพันกับ

เมืองหลวงแห่งนี้ อาจด้วยระยะเวลายาวนานเกือบทั้งชีวิตที่ได้อาศัยอยู่

ณ กรุงที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งศิลปวัฒนธรรมที่สวยงามและน่าทึ่ง เมื่อถึง

เวลาที่ต้องจากจึงรู้สึกใจหายอย่างคาดไม่ถึง

 

ในช่วงหัวค่ำ หญิงสาวมาจนถึงสถานที่สุดท้ายที่คิดว่าน่าจะมารำลึก

ถึงความหลังเสียหน่อย

อาเวอนูว์ เดอ ช็องเซลีเซ เป็นถนนสายที่สวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่

ทางตะวันออกของประตูชัย สมัยยังเป็นเด็ก บิดาของชลันตามักจะพา

ลูกสาวคนเดียวมาเดินเล่นบนถนนสายนี้ซึ่งไม่เคยหลับใหล เต็มไปด้วย

ผู้คนจากทั่วทุกทิศมาดื่มด่ำบรรยากาศของมหานครปารีส ทั้งสองฟากฝั่ง

เรียงรายด้วยอาคารที่งามสง่าตามแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสอันสวยงาม

อ่อนช้อย เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมดังและคาเฟ่หรูหราสำหรับผู้มี

รายได้สูงมานั่งหย่อนใจ

ชลันตาเดินไปเรื่อยๆ ตามลำพังบนถนนสายสำคัญเพื่อระลึกถึง

วันวานที่เกี่ยวกับบิดาผู้เป็นที่รักซึ่งเธอควรจดจำไว้ เมื่อเดินมาจนเกือบถึง

ประตูชัย ภาพบุรุษสูงวัยอีกคนหนึ่งแทรกเข้ามาในห้วงความคิด แทนที่ภาพ

ของบิดาที่ค่อยๆ เลือนหายไป...ชลันตาหยุดเดินทันที คล้ายกับคนที่เดิน

มาสะดุดบางสิ่งบางอย่าง ภาพที่เห็นยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เจ้าพระยายมราช หรือเจ้าคุณไชย...

“คุณพ่อ!”

หญิงสาวอุทานออกมา เมื่อภาพชายสูงวัยนุ่งชุดข้าราชการระดับสูง

ของไทยในอดีตเมื่อราวหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาซึ่งกำลังเดินอยู่ในบ้านเก่าแก่

สวยงามหลังหนึ่ง กลายเป็นภาพบุรุษคนเดิมนอนอยู่บนตั่งตัวใหญ่กลาง

ห้องโถงของบ้านหลังนั้น โดยมีผู้คนที่เป็นบริวารนั่งรายล้อมร่ำไห้เสียใจ

เธอรู้มานานแล้วว่าชายสูงวัยคนที่นอนหมดลมหายใจอยู่บนตั่งนั้น

เป็นใคร และอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ท่านเสียชีวิต

ชลันตาหลับตาลงเพียงไม่กี่วินาที ภาพนั้นก็หายไปจากห้วงจิต

หญิงสาวเดินตรงไปยังประตูชัยที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ซึ่งเป็นสถานที่

ที่บิดามักจะมาเดินหรือนั่งเล่นเพื่อผ่อนคลาย แต่ในใจนั้นชลันตารู้ดีว่า

ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเห็นมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนได้ย้อนกลับมาย้ำ

เตือนอีกครั้ง

ถึงเวลาแล้วที่ต้องกลับไป เพื่อ...ชดใช้

ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔

ณ สำนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ สังกัดกระทรวงยุติธรรม

หญิงสาวร่างสูงโปร่งสวมใส่ชุดสูทและกางเกงสีดำ ท่าทางทะมัด-

ทะแมงราวกับหนุ่มน้อยทำให้คนที่มองอยู่อดยิ้มไม่ได้

วันแรกที่หญิงสาวมาปรากฏตัวในสำนักงานแห่งนี้เมื่อราวๆ หนึ่งปี

ที่ผ่านมา ใบหน้าคมสวยในแบบลูกครึ่งดูเข้มแข็งจริงจังเกินหญิงทำให้

ชายหนุ่มหลายคนทึ่ง แต่ที่น่าเสียดายสำหรับหนุ่มๆ ก็คือเธอไม่เคยสนใจ

ใคร บางครั้งบางคราวเขายังสังเกตเห็นว่า สาวสวยจากปารีสคนนี้มอง

บรรดาชายหนุ่มด้วยแววตากึ่งสมเพชกึ่งขบขัน แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่

บางครั้งหญิงสาวก็มีนัยน์ตากร้าว แววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นนั้นทำให้

เขานึกชื่นชมและเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก

“คุณลันลาพักร้อนหนึ่งสัปดาห์ไปเที่ยวไหนครับ”

“ไปลำปางค่ะ”

“แล้ว...ต้องการสารถีหรือคนนำทางหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเสนอตัว

แบบทีเล่นทีจริง หากเพียงเธอพยักหน้า เขาก็พร้อมจะรีบกลับบ้านไปเก็บ

กระเป๋าเสื้อผ้าทันที

“ไม่ค่ะ ขอบคุณ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“เอ...แล้วไปยังไงครับ”

“ขับรถไปเอง”

“คนเดียวหรือครับ”

“ใช่”

“เอ...ขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดคนเดียวไม่กลัวหลงทางหรือครับ”

“ถ้ากลัวก็คงไม่ไป” ชลันตาตอบแล้วยิ้มกวนๆ ทำให้คนฟังเลิกคิ้ว

เพราะพูดไม่ออก

“นั่นสิครับ แต่ผมก็อดห่วงคุณลันไม่ได้อยู่ดี”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันไปที่นั่นมาหลายหนแล้ว”

