ทรายซ่อนเหลี่ยม (มุกเรียง)

ทรายซ่อนเหลี่ยม (มุกเรียง)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: 9786160011209
ผู้แต่ง: มุกเรียง
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 210.00 บาท 52.50 บาท
ประหยัด: 157.50 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

แนวกระถินสีเขียวขจีเป็นรั้วกินได้ตามธรรมชาติที่สร้างได้ไม่ยากเย็น และไม่ต้องเสียเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียว มิหนำซ้ำเมื่อกระถินแตกยอดอ่อน ยังสามารถสร้างรายได้ให้เจ้าของอีกทางหนึ่งด้วย แม้จะเป็นเงินเพียงน้อยนิด ทว่าในยามเศรษฐกิจฝืดเคือง ค่าครองชีพพุ่งสูง การมีรายได้ มาจุนเจือครอบครัวไม่ว่าทางใดย่อมเป็นการดีเสมอ

เช่นเดียวกับเจ้าของบ้านยกพื้นแบบเรือนไทยประยุกต์ที่ปลูกอยู่ภายในรั้วกระถินซึ่งมีอาณาบริเวณกว่าหนึ่งไร่แห่งนี้ อาชีพหลักของหญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของบ้านคือทำขนมไทย ทั้งขายเองที่ร้านเพิงหมาแหงนเล็กๆ หน้าบ้าน และส่งตามร้านอาหารหรือโรงแรมแล้วแต่โอกาส

แม้ฝีมือทำขนมจะขึ้นชื่อ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำถึงขนาดส่งเสียบุตรสองคนจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในประเทศแล้ว และเวลานี้ยังส่งเสียบุตรชายศึกษาต่อปริญญาโทในต่างประเทศอีก แต่เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ วัตถุดิบราคาแพงขึ้น ต้นทุนในการทำขนมก็ย่อมราคาสูงขึ้นด้วย สวนทางกับการใช้จ่ายของคนทั่วไป เมื่อลูกค้าขาประจำและขาจรซื้อขนมน้อยลง กำไรที่เคยได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวรวมถึงค่าการศึกษาของบุตรก็ลดตาม จนบางครั้งฝืดเคืองขนาดชักหน้าไม่ถึงหลัง

ในอาณาบริเวณกว้างขวาง นอกจากจะมีเรือนหลังใหญ่ซึ่งเป็นที่พัก อาศัยของครอบครัวแล้ว ยังมีเรือนไม้ชั้นเดียวหลังไม่ใหญ่นักปลูกอยู่ด้าน ข้างเยื้องไปหลังเรือนใหญ่ เรือนเล็กที่ใช้เป็นโรงทำขนมมีชั้นวางอุปกรณ์ ที่ล้างสะอาดแล้วคลุมไว้ด้วยผ้าขาวบาง ชั้นนี้ตั้งอยู่ใกล้หน้าต่างที่เปิดกว้าง เป็นการฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงแดดที่ร้อนแรงของประเทศไทยซึ่งนับวันจะทวี ความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เตาที่ใช้ทำขนมได้รับการเอาใจใส่เช็ดถูจนสะอาดแวววาวหลังการใช้งานทุกครั้ง เช่นเดียวกับภาชนะอื่นๆ พื้นกระเบื้องปราศจากฝุ่นผง กรวด ทราย หรือเศษขนมและวัตถุดิบที่นำมาปรุง ตามซอกตามมุมไม่มีหยากไย่ หรือเศษขยะซุกซ่อนอยู่แม้แต่น้อย สมกับเป็นสถานที่ประกอบอาหารเป็นอย่างยิ่ง

บนแคร่ใกล้ประตูเรือนมีถาดขนมที่เก็บมาจากร้านวางซ้อนกัน ใกล้กันคือร่างสมส่วนที่นั่งเหมือนทอดอาลัย มองออกไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่นานหญิงอาวุโสกว่าคนหนึ่งก็เดินถือถาดขนมมาวางใกล้ถาดที่วางอยู่ก่อนแล้ว

“หมดหรือยังพี่อิ่ม”

