ซูเปอร์สตาร์พ่อลูกอ่อน (เฌอมา)

ซูเปอร์สตาร์พ่อลูกอ่อน (เฌอมา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160023127
ของหมด (ต้องการสินค้า)
ราคา: 330.00 บาท 82.50 บาท
ประหยัด: 247.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

                                         ความทรงจำเมื่อแรกพบ

 

            หวานก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนเล็กของตนก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปอีกเมื่อ

เข็มนาฬิกาบอกให้รู้ว่าตนไปถึงที่นัดสายเกินไปเสียแล้ว

            ผมเส้นเล็กสีน้ำตาลธรรมชาติของเธอทิ้งตัวเหยียดยาวไปกลางหลัง

กิ๊บดำตัวเล็กถูกใช้เหน็บติดลูกผมด้านหน้าเอาไว้อย่างเรียบร้อย เผยหน้า

ผากเนียนใสไร้สิวฝ้า และยิ่งส่งให้ใบหน้านั้นดูน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก นัยน์ตา

หวานแม้จะไม่กลมโตดั่งตุ๊กตา แต่ก็หวานอบอุ่นดูมีชีวิตชีวาสมวัย จมูก

สวยกำลังดีรับกับปากเล็กอิ่มสีพีช ทำให้เจ้าของร่างตกเป็นเป้าสายตาของ

บรรดาหนุ่มๆ ทั้งมหาวิทยาลัยได้อย่างไม่ยากเย็น

            “นั่นไง ไอ้เอยมาแล้ว”

            เสียงคุ้นหูของเพื่อนสาวที่กำลังรอคอยดังขึ้นทันทีที่คนถูกเรียกชื่อ

เดินมาถึงยังจุดนัดพบ สมาชิกอีกสองคนที่นั่งรออยู่ด้วยกันหันมองยัง

ร่างบางที่เดินยิ้มกว้างเข้ามาใกล้ ก่อนจะยิ้มตอบผู้มาใหม่ในวินาทีถัดมา

            “ขอโทษ...รถติดมากเลยอะลี่”

            เอย หรือเจ้าเอย นักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งพูดขึ้นเพื่อกล่าวขอโทษ ก่อน

จะยกมือไหว้หญิงสาวแปลกหน้าอีกสองคนที่นั่งยิ้มมองตนอยู่ ดูเหมือนสอง

เป็นจริงสองสาวที่ว่าอาจมีอายุอานามเท่ากับเจ้าเอยเลยก็ตาม

            “พอเลยๆ นี่ไม่ใช่ข้ออ้างของนักเรียนแพทย์ป้ะ อีกหน่อยเป็นคุณหมอ

จะสายไม่ได้แล้วนะคะหมอเอยขา” มัลลิกาพูดแซว ก่อนจะเดินเข้าไป

กระแซกร่างบางของเฟรชชีปีหนึ่ง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเป้านิ่งให้คนเป็นรุ่นพี่

แกล้งเอาเสียแล้ว

            มัลลิกาหรือลี่ที่เพื่อนๆ เรียก คือเพื่อนสนิทหนึ่งในสองของเจ้าเอย

ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมต้น จวบจนตัดสินใจเข้าเรียนแพทย์เหมือน

กันและที่เดียวกัน ทว่าเจ้าเอยกลับพลาดผลสอบเข้าเมื่อปีที่แล้วไปอย่าง

น่าเสียดาย แต่เธอก็ได้เพื่อนสนิทอย่างมัลลิกาคนนี้นี่แหละที่ช่วยติวจนเธอ

สามารถซิ่วเข้าคณะแพทย์ได้ดั่งใจหวังในปีถัดมา

            ถึงแม้ผลของการซิ่วในครั้งนั้นจะทำให้เจ้าเอยเรียนช้ากว่ามัลลิกาไป

หนึ่งปี แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับเจ้าเอยเลยสักนิด ออกจะดีเสีย

ด้วยซ้ำ เพราะเธอจะได้ไม่โดนรับน้องหนักๆ อย่างที่กลัวมาตลอด

            “เหม่อ เหม่อตลอด มาสายแล้วยังเหม่อ ไม่ฟังที่ฉันพูดอีก ไอ้นี่นิ”