“ผมเข้าใจว่าคุณลันอยู่ที่ฝรั่งเศสมาตลอด นึกว่าเพิ่งจะกลับมา

เมืองไทยเป็นครั้งแรกเสียอีก หลังจากที่กรมเรียกตัว”

“ฉันไปๆ มาๆ ค่ะ” หญิงสาวตอบแล้วครุ่นคิด โดยที่ชายหนุ่มเพื่อน

ร่วมงานก็รอฟังอยู่ด้วยความสนใจ “จริงๆ แล้วฉันเคยอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำไป”

“จริงหรือครับ แทบไม่น่าเชื่อ”

“นานแล้วค่ะ ฉันไปอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง” ชลันตาบอกด้วยน้ำเสียง

อ่อนลง สีหน้ายิ้มๆ เหมือนกำลังนึกถึงความหลังที่ควรค่าแก่การจดจำ

ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงปรากฏชัดเจน แม้ว่าวันเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน

ในอดีต บุรุษผู้หนึ่งละทิ้งทุกสิ่งจากบ้านเกิด มุ่งหน้าสู่สถานที่อัน

เงียบสงบ เขาหวังเพียงแค่นั้น...หวังพาร่างกายที่ไร้จิตใจสู่ดินแดนที่ไม่เคย

รู้จัก หลีกหนีจากสังคมเพื่อให้ใจที่ว้าวุ่นได้สงบลงบ้าง แต่เขากลับได้พบ

หนทางอันประเสริฐสุดซึ่งอยู่เหนือความคาดหวัง

                “ขอบคุณนะคะคุณธนัท ที่เป็นห่วง”

“เอ้อ...ครับ ว่าแต่ไม่เปลี่ยนใจแน่หรือ ถ้าต้องการใครไปเป็นเพื่อน

โทร.หาผมได้ทันทีเลยนะครับ”

“จริงๆ ก็ไม่เชิงไปคนเดียวหรอกนะ”

หนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ที่มีนามว่าธนัทเลิกคิ้วนิดๆ ชลันตายิ้มมุมปาก

เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยที่เธอมีเพื่อนร่วมทางเสียแล้ว ทั้งที่

เขาก็พยายามเสนอตัวจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย

“ปกติฉันก็มีเพื่อนไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นประจำอยู่แล้ว”

“งั้นหรือครับ เฮ้อ...น่าเสียดายจัง”

“ไปก่อนนะคะ เจอกันสัปดาห์หน้า”

“เดินทางด้วยความปลอดภัยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวร่างสูงปราดเปรียวคว้ากระเป๋าโน้ตบุ๊กขึ้น

สะพายไหล่ด้วยท่าทีทะมัดทะแมง แล้วจึงก้าวฉับๆ ออกจากสำนักงานไป

ก่อนจะพ้นประตูห้องหญิงสาวหันกลับมามอง แล้วโบกมือให้คนที่ยังยืน

พิงโต๊ะทำงานอยู่ที่เดิมเป็นการอำลา

ชลันตาเดินไปที่หน้าลิฟต์พร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ ในดวงตาเต็มไป

ด้วยแววขำขัน และมักจะเป็นอย่างนี้แทบทุกครั้งที่มีหนุ่มๆ เข้ามาผูกสัมพันธ์

เธอไม่เคยรู้สึกวูบวาบหวิวไหวไปกับชายหนุ่มแม้สักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น

ปารีเซียงหรือไทยก็ตามแต่ ถ้าสนิทกันมากๆ เข้าก็จะกลายเป็นเพื่อนกัน

ไปแทบทั้งนั้น รวมถึงธนัทด้วยอีกคน

สมัยที่เรียนอยู่ลอนดอนเคยมีเพื่อนหลายคนว่าชลันตาเข้าข่าย

พวกหญิงรักหญิง เธอถึงกับต้องส่ายหน้าแต่ก็ไม่เถียง ใครจะคิดอย่างไร

ก็คิดไป ไม่อยากเก็บมาใส่ใจเพราะรู้แก่ใจดีว่าตนเองนั้นเป็นอะไรกันแน่

การรู้ตัวตนอยู่ตลอดเวลา รู้ที่มาที่ไปของตนเองนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ

ที่สุด ด้วยเหตุนี้ชลันตาจึงต้องเดินทางกลับมาแผ่นดินเกิดเพื่อแก้ไขบางสิ่ง

ในอดีต

 

                (โปรดติดตามต่อในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

ภาพแห่งความสูญเสียยังคงตามมาตอกย้ำ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเธอมีส่วนผิด แม้จากไปไกล แต่ความหลังยังตามติดทุกขณะจิต เธอจึงต้องกลับมาหา ?เขา? อีกครั้ง ?ชลันตา? หญิงสาวผู้มีเรื่องราวในภพอดีตที่ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ภาพแห่งความสูญเสียยังคงตามมาตอกย้ำอย่างไม่ลดละ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเธอมีส่วนผิด และต้องหวนคืน...แม้จะจากไปไกลถึงนครปารีสแต่ความหลังครั้งเก่ายังตามติดทุกขณะจิต สาวไทยมาดมั่นเชื้อสายฝรั่งเศสจึงต้องกลับมาหา ?เขา? คนนั้น ?กันต์? รัฐมนตรีหนุ่มรูปหล่อ ได้พบกับเจ้าหน้าที่สาวดีเอสไอ เขาจำอดีตไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยว ในขณะที่ชลันตาจำได้ทุกเรื่องราว กันต์รู้สึกผูกพันต่อหญิงสาวตั้งแต่พบหน้าในครั้งแรก ทว่าชลันตาไม่อาจตอบรับความรู้สึกดีๆ ที่เขามีให้ ด้วยเหตุแห่งภาระที่ต้องชดใช้... 


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024