“หมดแล้วจ้ะ ฉันขอนั่งพักสักหน่อย เดี๋ยวจะไปเก็บกวาดแล้วล้าง ของเก็บให้นะจ๊ะ” นางอิ่มบอกพลางทำท่ายักแย่ยักยันนั่งลงบนแคร่

“เดี๋ยวฉันทำเอง พี่นั่งพักให้สบายเถิด” ปีบ เจ้าของเรือนไทย และร้านขนมซึ่งเป็นนายจ้างของนางอิ่มบอกด้วยน้ำเสียงเจือความเหนื่อยหน่ายนางจ้องตาลูกจ้างเหมือนตรึกตรองและเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะถอนหายใจเชื่องช้า แล้วหันไปทอดสายตามองข้างหน้าเช่นเดิมเมื่อยากจะ เอ่ยปาก

นางอิ่มซึ่งเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่รับจ้างขายขนมและเป็นลูกมือนางปีบมาช้านานแล้วเริ่มเห็นเค้าลางอะไรบางอย่างร้านขนมที่เคยเฟื่องฟูทำกันมือเป็นระวิงก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า มาบัดนี้แม้ลดจำนวนการผลิตลงมาครึ่งต่อครึ่ง บางวันก็ยังขายไม่หมด ความเป็นแม่ค้าที่ซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ขนมที่ขายจึงทำวันต่อวัน หากขายไม่หมดวันนี้ก็จะ ไม่เก็บไว้ขายในวันรุ่งขึ้น แม้ขนมไทยบางอย่างจะเก็บไว้ได้หลายวัน แต่นางปีบก็ไม่เคยทำเช่นนั้น หากขายไม่หมดก็จะแบ่งปันให้นางอิ่มนำกลับไปกินที่บ้าน เผื่อแผ่ให้คนยากคนจนที่ไม่ถือสาว่าเป็นของเหลือ ยิ่งนานวันยิ่งขายไม่คุ้มทุน นางอิ่มเคยได้ยินนายจ้างปรารภว่าอาจจะต้องปิดร้านเพราะ รับภาระขาดทุนไม่ไหว และสายตาของนางปีบในเวลานี้ก็บ่งบอกได้ดีว่านางกำลังจะเอ่ยเรื่องนี้

“ขนมพวกนี้ฉันเอาใส่กล่องเก็บไว้ในตู้เย็นนะแม่ปีบ เผื่อหนูปิ่นอยากกินขึ้นมา จะเอาไปให้ใครเขาก็คงเลี่ยนคงเบื่อ กินกันทุกวัน”

“ช่างมันเถอะพี่ เก็บไว้คนที่บ้านก็คงเบื่อ ถ้าพี่ไม่เอาไปกินก็เททิ้งให้หมด” นางปีบหันมาบอก

“ของดีๆ จะทิ้งทำไม ถ้าแม่ปีบไม่เอาไว้ ฉันเอาไปหมดนะ” นางอิ่มบอก พร้อมจัดแจงหากล่องพลาสติกใบเขื่องเพื่อใช้บรรจุขนมไทยหลายชนิดที่เหลือจากการขายเอากลับไปบ้านตัวเอง ปากก็พร่ำบ่น

“ของอร่อย ของดี ทำไมคนไม่ค่อยกินนะ เด็กสมัยนี้มันก็ชอบกินแต่ขนมฝรั่งขนมปงขนมปัง ทำไมแม่ปีบไม่ลองทำขนมฝรั่งดูบ้างล่ะ เผื่อจะขายดี” ดูเผินๆ เหมือนนางเสนอทางเลือกให้นายจ้าง แต่แท้ที่จริงแล้ว นางกลัวว่าตัวเองจะตกงานหากร้านขนมยังขาดทุนอยู่อย่างนี้ แต่ดูเหมือน นายจ้างจะไม่รับข้อเสนอ

นางปีบมองหน้าแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปาก

“ร้านขนมคงต้องปิดแล้วละพี่ ฉันหมดทุนจะทำต่อแล้ว เงินเก็บมีนิดหน่อยก็ต้องเอาไว้เป็นค่าเรียนค่าใช้จ่ายของตาป้อง เดือนหนึ่งก็มากโขอยู่”