            เจ้าเอยยิ้มแหยๆ ให้มัลลิกาที่มองอย่างตำหนิ นัยน์ตาหวานลอบ

สังเกตสไตล์การแต่งตัวของเพื่อนสาวที่ดูแปลกตาไปมากจากสมัยเรียน

มัธยมปลาย สำหรับเจ้าเอยแล้ว มัลลิกาเป็นเหมือนเหรียญอีกด้านซึ่งต่างกับ

เธออย่างสิ้นเชิง ทั้งนิสัยท่าทางและการแต่งตัว

            แต่ถึงจะตัดผมสั้นและมีท่าทางเหมือนผู้ชายจนดูคล้ายทอมบอยยังไง

มัลลิกา เศรษฐาภิมุข คนนี้ก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดอีกคนของเจ้าเอย

            “เปล่าอ้างนะ รถเอยติดจริงๆ แต่ยังไงก็มาเร็วกว่าติใช่ไหมล่ะ” เธอ

กล่าวก่อนจะทำหน้าเชิดอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงจะสายจริง แต่อย่างน้อยเธอ

ก็มาเร็วกว่าเพื่อนสนิทอีกคนของเธอและมัลลิกาอยู่ดีนี่นา

            “ใครบอกว่าเร็วกว่า ฉันมาถึงตั้งนานแล้ว รอเฟรชชีแบบแกคนเดียว

นั่นแหละ” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง

            เมื่อเจ้าเอยหันไปมองก็พบฐิติกร เพื่อนชายซึ่งจบจากมัธยมปลายมา

ด้วยกันพร้อมเธอและมัลลิกา แม้ฐิติกรจะไม่ได้หล่อเหลาอย่างดาราหรือ

นักร้องดัง แต่เพื่อนสนิทอีกหนึ่งของเจ้าเอยผู้ก็จัดอยู่ในระดับชายหนุ่ม

น่าฝันถึงของรุ่นน้องเกือบค่อนโรงเรียน ด้วยท่าทางภูมิฐานน่าเชื่อถือ มา

พร้อมใบหน้าที่มักระบายยิ้มหวานอยู่ตลอด เจ้าเอยเชื่อเหลือเกินว่าหนุ่ม

ฮอตของโรงเรียนแบบเขาคงจะแตกสาขาความฮอตมาที่รั้วมหาวิทยาลัย

ด้วยเช่นกัน และเธอก็ตาดไม่ผิดเลยสักนิด

            ฐิติกรเดินนำกลุ่มเพื่อนของเขาซึ่งคงจะเป็นนักศึกษาแพทย์รุ่นพี่ของ

เธอมาด้วย ทว่าจากหนุ่มๆ เกือบสิบคน สายตาของเจ้าเอยกลับไปสะดุดเข้า

กับชายหนุ่มร่างสูงในกลุ่มคนที่เดินเคียงคู่เป็นแนวหน้ามาพร้อมฐิติกร

            เขามีผิวขาว ดูสะอาดสะอ้าน น่าจะสูงราวๆ ๑๘๕ เซนติเมตร ใบหน้า

หล่อเหลาสะดุดตาเลิกคิ้วมองตอบเจ้าเอยด้วยสายตาสนใจ แววตาที่ดูเบื่อ

หน่ายทุกสิ่งบนโลกของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นพราวระยับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