“อะไรกัน เลิกเสียง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ เสียดายฝีมือ” นางอิ่มพูด รู้สึกใจหายไม่น้อยที่ตัวเองต้องตกงานขาดรายได้ไปด้วย

“ก็ไม่เลิกเสียทีเดียวหรอกพี่ ยังทำส่งร้านส่งโรงแรมและตามงานที่เขาสั่ง ถึงจะนานๆ ครั้งก็ยังดีกว่าทำไปแล้วทุนหายกำไรหด ฉันต้องขอโทษพี่ด้วยนะจ๊ะที่ต้องเลิกจ้างพี่ ฉันจะให้เงินเดือนพี่สามเดือนเอาไว้ทำทุนค้าขายหรืออะไรก็ตามใจพี่ จะให้มากกว่านี้ฉันไม่มี คิดเสียว่าช่วยๆ กันไปนะพี่อิ่ม”

เสียงนางปีบสั่นสะท้าน ไม่เคยมียามใดที่นางรู้สึกสะท้อนใจได้ เท่ากับยามนี้อีกแล้ว การตัดสินใจปิดร้านขนมที่เคยสร้างรายได้จุนเจือ ครอบครัวมากว่ายี่สิบปี เรียกได้ว่าเกือบเท่าอายุของปกป้อง บุตรชายคนโต ที่กำลังศึกษาปริญญาโทอยู่ต่างประเทศ เป็นมากกว่าคำว่าใจหายเสียด้วยซ้ำ

“ขอบใจนะที่มีน้ำใจ ไม่มีงานฉันคงลำบาก แต่จะลองหางาน ไปเรื่อยๆ อาจมีร้านที่หาลูกจ้างขายของในตลาด แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ก็คงปลูกผักปลูกหญ้าไปพลางๆ จะรอลูกรอผัวมาเลี้ยงคงไม่ไหว ยิ่งศจีลูกสาว ฉันมันมีความรู้แค่หางอึ่ง ต้องทำงานโรงงาน เงินเดือนก็น้อย แค่หาเลี้ยง ปากท้องเองไม่ต้องมาเป็นภาระฉันก็พอแล้ว จะว่าไปก็ยังดีกว่าพวกร่ำเรียนจบปริญญามาแล้วนั่งงอมืองอเท้าเกาะพ่อแม่กินเป็นไหนๆ ว่าไหมจ๊ะ”

นางอิ่มขอความเห็นขณะยิ้มอย่างมีเลศนัย และยิ้มกว้างก้มหน้าก้มตาบรรจุขนมใส่กล่องพลาสติกต่อ หลังเห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของนางปีบที่กำลังจะกลายเป็นอดีตนายจ้าง

นางปีบรู้สึกเจ็บแปลบกับความนัยของลูกจ้าง รู้ดีว่านางอิ่มตั้งใจ พาดพิงถึงปิ่นปัก บุตรสาวคนเล็กของตนที่เรียนจบปริญญาตรีแล้ว แต่ยัง หางานทำเป็นหลักแหล่งไม่ได้ ปิ่นปักไม่ใช่คนหยิบโหย่งเหยาะแหยะ หนัก ไม่เอาเบาไม่สู้ เพียงแต่ว่าเนื่องจากมีภาวะการแข่งขันสูง ตำแหน่งงานที่ น้อยกว่าบัณฑิตจบใหม่รวมถึงพวกว่างงานสะสมจากปีก่อน ทำให้ล่วงมาสองปีแล้วที่ปิ่นปักยังหางานทำไม่ได้ แต่ใช่ว่าบุตรสาวของตนจะงอมือ งอเท้าอย่างที่กำลังถูกแขวะ ปิ่นปักช่วยหยิบจับทุกอย่างทั้งงานบ้าน งานเรือน ทำขนมขาย หรือแม้แต่เก็บผักเก็บหญ้าข้างบ้านไปขาย เพื่อหา รายได้เสริมให้ครอบครัวที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามชั้นเรียนของปกป้อง นาง เองก็หวังว่าเงินเก็บที่มีอยู่จะพอใช้เป็นค่าเล่าเรียนจนปกป้องจบการศึกษา และมีงานดีๆ ทำในวันข้างหน้า