ประดับบนกลีบปาก

            กลุ่มเพื่อนมองสองหนุ่มสาวที่สบตากันและกันก่อนจะร้องแซว จน

ฐิติกรและมัลลิกาต้องรีบแสดงอาการหวงเจ้าเอยขึ้นมาทันที นั่นเพราะ

ทั้งสองรู้ถึงความเจ้าชู้ระดับพระกาฬของชายหนุ่มคนนี้ ซึ่งอยู่ในข่ายผู้ชาย

อันตรายที่ไม่ควรเข้าใกล้

            “พอเลยไอ้ภู มึงอย่าได้คิดนะ” ฐิติกรพูด ก่อนจะยกมือขึ้นปัดอากาศ

ไปมาด้านหน้าเพื่อนผู้มาใหม่ของเขา ซึ่งมันยังคงจ้องเจ้าเอยไม่เลิกรา

            หญิงสาวที่ถูกกล่าวถึงแม้จะรู้สึกร้อนวูบอยู่บ้างกับดวงตาดำขลับ

คมกริบคู่นั้น แต่เธอก็วางตัวอย่างดีและยิ้มบางเบาตอบกลับสถานการณ์

ชวนใจหวิวนั่นไปโดยมิได้แสดงท่าทีเขินอายให้เขาได้ใจ หรือให้ใครพูดแซว

ได้อีก

            “ไอ้เอย! แกอย่าไปมองมันนะ รู้หรือเปล่าไอ้เจ้าชู้คนนี้มันฟาดสาว

มหาลัยเราไปเป็นร้อยแล้ว นี่ขนาดแค่ขึ้นปีสองเองนะ” มัลลิกาเสริม ก่อนจะ

เอื้อมจับใบหน้าของเจ้าเอยให้มองมาที่เธอ ไม่ยอมให้สองหนุ่มสาวสบสายตา

กันนานไปกว่านี้

            “แกอย่าเว่อร์น่าไอ้ลี่ ไม่ถึงร้อยคนหรอก แค่เก้าสิบเก้าจุดเก้าเอง”

            รุ่นพี่คนหนึ่งในกลุ่มของฐิติกรพูดขึ้น เรียกเสียงหัวเราะครืนให้

กลุ่มหนุ่มๆ ผู้มาใหม่

            หลังจากจบมุกตลกร้ายเมื่อครู่ มัลลิกาก็เริ่มแนะนำเพื่อนๆ แต่ละคน

ซึ่งอยู่ทางฝั่งของฐิติกรให้เจ้าเอยรู้จัก แต่เธอเลือกที่จะข้ามและไม่ยอม

แนะนำจอมเจ้าชู้ที่ว่าให้เจ้าเอยรู้ ราวกับเพื่อนสนิทสาวต้องการจะแกล้งให้

จอมเจ้าชู้ที่ว่าขาดใจตายยังไงยังงั้น

            “คนนี้เจ้าอาย เฟรชชี่คนสวย แฟนฉันเอง” มัลลิกากล่าวแล้วยิ้มอย่าง

ภาคภูมิ

            “เอยมันอายุเท่าพวกเราแหละ เพราะงั้นไม่ต้องเรียกน้อง แต่บอกไว้

ก่อนนะว่าคนนี้ห้ามแกล้ง ห้ามแตะต้อง เพราะฉันกับไอ้ติหวงมาก จะเก็บไว้

กินกันเอง” มัลลิกา ก่อนจะโดนเจ้าเอยหยอกแขนจนร้องอ๊าก

            เจ้าเอยกวาดตามองแล้วยิ้มให้เพื่อนของฐิติกรและมัลลิกาเป็นการ

ทักทาย ก่อนจะมาหยุดสายตาไว้ที่ร่างสูงร่างเดิมที่ยังคงใช้สายตาของเขา

จ้องมองเธออยู่อย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

            เมื่อชายหนุ่มได้ยินคำแนะนำชื่อของเจ้าเอยจากมัลลิกา เขาก็ยิ้มรับ

แล้วพูดขึ้นเป็นครั้งแรกพร้อมรอยยิ้มแสนน่ามอง ซึ่งทำให้สาวๆ หลายคน

ใจสั่นไหวเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มนั่น

            แน่นอนว่าหนึ่งในสาวๆ พวกนั้น ย่อมรวมถึงเจ้าเอยเองด้วย

            “เราภูดิศนะเอย...เอยเรียกเราว่าภูเฉยๆ ก็ได้”

“เอย...หมอเอยลูก ตื่นเถอะจ้ะ เราต้องลงเครื่องกันแล้ว” เสียงอบอุ่น

เจือแววเอ็นดูดังขึ้นเรียกสติของคนที่กำลังหลับใหลให้ลืมตาตื่น

            เจ้าเอยหรือหมอเอยที่ผู้เป็นป้าชอบเรียกค่อยๆ ยันตัวขึ้นจากเบาะนั่ง

ในชั้นเฟิสต์คลาส ก่อนจะหันไปมองป้าของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ สองแขน

ของท่านกำลังตระกองกอดร่างเล็กของเด็กน้อยที่กำลังหลับใหลอย่างเป็นสุข

อยู่บนตัก

            นางวรรณวรามองหลานสาวคนเก่งของตนที่ยังคงงัวเงียด้วยนัยน์ตา

รักใคร่ ก่อนจะยอมส่งเด็กน้อยในอ้อมกอดของตนไปให้ ‘มารดา’ ของแก

ซึ่งยื่นมือมารับลูกชายคืน หลังจากก้มลงหยิบกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาสะพาย

เตรียมพร้อมลงจากเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว

            “ขอโทษค่ะป้าวรา เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย เอยนี่แย่จังเลยนะคะ”

เธอพูด

            และเป็นนางวรรณวราที่ส่ายหน้าปฏิเสธคำกล่าวขอโทษนั้น “ป้ารู้ว่า

เอยเหนื่อย เอยทำได้ดีมากแล้วลูก” มือของผู้เป็นป้ายกขึ้นลูบหัวหลานสาว

ของตนอย่างรักใคร่เจือเวทนา

            คำกล่าวนั้นมิได้พูดเพื่อถากถางหรือประชดประชันหลานสาวแต่

อย่างใด เป็นคำพูดจากใจจริงเพื่อกล่าวชมถึงความอดทนในทุกๆ เรื่อง

ซึ่งหลานสาวของนางทนฟันฝ่าและผ่านพ้นมันมาได้อย่างสวยงาม

            แม้เรื่องบางเรื่องจะหนักหนาเกินกว่าที่เด็กสาวคนหนึ่งจะรับไหว

ก็ตามที

            ทั้งสองพากันเดินออกจากประตูไป เป็นผู้โดยสารรายสุดท้ายของ

สายการบินชื่อดังซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหยุดพัก หลังจากพาผู้โดยสารกว่าสามร้อย

ชีวิตบินข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศอังกฤษเมืองแห่งความซิวิไลซ์ สู่

กรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศเล็กๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

            เจ้าเอยมองผู้คนภายในสนามบินสุวรรณภูมิด้วยจิตใจที่กำลังสับสน

วุ่นวาย ไม่ใช่เพราะหญิงสาวตื่นคนมากแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะการกลับมา

เหยียบแผ่นดินเกิดซึ่งเธอจากไปนานแรมปีแห่งนี้ต่างหาก ความทรงจำเก่าๆ

ที่คล้ายจะถูกหลงลืมด้วยช่วงเวลา หรือเพราะใจของตัวเองที่ปรารถนาจะ

ลืมมัน เริ่มผุดกลับขึ้นมาในหัวอย่างเลี่ยงไม่ได้

            สองแขนของเธอกอดร่างเล็กของลูกชายในอ้อมแขนให้แนบแน่น

ยิ่งขึ้นราวกับต้องการจะยึดแกไว้เป็นหลักนำจิตใจที่กำลังสั่นไหวเพราะความ

หวาดหวั่นอย่างไร้เหตุผลของตัวเอง

            “ทำไมหน้าตาดูซีดๆ ล่ะลูก ปวดหลังหรือยังไง” นางวรรณวราเอ่ย

ถามหลานสาวของตนอย่างห่วงใย แต่คนถูกเรียกถามกลับยิ้มตอบแล้ว

ปฏิเสธกลับอย่างนุ่มนวล

            “เปล่าหรอกค่ะ เอยแค่...รู้สึกแปลกๆ ที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง” เจ้าเอย

แย้มยิ้มน้อยๆ ขณะพูดเผยความกระจ่างให้ผู้เป็นป้าได้ฟัง

            “อย่าวิตกอะไรให้มากนักเลยจ้ะ ดีไม่ดีจะส่งผลถึงตาเกล้าไปด้วย”

นางวรรณวราพูด ก่อนจะก้มมองไปยังหลานชายตัวเล็กอายุขวบเศษที่กำลัง

ทำตาโตมองซ้ายมองขวา เพลิดเพลินไปกับผู้คนนับร้อยที่เดินสวนกันไปมา

ในอาคารซึ่งดูคล้ายโดมแก้วกว้างใหญ่ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

            เจ้าเอยพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะก้มมองร่างเล็กของเจ้าเกล้า