“แล้วจะเลิกร้านเมื่อไหร่ล่ะ”

หลังปล่อยให้ความเงียบแสดงบทบาทอยู่พักใหญ่นางอิ่มก็ถามขึ้น ผู้เป็นนายหันมามอง เห็นคนถามกำลังหยิบถาดที่ตักขนมออกหมดแล้วไป ไว้ในอ่างล้างจาน

“จะค่อยๆ บอกลูกค้า น่าจะปิดสิ้นเดือนนี้แหละพี่ แต่พี่ไม่ต้อง มาช่วยหรอก ฉันทำแต่น้อย ยายปิ่นพอเป็นลูกมือได้” นางปีบบอกอย่างมี น้ำใจ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วบอกว่า “วางไว้เถอะพี่อิ่ม เดี๋ยวฉันล้างเอง”

“ขอบใจนะ ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนละ เผื่อว่าศจีมันกลับมาไวจะได้กินขนม แต่เด็กสาวๆ สมัยนี้ไม่ค่อยกินขนมหวานหรอก มันกลัวอ้วน” นางอิ่มรีบวางมือจากการล้างถาดขนมทันที ก่อนจะกลับมาหยิบกล่องขนมแล้วเดินออกไปจากเรือน

นางปีบได้แต่มองตามจนร่างท้วมเล็กน้อยของนางอิ่มเดินผ่านรั้วบ้านออกไป ก่อนจะเบนสายตาไปทางเพิงขายขนม แม้จะเล็กแต่ก็ปลูกสร้างแข็งแรงและอยู่คู่บ้านเรือนไทยนี้มาตั้งแต่เริ่มต้นหาอาชีพเลี้ยงตัวเองและลูกๆ

ถ้าผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อจะรับผิดชอบสักนิด นางกับลูกคงไม่มีวันนี้

นางปีบหวนรำลึกไปถึงตอนเป็นสาวรุ่นสมัยที่เริ่มสนใจเพศตรงข้าม ความที่เป็นลูกสาวชาวสวน ไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดีหรือผู้ดีมีเงินที่ไหน ทำให้นางไม่ได้เล่าเรียนสูงๆ เหมือนคนอื่น ทว่าความรักดีและความเอาใจใส่ การงานทำให้นางเรียนรู้และรับถ่ายทอดวิธีการทำขนมจากยายและมารดา

(ติดตามอ่านต่อได้ในฉบับเต็ม)

รายละเอียด

เมื่อพี่ชายของ ปิ่นปัก พา เชคอิลยาส ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมาเที่ยวที่บ้าน ความรักต่างฐานันดรจึงเริ่มขึ้น ในวันลาจาก เชคหนุ่มบอกว่าวันใดที่เธอมาหาเขาที่ ‘ฮิลยะฮ์’ เขาจะแต่งตั้งเธอเป็นชายา ทว่าเหตุการณ์กลับพลิกผัน เมื่อหญิงสาวถูกกลุ่มคนปริศนาลักพาตัวไปจากสนามบิน 
ชาฮีน เป็นบุคคลลึกลับที่ทำให้ปิ่นปักทั้งรังเกียจและหวั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด เขาลักพาตัวเธอมาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ และเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของเชคอิลยาสอย่างเงียบๆ จนในที่สุด เขาก็ตัดสินใจลงมือทำอะไรบางอย่าง 
เมื่อผู้คนกระหายอำนาจ จิตใจคนไม่อาจหยั่งรู้ได้จากรูปลักษณ์ภายนอก ความจริงกับความลวงจึงห่างเพียงเส้นบางๆ ขวางกั้น ปิ่นปักเริ่มสับสนว่าควรเชื่อสิ่งใดระหว่างความรู้สึกตัวเองกับคำพูดของคนรอบข้าง เธอรู้ชัดเพียงอย่างเดียวว่าเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสิ้นสุด ชีวิตของเธอจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม...อีกต่อไป 

รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (96 รายการ)

www.batorastore.com © 2024