หรือตาเกล้าที่เธอและผู้เป็นป้าชอบเรียก

            สองปีแล้วที่เธอรู้ตัวว่ากำลังมีอีกหนึ่งชีวิตเกิดมาบนโลกใบนี้ แต่หาก

นับรวมเวลาที่แกได้ลืมตาดูโลกก็แค่หนึ่งปีกับอีกห้าเดือนเท่านั้น เจ้าเอย

ยอมรับว่าแม้จะเป็นเวลาเพียงเท่านี้ แต่ตัวเธอเองกลับต้องพบเจอและเรียนรู้

หลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งเธอก็ไม่เคยคิดว่าตนจะได้เข้าใจมันในวัยเพียงแค่นี้

            หญิงสาวร่างบอบถอนหายใจเพื่อปัดความคิดด้านลบและอดีตฝังใจ

ที่กำลังจะกรายเข้ามาในหัว ด้วยเกรงว่าแผลเก่าที่ตนแสร้งลืมเลือนมานาน

จะเกิดปริแตกแยกรอยแผลยออกมาให้ได้ทรมานอย่างครั้นเก่าก่อน ร่างบาง

สมส่วนจึงรีบหันไปทางป้าวราของเธอที่เดินอยู่เคียงกันเพื่อเริ่มบทสนทนา

            “ไม่รู้ว่าติจะมารับเราด้วยหรือเปล่านะคะ” เจ้าเอยพูดพลางนึกถึง

เพื่อนสมัยเรียนของเธอ ซึ่งตลอดเวลาที่เธอย้ายไปอยู่อังกฤษทั้งสองก็ได้

ติดต่อกันโดยตลอด

            ล่าสุดหมอหนุ่มบอกเธอว่าเขากำลังทำงานใช้ทุนอยู่ที่โรงพยาบาล

ของจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เจ้าเอยเกรงว่าจะไม่ได้เจอเพื่อนสนิทที่เหลือเพียง

คนเดียวของเธอในวันนี้ นั่นเพราะฐิติกรสัญญาเอาไว้ว่าจะมารับเธอกับ

ป้าวราในวันนี้ หากเขามาได้

            “ติโทร.มาบอกป้าแล้วจ้ะว่าไม่สะดวก วันนี้คนมารับเราคงมีแต่ ‘พ่อ

ของตาเกล้า’ คนเดียวเท่านั้น” นางวรรณวราพูดพลางยิ้มให้กำลังใจเจ้าเอย

            หญิงสาวยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร ขาเรียวยังคงสาวเท้าเดินตาม

คนเป็นป้าไปในระดับความเร็วที่เป็นปกติ ไม่แสดงอาการหรืออารมณ์ผิด

ปกติใดๆ ให้ผู้เป็นป้าได้แคลงใจ

            กระเป๋าเดินทางใบโตสองใบถูกวางลงบนรถเข็นกระเป๋าอย่างทุลักทุเล

เจ้าเอยอาสาจะเป็นคนเข็นรถออกไปด้านหน้าเอง แต่ผู้ป้าไม่ยินยอม

ทั้งยังเข็นนำหน้าเธอไปก่อนอีกด้วย คนเป็นหลานสาวจึงทำได้เพียงเดินตาม

ต้อยๆ นึกยิ้มขอบคุณผู้เป็นป้าที่แสนดีเหลือเกิน แสนดีเสียจนหลานสาว

ที่ใช้ไม่ได้แบบเธอยังรู้สึกละอายในหัวใจ เฝ้านึกย้อนไปช่วงเวลาแห่งความ

ทรมานอ้นแสนสาหัสในอดีต

            หลังจากที่เจ้าเอยรู้ตัวว่าท้อง เธอก็พาร่างกายที่ห่อหุ้มหัวใจอันบอบช้ำ

เดินทางข้ามเส้นขอบฟ้าไปหาที่พึ่งเพียงคนเดียวของเธอ ดั่งลูกนกไร้รังที่

ไร้ คนเห็นใจไยดี เธอยังจำวินาทีที่ป้าวราเปิดประตูหน้าบ้านออกมารับเธอ

ได้อยู่เลย ป้าที่แสนดี พี่เพียงคนเดียวของแม่ที่เธอไม่ได้พบหน้าค่าตา

มาเกือบสิบปี

            ในตอนนั้นป้าของเธอคงมีคำถามนับล้านคำถามกับภาพที่เห็นตรง

หน้า ทว่าผู้เป็นป้ากลับไม่ถามความเป็นมาสักนิด ซ้ำยังต้อนรับเธอเข้าบ้าน

                              (ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024